ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ทุกท่านมี ความสุข ความเจริญ สุขภาพทั้งกายและใจดีงาม สมปรารถนาในสี่งที่ถูกต้อง และ ปัญญาเจริญขึ้นๆ ตามเหตุปัจจัย
ฐานะและอฐานะ (๒)
พระสุตตันตปิฎก
[เล่มที่ 33] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 172
วรรคที่ ๓
ว่าด้วยฐานะและอฐานะ
[๑๗๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่วิบากอันไม่น่าปรารถนา ไม่ น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ แห่งกายสุจริตจะพึงเกิดขึ้นนั้น มิใช่ฐานะ มิใช่ โอกาสที่จะมีได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แต่ข้อที่วิบากอันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ แห่งกายสุจริตจะพึงเกิดขึ้นนั้น เป็นฐานะที่จะมีได้.
[๑๗๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่วิบากอันไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ แห่งวจีสุจริตจะพึงเกิดขึ้นนั้น มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาสที่จะมีได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แต่ข้อที่วิบากอันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ แห่งวจีสุจริตจะพึงเกิดขึ้นนั้น เป็นฐานะที่จะมีไค้.
[๑๗๒ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่วิบากอัน ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ แห่งมโนสุจริตจะพึงเกิดขึ้นนั้น มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาสที่จะมีได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แต่ข้อที่วิบากอันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ แห่งมโนสุจริตจะพึงเกิดขึ้นนั้น เป็นฐานะที่จะมีได้.
[๑๗๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่บุคคลผู้มีความเพียบพร้อม ด้วยกายทุจริต เมื่อแตกกายตายไป พึงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพราะ ความเพียบพร้อมด้วยกายทุจริตเป็นเหตุ เป็นปัจจัยนั้น มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาสที่จะมีได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แต่ข้อที่บุคคลผู้เพียบพร้อม ด้วยกายทุจริต เมื่อแตกกายตายไป พึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เพราะความเพียบพร้อมด้วยกายทุจริตเป็นเหตุ เป็นปัจจัยนั้น เป็นฐานะที่จะมีได้.
๑. วรรคที่ ๓ ไม่มีอรรถกถาแก้
[๑๗๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่บุคคลผู้มีความเพียบพร้อม ด้วยวจีทุจริต เมื่อแตกกายตายไป พึงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์เพราะความ เพียบพร้อมด้วยวจีทุจริตเป็นเหตุ เป็นปัจจัยนั้น มิใช่ฐานะ มิใช่ โอกาสที่จะมีได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แต่ข้อที่บุคคลผู้เพียบพร้อมด้วย วจีทุจริต เมื่อแตกกายตายไป พึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เพราะ ความเพียบพร้อมด้วยวจีทุจริตเป็นเหตุ เป็นปัจจัยนั้น เป็นฐานะที่จะมีได้.
[๑๗๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่บุคคลผู้มีความเพียบพร้อม ด้วยมโนทุจริต เมื่อแตกกายตายไป พึงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์เพราะความ เพียบพร้อมด้วยมโนทุจริตเป็นเหตุ เป็นปัจจัยนั้น มิใช่ฐานะ มิใช่ โอกาสที่จะมีได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แต่ข้อที่บุคคลผู้เพียบพร้อมด้วย มโนทุจริต เมื่อแตกกายตายไป พึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เพราะความเพียบพร้อมด้วยมโนทุจริตเป็นเหตุ เป็นปัจจัยนั้น เป็น ฐานะที่จะมีได้.
[๑๗๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาบ ข้อที่บุคคลผู้มีความเพียบพร้อม ด้วยกายสุจริต เมื่อแตกกายตายไป พึงเช้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เพราะความเพียบพร้อมด้วยกายสุจริตเป็นเหตุ เป็นปัจจัยนั้น มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาสที่จะมีได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แต่ข้อที่บุคคล ผู้เพียบพร้อมด้วยกายสุจริต เมื่อแตกกายตายไป พึงเข้าถึงสุคติโลก สวรรค์ เพราะความเพียบพร้อมด้วยกายสุจริตเป็นเหตุ เป็นปัจจัยนั้น เป็นฐานะที่จะมีได้.
จบ วรรคที่ ๓
จบ อัฏฐานบาลี
[๑๗๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่บุคคลผู้มีความเพียบพร้อม ด้วยวจีสุจริต เมื่อแตกกายตายไป พึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เพราะความเพียบพร้อมด้วยวจีสุจริตเป็นต้น เป็นปัจจัยนั้น มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาสที่จะมีได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แต่ข้อที่บุคคลผู้เพรียบพร้อม ด้วยวจีสุจริต เมื่อแตกกายตายไป พึงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพราะ ความเพียบพร้อมด้วยวจีสุจริตเป็นเหตุ เป็นปัจจัยนั้น เป็นฐานะที่จะมีได้
[๑๗๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่บุคคลผู้มีความเพียบพร้อม ด้วยมโนสุจริต เมื่อแตกกายตายไป พึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เพราะความเพียบพร้อมด้วยมโนสุจริตเป็นเหตุ เป็นปัจจัยนั้น มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาสที่จะมีได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แต่ข้อที่บุคคลผู้ เพียบพร้อมด้วยมโนสุจริต เมื่อแตกกายตายไป พึงเข้าถึงสุคติโลก สวรรค์ เพราะความเพียบพร้อมด้วยมโนสุจริตเป็นเหตุ เป็นปัจจัยนั้น เป็นฐานะที่จะมีได้.
จบวรรคที่ ๓
จบ อัฏฐานบาลี
ทุกขณะในชีวิตประจำวัน ติดทุกสิ่งทุกอย่างโดยไม่รู้ตัว
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ข้อความบางตอนจากการบรรยายธรรมโดยท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ท่านอาจารย์ การอบรมเจริญปัญญา ที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏ เป็นจิรกาลภาวนา ที่ต้องอบรมเป็นเวลานาน และที่เคยกล่าวถึงแล้ว ก็ได้ กล่าวถึงเรื่องของ "กัปป์" เช่นพันกัปป์ หมื่นกัปป์ แสนกัปป์ ไม่ใช่ให้ท่านผู้ฟัง ท้อถอย แต่จะต้องทราบว่าเพื่อไม่ให้ประมาทคือไม่ให้คิดว่า สามารถที่จะถึง การรู้แจ้งอริยสัจได้โดยเร็วในชาตินี้ หรือว่าใน ๗ วัน ใน ๗ เดือน ใน ๗ ปี เมื่อเหตุยังไม่สมควรแก่ผล ผลที่ถูกต้องก็จะเกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงนะคะ เรื่องกัปป์หรือว่าเรื่องเวลานาน
เพราะว่าท่านผู้ฟังอาจจะเคยอบรมเจริญมาแล้ว ใครจะรู้ว่านานเท่าไร เพราะฉะนั้น อาจจะเป็นในชาตินี้เองที่ท่านสามารถจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม หรือว่าในชาติต่อไปๆ แต่ว่าไม่ควรที่จะคิดถึง ว่าเมื่อไร แต่ว่าจะต้องเป็นผู้ที่จริงใจ แล้วก็ตรงว่า ขณะนี้มีสภาพธรรมกำลังปรากฏสามารถที่เข้าใจลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏถูกต้องตามความเป็นจริงหรือไม่ เช่นในขณะนี้ "เห็น" นี่เป็นสภาพธรรม ที่กำลังมีจริงๆ สติสัมปชัญญะไม่ผิดปกติเลย ถ้ามีความสามารถที่จะเข้าใจว่าขณะนี้ ลักษณะที่เห็นเป็นสภาพรู้ เป็นอาการรู้ และสี่งที่ปรากฏก็เป็นเพียงสี่งที่ปรากฏทางตา เท่านั้นหลังจากนั้นจึงมีการนึกคิดเป็นเรื่องราว เป็นสัตว์ เป็นบุคคล จากสี่งที่ปรากฏ ทางตาทั้งสี้น
แต่ให้ทราบว่าเมื่อกำลังคิดนึก ไม่ใช่ขณะที่เห็น เห็นเป็นเพียงเห็นค่ะ เพื่อที่จะแยกให้ออกว่าเห็นเป็นสภาพที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏให้เห็น หลังจากนั้นเป็นคิด ต้องแยกให้ออก ปรมัตถสัจจะ และ สมมติสัจจะ
เพราะฉะนั้น แต่ละบุคคลก็สามารถจะรู้ตัวเองตามความเป็นจริง เป็นปัจจัตตังนะคะ ความรู้ ความเข้าใจ ขณะที่ฟัง ขณะที่สติเกิด ขณะที่เรี่มพิจารณา ขณะที่เข้าใจ ขณะที่รู้จริงๆ ว่าสภาพธรรมที่ไม่ใช่ตัวตน แต่เป็นนามธรรม และรูปธรรมนั้นเป็นอย่างไร ผู้ที่ตรงและเป็นผู้ที่จริงใจ จึงจะสามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ แต่วันหนึ่งๆ การพิจารณาธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดมากจริงๆ เช่นทุกขณะในชีวิตประจำวัน เคยระลึกได้บ้างไหมคะว่า ติดทุกสี่งทุกอย่างโดยไม่รู้ตัว
การติดในสี่งที่กำลังปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นทางตาที่เห็น ทางใจที่คิดนึก เรื่องราวต่างๆ ทางหูที่ได้ยินเสียง ทางใจที่รู้เรื่องราวของเสียงต่างๆ ทางจมูก ทางลี้น ทางกาย ทั้งหมดทราบไหมคะว่าติดโดยไม่รู้ตัวอยู่ตลอดเวลา ติดในสภาพที่เกิดขึ้น ปรากฏทุกเหตุการณ์ ถ้าท่านจะเห็นสี่งหนึ่งสี่งใด แล้วรู้สึกไม่ถูกใจ ทราบไหมคะว่า เพราะอะไร เพราะว่าท่านติดในสี่งท่านพอใจ เพราะฉะนั้นเมื่อเห็นสี่งที่ไม่น่าพอใจ ก็ขุ่นเคืองใจ ด้วยเหตุนี้ถ้าสาวไปถึงทุกขณะในชีวิต จะพบว่าไม่ว่าจะเห็นดูเหมือนว่าธรรมดา แต่ความจริงแล้วในสี่งที่เห็น มีสัญญาวิปลาส มีจิตวิปลาส เพราะความคุ้นเคยที่จะเห็นสี่งที่ปรากฏ เป็นสัตว์ เป็นบุคคลต่างๆ นี่ก็ติดแล้วอย่าง รวดเร็ว ทั้งๆ ที่เวลาฟังธรรม ก็รู้ว่าไม่มีตัวตน สัตว์ บุคคล มีแต่นามธรรมและ รูปธรรมเท่านั้น ทั้งทางตา .... ทางกาย ทางใจ แล้วทำไมทันทีที่เห็น เป็นคนอีกแล้ว นี่แสดงถึงความคุ้นเคยอย่างมากทีเดียวกับการติดในสี่งที่เห็น โดยที่ไม่ระลึกรู้ ความจริงของสภาพธรรม แม้ว่าจะได้ฟังแล้ว ฟังแต่เรื่องของนามธรรมและรูปธรรม
เพราะฉะนั้น ก็ต้องฟังอีก แล้วก็มีความเข้าใจเพี่มขึ้นอีก ถึงจะรู้ได้ว่าค่อยๆ คลายการติด โดยขณะที่สติเกิด เป็นขณะที่จะระลึกรู้ความจริงของสภาพธรรมได้ว่า ขณะนี้ทางตาเป็นแต่เพียงสี่งที่ปรากฏ จะต้องอบรมเจริญปัญญาอย่างนี้เรื่อยไปจนกว่าจะรู้ ความจริง ไม่ว่าขณะใดที่สติเกิดเป็นปกติอย่างนี้ แต่เปลี่ยนจากการที่จะยึดถือว่าเป็น สัตว์ บุคคลเป็นความเห็นผิดที่มั่นคง โดยแม้จะรู้ว่าเป็นสัตว์ บุคคล ยังรู้ว่าเห็นสี่งที่ปรากฏ แล้วก็นึกถึงสี่งที่ปรากฏ แล้วก็นึกถึงสี่งที่ปรากฏ เป็นสัตว์ เป็นบุคคล ต่างๆ เป็นเรื่องจริง เป็นเรื่องตรง ต้องมีขันติความมอดทนมากในการที่ จะละคลายกิเลส เพราะว่าถ้ารู้ว่าวันหนึ่งกิเลสมากจริงๆ อย่างที่ได้เรียนให้ทราบแล้ว ว่าเพียงเห็น แล้วก็ไม่รู้ความจริง แล้วก็คุ้นเคยต่อการที่จะติดในสี่งที่เห็น โดยคิดว่า เป็นสัตว์ บุคคลต่างๆ เป็นเรื่อง เป็นราวต่างๆ นี่ก็แสดงให้เห็นว่าปกติธรรมดา ยังไม่ต้องโกรธใคร ยังไม่ต้องริษยาใคร ยังไม่ต้องทำทุจริตใดๆ ก็มีอกุศลมากมาย เป็นประจำอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นกว่าที่จะดับกิเลสหมดเป็นสมุจเฉทจริงๆ เห็นก็ไม่มีกิเลสเลย ได้ยินก็ไม่มีกิเลสเลย ได้กลิ่นก็ไม่มีกิเลสเลย ลี้มรส ... ไม่มีกิเลสใดๆ ทั้งสี้น กระทบสัมผัสก็ไม่มีกิเลส เป็นพระอรหันตบุคคล ซึ่งมีผู้ที่ บรรลุธรรมนี้มากมายมาแล้ว
เพราะฉะนั้น ผู้ที่กำลังอบรมเจริญปัญญาที่จะดับกิเลสนี้ ก็จะต้องเป็นผู้ที่อดทนต่อการที่จะเป็นคนดี จริงไหมคะ เรี่มจะเห็นอกุศล เกิดขณะใด ไม่ใช่คนอีน ในขณะนั้น มีความไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏขณะใด ก็ไม่ใช่คนดีในขณะนั้น เกิดโลภะ โทสะ โมหะ ขณะใด ก็ไม่ใช่คนดีในขณะนั้น
เพราะฉะนั้น ต้องอดทนที่กุศลจิตจะเกิด ที่จะเป็นคนดีมากสักเท่าไร กว่าที่กิเลสจะดับหมด นอกจากการที่จะ อดทนเป็นคนดี ยังจะต้องอดทนต่อการที่จะกระทำความดีด้วย เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ผู้ที่อยู่เฉยๆ เลยค่ะ ผู้ที่ใคร่ที่จะดับกิเลส ต้องเป็นผู้ที่ขยัน เป็นผู้ที่ขวนขวาย เป็นผู้ที่อดทนต่อการที่จะฟังพระธรรมให้เข้าใจ และ ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมด้วยใจจริง ซึ่งการละกิเลสเป็นเรื่องจริง เป็นสัจจะ เป็นสัจจธรรม พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสวงหาหนทางจนกระทั่งสามารถ ดับกิเลสได้หมดสี้นเป็นสมุจเฉท เพราะสามารถประจักษ์สภาพธรรม ทั้งที่เป็นโลกียธรรม และ โลกุตตรธรรม
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แต่ข้อที่บุคคลผู้เพียบพร้อมด้วย กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต เมื่อแตกกายตายไป พึงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพราะความเพียบพร้อมด้วย กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต เป็นเหตุเป็นปัจจัย นั้น เป็นฐานะที่จะมีได้"
กราบสวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๖ ที่จะถึงนี้ พร้อมทั้งกราบขอบพระคุณและขออนุโมทนา ในความปรารถนาดีของคุณหมอเพิ่มสมบัติมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ และขออนุญาตส่งความปรารถนาดีมายังคุณหมอและครอบครัว ให้มีสุขภาพแข็งแรง มุ่งหวังสิ่งใดก็สำเร็จด้วยกุศลจิต ที่คุณหมอเกื้อกูลสหายธรรมด้วย กระทู้ธรรมะ ที่เป็นประโยชน์ โดยตลอดมาครับ
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณและอนุโมทนาคุณผู้ร่วมเดินทาง คุณผเดิม คุณtookta คุณเมตตา และ ทุกท่านครับ
ความสุข สวัสดี และ พร ที่ผมได้อวยพรในกระทู้ ส. ค. ส. ที่ผมโพสต์ไป จงประสพกับคุณผู้ร่วมเดินทางพร้อมทั้งครอบครัวด้วย ครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอขอบคุณสำหรับคำอวยพรที่ดีมากๆ เลยนะคะ
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
กราบสวัสดีปีใหม่ค่ะ คุณหมอสงบและครอบครัว ขอให้คุณหมอเจริญในธรรม โดยเฉพาะเจริญด้วยปัญญายิ่งๆ ขึ้นไปค่ะ
รศ. เพิ่มสมบัติ + พล.อ.ต.หญิง กาญจนา เชื้อทอง
คุณหมอคงจำได้นะคะว่า ได้เปลี่ยนชื่อกับอาจารย์สงบแล้ว
ตอบความคิดเห็นที่ 8
สวัสดีปีใหม่ครับ อาจารย์เพี่มสมบัติ และคุณแดง มีความสุข สวัสดี อยู่ด้วยกุศลธรรม (เป็นส่วนมาก) พร้อมทั้งปัญญาเจริญขึ้นๆ ..นะครับ ตั้งแต่แลกชื่อกัน ผมสงบขึ้นแยะเลยครับ
เรียน คุณหมอ ที่เคารพ
ตั้งแต่เปลี่ยนชื่อกัน อาจารย์สงบก็มีสมบัติเพิ่มขึ้น รวมทั้งอริยทรัพย์ด้วยค่ะ
สาธุ อนุโมทนาครับ
แต่ให้ทราบว่าเมื่อกำลังคิดนึก ไม่ใช่ขณะที่เห็น เห็นเป็นเพียงเห็นค่ะ เพื่อที่จะแยกให้ออกว่าเห็นเป็นสภาพที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏให้เห็น หลังจากนั้นเป็นคิด ต้องแยกให้ออก ปรมัตถสัจจะ และ สมมติสัจจะ
...กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาคุณหมอเพิ่มที่แบ่งปันสิ่งดีๆ มาให้เสมอ...
กราบสวัสดีปีใหม่ค่ะ คุณหมอเพิ่ม และทุกๆ ท่านค่ะ
ปีใหม่ ก็เป็นเพียงคำที่สมมติขึ้น เหมือนกับ เวลา
ปีใหม่ หรือเวลา ไม่ใช่ความดี แต่ความดีคือ ขณะที่กุศลเกิด
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ อย่างยิ่งค่ะ...
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ