ฟังเพื่อเข้าใจความจริงถึงที่สุด_สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี วันเสาร์ที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕
โดย khampan.a  5 ก.พ. 2565
หัวข้อหมายเลข 42007

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

" ฟังเพื่อเข้าใจความจริงถึงที่สุด "

ถอดจากคำสนทนาของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี

วันเสาร์ที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕




~ ตั้งแต่ขณะแรกที่เกิด เป็นอะไร? ขณะแรกต้องมีจิต และจิตกับเจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดประกอบพร้อมกับจิต) ต้องเกิดพร้อมกัน อาศัยกันและกัน แยกกันไม่ได้เลย แล้วก็ต้องมีรูปเกิดด้วย ตั้งแต่เกิด
~ ขณะที่งูเกิด ขณะที่ปลาเกิด อะไรเกิด? มีจิต มีเจตสิก มีรูป เกิดพร้อมกัน
~ เวลาที่มดเกิด ตัวเล็กที่สุด ขณะนั้นมีอะไรเกิด? ก็ต้องมีจิต เจตสิก และรูป เกิด เพราะฉะนั้น เริ่มเข้าใจมั่นคงว่า ไม่มีเรา เพราะการฟังพระธรรมทั้งหมด ให้รู้ว่า ถ้าไม่มีคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่มีใครรู้ความจริงเลย เพราะฉะนั้น ที่กำลังฟัง ฟังเพื่อเข้าใจความจริงถึงที่สุดของทุกอย่าง ไม่ใช่ให้ไปปฏิบัติ ไม่ใช่ให้ไปท่อง แต่ให้มีความเข้าใจจริงๆ ในความเป็นจริงของทุกอย่าง เพราะฉะนั้น จึงเริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อได้ฟังสิ่งที่เราไม่สามารถที่จะรู้เองได้
~ ขณะเกิด ใครทำให้เกิด เราทำให้เกิดหรือเปล่า? ใครทำให้เกิด พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้เกิดได้ไหม? ใครๆ ก็ทำไม่ได้ แล้วอะไรทำให้เกิด? ก็คือ กรรมทำให้เกิด ซึ่งจะทำให้รู้ว่า ไม่มีเราเลย
~ กรรมของคุณอาช่า ทำให้คุณอาคิลเกิด ได้ไหม? กรรมหนึ่งทำให้เกิดเป็นคุณอาช่า กรรมหนึ่งทำให้เกิดเป็นคุณอาคิล ใช่ไหม? ต้องมั่นใจว่า คนอื่นทำให้เกิดผลของกรรมของอีกคนหนึ่งไม่ได้เลย ต้องเป็นกรรมของคนนั้นเองทั้งหมด ตั้งแต่เกิดจนตาย ที่จะทำให้ผลเกิดขึ้น
~ ไม่ลืมว่า เราพูดถึงทุกอย่าง แต่มีธรรม ๓ อย่างที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นเวลาที่เราพูด พูดเพื่อให้เข้าใจความไม่ใช่เรา ก็ต้องเป็นธรรม ๓ อย่างนี้ เป็นจิต ๑ เจตสิก ๑ รูป ๑
~ ต้องไม่ลืม ว่า วิบากต้องเป็นธาตุรู้ คือ จิต เจตสิกเท่านั้น รูปเป็นวิบากไม่ได้ แต่รูปเป็นผลของกรรมได้ แต่ไม่ใช่วิบาก
~ ผลของกรรม มีจิต เจตสิก ซึ่งเป็นผลของกรรมที่รู้อารมณ์เป็นวิบาก แต่รูปเป็นผลของกรรมได้ แต่รูปไม่รู้อะไรเลย รูปไม่ได้เป็นวิบาก แต่เป็นผลของกรรมได้
~ ศึกษาธรรม สามารถที่จะทำให้เข้าใจขณะแรกที่จิตเกิด แล้วก็เข้าใจต่อๆ มา ถ้าเรากล่าวให้เข้าใจจริงๆ ไม่ใช่แค่จำ แต่เพื่อให้เห็นความไม่ใช่เราทุกครั้งที่ฟังธรรม
~ ขณะที่เกิดครั้งแรกของมนุษย์ มีจิต มีเจตสิก มีรูปเกิด
~ ปฏิสนธิจิต มีเจตสิกเท่ากัน ก็ได้ ไม่เท่ากัน ก็ได้ ถึงแม้เท่ากัน ก็ไม่เหมือนกัน เพราะเหตุว่า หลากหลายมากตามกรรม นี่เป็นเหตุที่แม้แต่รูปร่างหน้าตาของทุกคน ก็เป็นผลของกรรมซึ่งหลากหลายมาก นี่เป็นรูป เพราะฉะนั้น การสะสมที่จะมีปัญญาเกิดร่วมด้วย ไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วย และปัญญาน้อย ปัญญามาก ก็ต่างๆ กันไปหมด ทุกขณะทั้งนามธรรมและรูปธรรม แสดงให้เห็นว่า ไม่มีเรา
~ ถึงแม้ว่าเกิดมา เฉพาะรูปก็ต่างกันแล้ว แล้วสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมจะยิ่งต่างกว่านี้เท่าไหร่
~ ตา (จักขุปสาทะ) ไม่ได้เกิดแต่เฉพาะตา ตา เกิดกับอะไรด้วย? ในกลุ่มของจักขุปสาทะ มีรูปรวมกัน ๑๐ รูป คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม สี กลิ่น รส โอชา จักขุปสาทะ และ ชีวิตินทริยรูป
~ ต้องเข้าใจมั่นคงจริงๆ ว่า รูปเกิดรวมกันแต่ละกลุ่ม จำนวนต่างกัน
~ รูปที่เกิดจากกรรม ก็มี รูปที่เกิดจากจิต ก็มี ไม่ใช่รูปที่เกิดจากกรรม รูปที่เกิดจากอุตุ ความเย็น ความร้อน ก็มี รูปที่เกิดจากอาหาร ก็ไม่ใช่รูปที่เกิดจากกรรม จิต อุตุ แต่ละกลุ่ม ให้รู้ว่าซึมซาบ อยู่ทั่วตัว มีอากาศธาตุแทรกคั่น ไม่ใช่เรา
~ รูปทุกรูป ต้องเกิดกับมหาภูตรูป ถ้าไม่มีมหาภูตรูป (รูปที่เป็นใหญ่เป็นประธาน ๔ รูป ได้แก่ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม) รูปอื่นๆ ก็มีไม่ได้เลย
~ มหาภูตรูป เกิดได้จากกี่สมุฏฐาน? ทั้ง ๔ สมุฏฐาน (กรรม จิต อุตุ อาหาร)
~ กำลังฟังอย่างนี้ ใครรู้ว่าจิตของแต่ละคนหลากหลายมาก คิดก็ไม่เหมือนกัน ทั้งหมดเป็นความละเอียดมาก ซึ่งจะต้องศึกษาให้รู้ว่าแต่ละหนึ่งขณะไม่ใช่เราอย่างไร
~ ขณะเกิด กรรมทำให้รูปเกิด ไม่ใช่ทั้งหมดทีเดียวพร้อมกัน น้อยมากเล็กมาก ๓ กลาป (กลุ่ม) เพียงขณะจิตเดียวเกิดแล้วดับ ใครจะรู้ มีเจตสิกเกิดด้วย และมีรูปที่เกิดพร้อมกัน ๓ กลุ่ม คือ ๓ กลาป ถ้าเป็นมนุษย์ในภูมิที่มีขันธ์ ๕ รูปหนึ่งซึ่งต้องมี คือ รูปที่เป็นที่เกิดของจิต (หทยวัตถุ)
~ ภูมิที่มีรูป จิต เกิดที่อื่นนอกจากที่รูปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ขณะที่ปฏิสนธิจิตเกิด กรรมทำให้รูปที่เกิดจากกรรมเกิดด้วย หนึ่งในนั้น คือ กรรม ทำให้เกิดรูปซึ่งเป็นที่เกิดของปฏิสนธิจิต รูปนั้น คือ หทยวัตถุ
~ รูป ซึ่งเป็นที่เกิดของจิต มีทั้งหมด ๖ รูป ภาษาบาลีใช้คำว่า วตฺถุรูป (วัตถุรูป) ถ้าพูดถึงวัตถุรูป หมายความถึงรูปที่เป็นที่เกิดของจิต เท่านั้น เพราะจิต ต้องเกิดที่รูปในภูมิที่มีรูป เกิดนอกรูปไม่ได้ ต้องเกิดที่รูปใดรูปหนึ่ง
~ จักขุวัตถุ เป็นที่เกิดของจิตอะไร เท่าไหร่? มีจิตที่เกิดที่จักขุวัตถุ ๒ ประเภท เท่านั้น คือ จักขุวิญญาณกุศลวิบาก และ จักขุวิญญาณ อกุศลวิบาก
~ อกุศลจิต เกิดที่จักขุวัตถุได้ไหม? ไม่ได้
~ จักขุวิญญาณ เกิดที่ฆานวัตถุ ได้ไหม? ไม่ได้
~ จิตได้กลิ่น เกิดที่หทยวัตถุได้ไหม? ไม่ได้
~ จุดประสงค์ของการฟัง ไม่ใช่อย่างอื่นเลยทั้งสิ้น แต่เพื่อเข้าใจความจริง เพื่อรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง ว่า ไม่ใช่เราแน่นอน และทั้งหมดเป็นคำที่พระสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส หลังจากที่พระองค์ตรัสรู้แล้วเพื่อให้คนอื่นได้รู้ความจริงด้วย
~ ถ้าไม่มีความเข้าใจถูก ก็ยังคงเป็นเราและก็ยังคงเป็นการเกิดตลอดสังสารวัฏฏ์ ไม่จบสิ้น เพราะฉะนั้น ถ้าไม่เข้าใจความจริง ไม่ต้องคิดว่าจะหมดกิเลส จะไม่มีสังสารวัฏฏ์ แต่จะเป็นอย่างนั้นได้ (คือ หมดกิเลส หมดสังสารวัฏฏ์) เมื่อเข้าใจความจริงเท่านั้น
~ ถ้าไม่ได้รู้ความจริง ก็จะไม่มีการที่จะเข้าใจ ว่า ไม่มีเรา ก็ยังคงมีสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เกิดแก่เจ็บตาย ไปตลอด
~ ไม่ต้องรีบร้อน เพราะกิเลสเยอะมาก ก็ต้องค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละน้อย


...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในความดีของคุณสุคิน ผู้แปลการสนทนา
จากภาษาไทยเป็นภาษาฮินดี
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...



ความคิดเห็น 1    โดย petsin.90  วันที่ 5 ก.พ. 2565

กราบอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 2    โดย Jans  วันที่ 5 ก.พ. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย Lai  วันที่ 5 ก.พ. 2565

กราบอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 4    โดย Sea  วันที่ 5 ก.พ. 2565

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ที่เคารพยิ่งและขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 5    โดย Thanapolb  วันที่ 6 ก.พ. 2565

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณอาจารย์คำปั่นและยินดียิ่งในกุศลวิริยะของท่าน..

.."ศึกษาให้รู้ว่าแต่ละหนึ่งขณะไม่ใช่เราอย่างไร.."

สาธุ.


ความคิดเห็น 6    โดย chatchai.k  วันที่ 6 ก.พ. 2565

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 7    โดย ปาริชาตะ  วันที่ 6 ก.พ. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 8    โดย เมตตา  วันที่ 6 ก.พ. 2565

ขอบพระคุณ และยินดีในกุศลจิตค่ะ


ความคิดเห็น 9    โดย jaturong  วันที่ 7 ก.พ. 2565

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ