ในเมื่อไม่มีอะไรเป็นของเรา แม้ธรรม
เมื่อละกิเลสที่หล่อหลอมสร้างเราได้แล้ว
ตอนมีชีวิตอยู่ จิตนั้นยังดำรงอยู่หรือไม่
แล้วเมื่อละสังขารไปแล้ว เข้าสู่นิพพาน จิตจะดับสูญไปด้วยหรือไม่ครับ
หรือว่าจิตไม่มีวันดับสูญ แตกสลายครับ ที่ดับมีแต่กิเลส
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย สภาพธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้นแล้วก็ต้องดับไป สภาพธรรมนั้นคือ จิต เจตสิก
รูป ครับ จิตเป็สภาพธรรมที่มีจริง เพราะมีจิต เจตสิก รูป จึงมีสมมติบัญญัติ บัญญัติว่าเป็น
สัตว์ บุคคล ครับ ซึ่ง จิตมีจริง แต่จิตไม่ใช่มีอยู่ ตั้งอยู่ตลอดเวลา แต่สภาพธรรมที่เป็น
จิต เมื่อมีเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้น เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ย่อมดับไปเป็นธรรมดาของสภาพธรรมที่
มีปัจจัยปรุงแต่ง คือ มีการเกิดขึ้นและต้องดับไปด้วยครับ ดังนั้นจิตนั้นไม่ได้ดำรงอยู่ แม้
แต่ตอนนี้ เช่น จิตเห็นเกิดขึ้น ดำรงอยู่ชั่วขณะและก็จิตเห็นก็ดับไป ไม่ได้ดำรงอยู่ตลอด
เวลา เพราะมีจิตประเภทอื่นเกิด เช่น จิตได้ยินก็เกิดสืบต่อได้ครับ หากจิตเห็นดำรงอยู่
ตลอดเวลา ก็จะไม่มีการได้ยินเลย เพราะเพียงแต่เห็นอย่างเดียวครับ
ดังนั้นจิตจึงมีหลายประเภท ไม่ใช่แค่ตัวจิตลอยๆ จึงเข้าใจว่าจิตดำรงอยู่ตลอดเวลา
ครับ เพราจิตเมื่อเกิดขึ้นและก็ดับไปและจิตดวงอื่นก็เกิดสืบต่อตามประเภทของจิต ตาม
เหตุปัจจัยครับ ดังนั้นคำว่ามีชีวิตอยู่ ก็คือ ขณะที่จิตเกิดขึ้นนั่นเอง เป็นขณะที่มีชีวิตอยู่
และขณะที่ดับไป ก็เป็นการตายชั่วขณะที่จิตดับไป ชีวิตจึงดำรงอยู่เพียงชั่วขณะจิตเท่า
นั้นครับ มีชีวิตเพราะมีจิตทีเกิดขึ้นและดับไปครับ แต่จิตไมได้ดำรงอยู่ตลอดเวลาเพราะ
เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปครับ
ส่วนเมื่อมีการอบรมเจริญปัญญาจนสามารถดับกิเลสได้หมดถึงความเป็นพระอรหันต์แล้ว
เมื่อพระอรหันต์ปรินิพพาน เมื่อหมดเหตุปัจจัยที่จะทำให้เกิดอีก ให้มีขันธ์ 5 ให้มีจิต
เจตสิก รูปอีก คือดับกิเลสหมด เมื่อปรินิพพาน ก็ไม่มีการเกิดขึ้นของจิต เจตสิก อีกเลย
ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพาน คือ การดับรอบหมดสิ้นของสภาพธรรมทั้งหมด จึง
ไม่มีการเกิดขึ้นของสภาพธรรมใดๆ ทั้งจิตด้วย เจตสิกและรูป ครับ ไม่มีการเกิดอีกเลย
ของสภาพธรรม รวมทั้งจิตด้วยครับ ดังนั้น จิตมีวันดับสูญ คือไม่เกิดอีกได้ เพราะดับเหตุ
ที่ไม่มีการเกิดขึ้นของจิต นั่นคือ ดับกิเลสหมด เมื่อดับกิเลสหมด พระอรหันต์สิ้นชีวิต ก็
ไม่มีการเกิดขึ้นของจิต เจตสิก รูปอีกเลยครับ ส่วนขณะนี้ จิตกำลังเกิดขึ้นและดับสูญ
ด้วย คือดับไป แต่ก็ยังมีจิตดวงใหม่เกิดขึ้น เพราะยังมีเหตุคือกิเลสที่ยังไม่ได้ดับ ครับ
ดังนั้น เมื่อใช้คำว่า "จิตดับสูญไป" จึงหมายถึง ดับชั่วขณะ และเกิดใหม่อีก ก็คือยังไม่ได้ดับสูญจริงๆ กับ เมื่อจิตดับไปแล้ว คือ จุติจิตของพระอรหันต์ดับไป ก็ไม่มีการเกิดขึ้นใหม่ของจิตอีก เป็นการดับสูญของจิตที่แท้จริงครับ
ส่วนสภาพธรรมที่เป็นพระนิพพาน เป็นสภาพธรรมที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง ไม่มีการเกิด
ขึ้นของสภาพธรรมใดๆ เลย ดังนั้น จิตจึงไม่มีอยู่ในนิพพาน รวมถึงสภาพธรรมอื่นๆ ด้วยที่
ไม่มีในพระนิพพานครับ ขออนุโมทนา
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น พระธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด ลึกซึ้ง แสดงถึงความเป็นจริงทั้งหมด เมื่อกล่าวถึงธรรมแล้ว ไม่พ้นไปจากนามธรรม และ รูปธรรม, สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรเลย ไม่ใช่นามธรรมก็เป็นรูปธรรมทั้งหมด รูปธรรม เกิดจากสมุฏฐานต่างๆ แล้วดับไป ไม่เที่ยงไม่ยั่งยืน นามธรรม แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ นามธรรมที่รู้อารมณ์ ได้แก่จิต และ เจตสิก [จิตและเจตสิก เกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน รู้อารมณ์เดียวกัน เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย มีขณะที่สั้นมาก เพียงแค่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไปเท่านั้น เมื่อดับไปแล้วก็เป็นเหตุให้จิตขณะต่อไป เกิดสืบต่อ เป็นไปอย่างนี้ อย่างไม่ขาดสาย ซึ่งเป็นอย่างนี้มานานแล้วในสังสารวัฏฏ์] และนามธรรมที่ไม่รู้อารมณ์ ได้แก่ พระนิพพาน
ที่เป็นสภาพธรรมที่ไม่เกิด ไม่ดับ แต่มีจริง พระอริยบุคคลขั้นต่างๆ เท่านั้นที่ประจักษ์แจ้งพระนิพพานได้
การเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่า่งๆ เป็นได้ด้วยปัญญา และต้องเป็นปัญญาของแต่ละบุคคลจริง ๆ ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องในหนทางที่เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์แห่งจิต คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิ เป็นต้น ถ้าไม่มีปัญญาเลย ก็ไม่สามารถเป็นพระอริยบุคคล ได้
สำหรับพระอริยบุคคลขั้นสูงสุด คือ พระอรหันต์ เมื่อดับกิเลสหมดแล้วไม่มีกิเลสใดๆ เกิดขึ้นอีกเลย แต่ก็ยังมีสภาพธรรม กล่าวคือ จิต เจตสิก (ที่ไม่เป็นไปกับด้วยกิเลส) และ รูปเกิดขึ้นเป็นไป ท่านยังมีเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ยังมีการได้รับผลของกรรม ยังมีความเกิดขึ้นแห่งจิตที่ดีงามในการทำประโยชน์เกื้อกูลแก่บุคคลอื่น เป็นต้น ซึ่งก็ยังเป็นการเกิดดับสืบต่อกันของสภาพธรรม ยังมีสภาพธรรมเป็นไปอยู่ จนกว่าท่านจะดับขันธปรินิพพาน เมื่อนั้นท่านจึงจะไม่มีการเกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ ไม่มีจิต เจตสิก และ รูป เกิดขึ้นอีกเลย จึงเป็นผู้สิ้นทุกข์โดยประการทั้งปวง ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
นิพพานเป็นนามธรรม ไม่ใข่้จิต เจตสิก รูป นิพพานไม่เกิด ไม่ดับ นิพพานเที่ยง
และเป็นสุข พระอริยบุคคลเท่านั้นที่จะประจักษ์แจ้งพระนิพพานได้ ปุถุชนยังไม่ไปถึง
พระนิพพาน นอกจากอบรมเหตุ คือการเจริญอริยมรรคมีองค์แปด เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม
ก็ทำให้ข้ามพ้นจากความเป็นปุถุชน สู่ความเป็นพระอริยบุคคลได้ค่ะ
ขอบพระคุณมากครับ เป็นหลักที่พึ่งทางปัญญา ดีแท้
นิพพาน ยังมีจิตอยู่ไหม
แสดงเป็นนัยๆ ว่า นิพพานแบบตายไปแล้ว
นิพพาน มีอีกแบบคือ นิพพานทั้งๆ ที่ยังมีชีวิต
พระอรหันต์ทั้งหลาย ชื่อว่า ท่านบรรลุพระนิพพานแล้ว
ขันธ์5 ของปุถุชุน กับขันธ์5 ของพระอรหันต์ นั้นแตกต่างกัน
รูปบางรูป ไม่เกิด เมื่อเป็นพระอรหันต์ เช่น รูปหญิง รูปชาย
เวทนาบางอย่าง ไม่เกิด กับพระอรหันต์ เช่น โทมนัสเวทนา
สัญญาบางอย่าง ไม่เกิด กับพระอรหันต์ เช่น.....
สังขารหลายอย่าง ไม่เกิด กับพระอรหันต์ เช่น โลภะ โทสะ โมหะ และอื่นๆ
วิญญาณบางประเภท ไม่เกิด กับพระอรหันต์ เช่น ประเภทกุศล อกุศล
จึงเห็นได้ว่า ขันธ์5 ได้เปลี่ยนไปเป็น วิสุทธิขันธ์
จึงได้ชื่อว่า บรรลุพระอรหันต์ หรือบรรลุพระนิพพาน นั่นเอง
เป็นเรื่องขณะที่ยังมีชีวิตอยู่
ใครสามารถทำให้ ขันธ์5 เปลี่ยนเป็นวิสุทธิขันธ์ คนผู้นั้นก็เข้าสู่นิพพาน
อย่างไร ก็ตาม ...........
ความเห็นทั้งหมดของผม ก็ต้องขอผ่านการตรวจสอบ จากท่านผู้ทรงความรู้ทางอภิธรรม
ที่นี่ ด้วยนะครับ เพราะเป็นแค่ความคิดเห็นส่วนตัวครับ
เรียนความเห็นที่ 6 ครับ
นิพพานที่ดับกิเลสหมด แต่ยังมีขันธ์ 5 อยู่ คือ สอุปาทิเสสนิพพาน เช่น เมื่อพระ
พุทธเจ้าตรัสรู้ที่พุทธคยา ที่ต้นพระศรีมหาโพธ์ ขณะนั้นดับกิเลสหมด แต่ต้องเป็นผู้
ละเอียดว่า ท่านมุ่งหมายถึง การดับกิเลสที่พระอรหันต์ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งขณะที่ดับกิเลส
หมด คือ อรหันตมรรคจิตเกิดขึ้น ดับกิเลสหมด ขณะนั้นมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ ดังนั้น
พระนิพพานที่เป็นอารมณ์ในขณะนั้นที่ดับกิเลสหมด แต่ตัวพระนิพพานที่เป็นอารมณ์ใน
ขณะที่ดับกิเลส พระนิพพานเป็นสัจจะ ไม่เปลี่ยนเลย คือ เป็นสภาพธรรมที่ไม่เกิดและ
ไม่ดับ เพราะไม่มีขันธ์ 5 ในพระนิพพาน ไม่มีจิตและเจตสิกเกิดขึ้นเลยในพระนิพพาน
ครับ แต่พระนิพพานเป็นอารมณ์ของผู้ที่ดับกิเลสได้ ดังนั้นขันธ์ ของผู้ที่ดับกิเลสแล้ว
ส่วนหนึ่ง พระนิพพานทีเป็นอารมณ์ของผู้ที่ดับกิเลส ผู้ที่มีขันธ์ 5 อยู่ก็ส่วนหนึ่ง ดังนั้น
ขันธ์ 5 จึงไม่มีอยู่ในพระนิพพานเลยครับ
ส่วนที่กล่าวว่า รูปของพระอรหันต์ไม่มีภาวรูปแล้ว อันนี้ไม่ใช่ครับ เพราะยังมีอยู่ ตราบ
เท่าที่จะปรินิพพานครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนาครับ
แล้ว ที่ว่า พระอรหันต์ ไม่มีเพศ นี่มีที่มาที่ไปอย่างไรครับ
คือผมเคยได้ยินมา หลายครั้ง
ว่า พอบรรลุเป็นพระอรหันต์ แล้ว ไม่มีความรู้สึกเป็นผู้หญิงผู้ชายอีกแล้วครับ
คือท่านไม่มีเพศ
แต่อวัยวะยังคงมีเหมือนเดิมแหละครับ
แต่สภาพจิต คงไม่มีแบ่งแยกว่า ชาย หรือ หญิง หรือเพศอื่นใด
อันนี้เป็นเรื่อง ได้ยิน ได้ฟังมาครับ แต่ผมก็ยังหาหลักฐานที่มาไม่ได้
ว่าคนพูดนั้น หยิบยกมาจาก หนังสือเล่มไหน
เราต้องแยกระหว่าง รูปที่เป็นภาวรูปซึ่งเป็นรูปที่แสดงถึงลักษณะชาย-หญิง กับความรู้สึกที่
ชอบเพศตรงกันข้าม ซึ่งพระอรหันต์ดับโลภะหมดแล้วครับ ไม่มีความรู้สึกชอบในหญิงและ
ชาย แต่ท่านยังมีภาวรูป เช่น ปุริสภาวรูป รูปซึ่งแสดงถึงลักษณะของความเป็นชาย หรือ อิตถีภาวรูปซึ่งแสดงถึงลักษณะความเป็นหญิง จนกว่าจะปรินิพพาน ถึงจะไม่มีภาวรูปครับ
เคยได้ยินมา ถึงขนาดว่า อวัยวะนั้น เหี่ยวแห้ง หมดสภาพไปเลย
มีคนกล่าวถึงขนาดนั้น
ผมจึงคิดว่า ภาวรูป ก็ไม่บังเกิดอีก
แต่สิ่งที่มีอยู่ก่อนเป็นพระอรหันต์ เกิดจาก ดิน น้ำ ลม ไฟ คงยังสภาพเอาไว้
ไม่ได้หายไปต่อหน้าต่อตา ............. แต่ค่อยๆ เหี่ยวแห้งไป
ส่วนความรู้สึกนั้น หมดไป ตั้งแต่บรรลุ แล้ว
หาที่มา ของคำพูด ประเภทนี้ ไม่เจอ เหมือนกันครับ
แต่คนเก่าๆ เขาพูดกัน อย่างนั้น เคยได้ยิน
เรียนความเห็นที่ 10 ครับ
อวัยวะเหี่ยวแห้งอะไรนั้นคิดเอาเองครับ ไม่ตรงตามพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง
ส่วนภาวรูปก็อยู่จนกว่าจะปรินิพพานครับ ถ้าภาวรูปหายไปก็กลายเป็นพวกไม่มีเพศ เป็นไป
ไมไ่ด้สำหรับบุคคลที่เป็นพระอรหันต์ เพราะผู้ที่ไม่มีเพศ แม้พระพุทธเจ้ายังไม่ให้บวชเลย
ครับ ส่วนความรู้สึกในที่นี้หมายถึง ไม่มีโลภะดับหมด จึงไม่มีความรู้สึกพอใจ ติดข้องที่
เ่กิดจากโลภะครับ