๑. ชฏิลสูตร ไม่ควรวางใจ เพราะเห็นครู่เดียว
โดย บ้านธัมมะ  29 ส.ค. 2564
หัวข้อหมายเลข 36284

[เล่มที่ 24] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 452

ทุติยวรรคที่ ๒

๑. ชฏิลสูตร

ไม่ควรวางใจ เพราะเห็นครู่เดียว


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 24]



ความคิดเห็น 1    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 452

ทุติยวรรคที่ ๒

๑. ชฏิลสูตร

ไม่ควรวางใจ เพราะเห็นครู่เดียว

[๓๕๔] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารบุพพาราม ปราสาทของมิคารมารดา กรุงสาวัตถี.

สมัยนั้น ในเวลาเย็น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากที่เร้นแล้วประทับนั่งที่นอกซุ้มประตู.

ครั้งนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.

[๓๕๕] สมัยนั้น ชฏิล ๗ คน นิครนถ์ ๗ คน อเจลก ๗ คน เอกสาฎกนิครนถ์ ๗ คน ปริพาชก ๗ คน ผู้มีขนรักแร้ เล็บ และขนยาว ถือเครื่องบริขารต่างๆ เดินผ่านไปในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาคเจ้า.

ทันใดนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลก็เสด็จลุกจากอาสนะ ทรงกระทำพระภูษาเฉวียงพระอังสาข้างหนึ่ง ทรงจดพระชานุมณฑลเบื้องขวา ณ พื้นแผ่นดิน ทรงประนมอัญชลีไปทางชฏิล ๗ คน นิครนถ์ ๗ คน อเจลก ๗ คน เอกสาฎก ๗ คน ปริพาชก ๗ คน เหล่านั้นแล้ว ทรงประกาศพระนาม ๓ ครั้งว่าท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าคือ พระราชาปเสนทิโกศล... ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้า คือพระราชาปเสนทิโกศล.

ลำดับนั้น เมื่อชฏิล ๗ คน นิครนถ์ ๗ คน อเจลก ๗ คน เอกสาฎก ๗ คน ปริพาชก ๗ คนเหล่านั้น เดินผ่านไปได้ไม่นาน พระเจ้า


ความคิดเห็น 2    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 453

ปเสนทิโกศล เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายบังคมแล้ว ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.

พระเจ้าปเสนทิโกศล ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกนักบวชเหล่านั้น คงเป็นพระอรหันต์ หรือท่านผู้บรรลุพระอรหัตตมรรคเหล่าใดเหล่าหนึ่งในโลก.

[๓๕๖] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนมหาบพิตร พระองค์เป็นคฤหัสถ์บริโภคกาม ครอบครองเรือน บรรทมเบียดพระโอรสและพระชายา ทาจุรณจันทน์อันมาแต่แคว้นกาสี ทรงมาลาของหอมและเครื่องลูบไล้ ยินดีเงินและทอง ยากที่จะรู้เรื่องนี้ว่า คนพวกนี้เป็นพระอรหันต์ หรือคนพวกนี้บรรลุอรหัตตมรรค.

ดูก่อนมหาบพิตร ศีลพึงรู้ได้ด้วยการอยู่ร่วมกัน ก็ศีลนั้นจะพึงรู้ได้โดยกาลนาน ไม่ใช่ด้วยกาลเล็กน้อย ผู้ใส่ใจจึงจะรู้ได้ ผู้ไม่ใส่ใจก็ไม่รู้ ผู้มีปัญญาจึงจะรู้ได้ ผู้มีปัญญาทรามก็ไม่รู้.

ดูก่อนมหาบพิตร ความสะอาดพึงรู้ได้ด้วยการงาน ก็ความสะอาดนั้นจะพึงรู้ได้ด้วยกาลนาน ไม่ใช่ด้วยกาลเล็กน้อย ผู้ใส่ใจจึงจะรู้ได้ ผู้ไม่ใส่ใจก็ไม่รู้ ผู้มีปัญญาจึงจะรู้ได้ ผู้มีปัญญาทรามก็ไม่รู้.

ดูก่อนมหาบพิตร กำลังใจพึงรู้ได้ในคราวมีอันตราย ก็กำลังใจนั้นจะพึงรู้ได้ด้วยกาลนาน ไม่ใช่ด้วยกาลเล็กน้อย ผู้ใส่ใจจึงจะรู้ได้ ผู้ไม่ใส่ใจก็ไม่รู้ ผู้มีปัญญาจึงจะรู้ได้ ผู้มีปัญญาทรามก็ไม่รู้.

ดูก่อนมหาบพิตร ปัญญาพึงรู้ได้ด้วยการสนทนา ก็ปัญญานั้นจะพึงรู้ได้ด้วยกาลนาน ไม่ใช่ด้วยกาลเล็กน้อย ผู้ใส่ใจจึงจะรู้ได้ ผู้ไม่ใส่ใจก็ไม่รู้ ผู้มีปัญญาจึงจะรู้ได้ ผู้มีปัญญาทรามก็ไม่รู้.


ความคิดเห็น 3    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 454

[๓๕๗] พระเจ้าปเสนทิโกศลกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เรื่องไม่เคยมีแล้ว ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เท่าที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนมหาบพิตร พระองค์เป็นคฤหัสถ์ บริโภคกาม... ยากที่จะรู้เรื่องนี้... ผู้มีปัญญาจึงจะรู้ได้ ผู้มีปัญญาทรามก็ไม่รู้ ดังนี้ เป็นอันตรัสดีแล้ว.

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นักบวชเหล่านั้นเป็นคนของข้าพระองค์ เป็นจารบุรุษ เป็นคนสืบข่าวลับ เที่ยวสอดแนมไปยังชนบทแล้วพากันมา ในภายหลังข้าพระองค์จึงจะรู้เรื่องราวที่คนเหล่านั้นสืบได้ก่อน.

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้คนเหล่านั้น ชำระล้างละอองธุลีนั้นแล้ว อาบดี ประเทืองผิวดี โกนผมและหนวดแล้ว นุ่งห่มผ้าขาว เอิบอิ่มเพรียบพร้อมด้วยเบญจกามคุณ บำเรอข้าพระองค์อยู่.

[๓๕๘] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบความนี้แล้ว จึงได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ในเวลานั้นว่า

คนผู้เกิดมาดี ไม่ควรไว้วางใจเพราะผิวพรรณและรูปร่าง ไม่ควรไว้วางใจเพราะการเห็นกันชั่วครู่เดียว เพราะว่านักบวชผู้ไม่สำรวมทั้งหลาย ย่อมเที่ยวไปยังโลกนี้ด้วยเครื่องบริขารของเหล่านักบวชผู้สำรวมดีแล้ว ประดุจกุณฑลดิน และมาสกโลหะหุ้มด้วยทองคำปลอมไว้ คนทั้งหลายไม่บริสุทธิ์ในภายใน งามแต่ภายนอก แวดล้อมด้วยบริวารท่องเที่ยวอยู่ในโลก.


ความคิดเห็น 4    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 455

อรรถกถาชฏิลสูตร

พึงทราบวินิจฉัยในชฏิลสูตรที่ ๑ วรรคที่ ๒ ต่อไป :-

บทว่า ปุพฺพาราเม มิคารมาตุปาสาเท ได้แก่ บนปราสาทของนางวิสาขา มารดาของมิคารเศรษฐี ในวิหารที่ชื่อว่าปุพพาราม.

ในเรื่องปุพพารามนั้น ลำดับความดังนี้

เรื่อง ปุพพาราม

ครั้งอดีตกาล เมื่อสุดแสนกัป อุบาสิกาผู้หนึ่งนิมนต์พระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่า ปทุมุตตระ ถวายทานแก่ภิกษุแสนรูป มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน หมอบอยู่แทบเบื้องบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทำความปรารถนาว่า ข้าพระองค์ขอเป็นอุปัฏฐายิกาผู้เลิศของพระพุทธเจ้า เช่นกับพระองค์ในอนาคตกาลด้วยเถิด. ต่อมา นางท่องเที่ยว [เวียนว่ายตายเกิด] ในเหล่าเทวดาและมนุษย์ถึงแสนกัป ถือปฏิสนธิในครรภ์นางสุมนเทวี ในเรือนของธนัญชัยเศรษฐี บุตรเมณฑกเศรษฐีในภัททิยนคร ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้าของเรา. เวลาเกิด บิดามารดาขนานนามว่า วิสาขา. คราวใด พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จภัททิยนคร คราวนั้น นางพร้อมด้วยเด็กหญิงห้าร้อยคน ก็จะรับเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้เป็นโสดาบัน ในการพบครั้งแรกเลยทีเดียว. ต่อมานางไปสู่เรือน [มีเรือน] ของปุณณวัฒนกุมาร บุตรมิคารเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ณ ที่นั้น มิคารเศรษฐีสถาปนานางไว้ในตำแหน่งมารดา เพราะฉะนั้น นางจึงถูกเรียกว่า มิคารมารดา. ในปราสาทที่มิคารมารดาสร้างแล้ว.


ความคิดเห็น 5    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 456

บทว่า พหิทฺวารโกฏฺเก แปลว่า ภายนอกซุ้มประตูปราสาท ไม่ใช่ภายนอกซุ้มประตูพระวิหาร.

ได้ยินว่า ปราสาทนั้นล้อมด้วยกำแพง ซึ่งประกอบซุ้มประตูไว้ ๔ ประตู โดยรอบเหมือนโลหประสาท. บรรดาซุ้มประตูทั้ง ๔ นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งเหนือพุทธอาสน์อันประเสริฐ ตรวจดูโลกธาตุด้านทิศตะวันออก ที่ร่มเงาของปราสาทภายนอกซุ้มประตูด้านตะวันออก.

บทว่า ปรุฬฺหกจฺฉนขโลมา ได้แก่ มีขนรักแร้งอกแล้ว มีเล็บงอกแล้ว มีขนงอกแล้ว อธิบายว่า มีขนยาวที่รักแร้ เป็นต้น และมีเล็บยาว.

บทว่า ขาริวิวิธํ แปลว่า บริขารต่างๆ ได้แก่ สิ่งของที่เป็นบริขารของนักบวชต่างๆ ชนิด.

บทว่า อวิทูเร อติกฺกมนฺติ ได้แก่ เข้าไปยังพระนครโดยทางนี้ไม่ไกล.

บทว่า ราชาหํ ภนฺเต ความว่า ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้า คือพระเจ้าปเสนทิโกศล ขอท่านทั้งหลายจงทราบนามของข้าพเจ้าเถิด.

ถามว่า เพราะเหตุไร พระราชาประทับนั่งในสำนักของบุคคลผู้เลิศแล้ว จึงยังทรงประคองอัญชลีแก่นักบวชเปลือยผู้ไร้สิริเห็นปานนั้นเล่า.

ตอบว่า เพราะเพื่อประโยชน์แก่การสงเคราะห์.

แท้จริง พระราชานั้น ทรงพระดำริอย่างนี้ว่า ถ้าเราจักไม่ทำอัญชลีแม้เพียงเท่านี้แก่นักบวชเหล่านั้นไซร้ นักบวชเหล่านั้น ก็จักคิดว่า เสียแรงเราละลูกเมียไปเสวยทุกข์มีกินลำบากนอนลำเค็ญ เป็นต้น เพื่อประโยชน์แก่พระองค์ พระราชาพระองค์นี้ก็ยังไม่ทำเพียงอัญชลีแก่เราดังนี้แล้ว ก็จักปกปิดสิ่งที่เห็นที่ฟังมาด้วยตนเองแล้วไม่ยอมบอก แต่เมื่อเราทำอัญชลีอย่างนี้แล้ว พวกเขาก็จักไม่ปกปิดยอมบอก เพราะฉะนั้น พระราชาจึงทูลอย่างนี้. อีกอย่างหนึ่ง ทรงทำอย่างนี้ ก็เพื่อที่จะทรงทราบอัธยาศัยของพระศาสดา.

บทว่า กาสิกจนฺทนํ ได้แก่ พร้อมทั้งจันทน์อันละเอียด.

บทว่า มาลาคนฺธวิเลปนํ ได้แก่ ทัดทรงดอกไม้เพื่อประโยชน์แก่สีและกลิ่น ของหอม


ความคิดเห็น 6    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 457

เพื่อประโยชน์แก่ความเป็นของหอม และเครื่องลูบไล้ ก็เพื่อประโยชน์แก่สีและกลิ่น.

บทว่า สํวาเสน แปลว่า โดยการอยู่ร่วมกัน.

บทว่า สีลํ เวทิตพฺพํ ได้แก่ เมื่ออยู่ร่วมกัน ใกล้ชิดกันก็พึงทราบได้ว่าผู้นี้มีศีล คือปกติดี หรือปกติชั่ว.

บทว่า ตญฺจ โข ทีเฆน อทฺธุนา น อิตรํ ความว่า ก็ศีลนั้นบุคคลพึงรู้โดยกาลนานๆ ไม่ใช่นิดหน่อย. เป็นความจริง อาการสำรวม และอาการของผู้สำรวมอินทรีย์ อาจแสดงออกมา ๒ - ๓ วัน.

บทว่า มนสิกโรตา ความว่า ศีลแม้นั้น ผู้ใส่ใจ พิจารณาดูว่า เราจักกำหนดถือศีลของผู้นั้น ก็อาจรู้ได้ นอกนี้ก็รู้ไม่ได้.

บทว่า ปญฺวตา ความว่า ศีลนั้น อันบัณฑิตผู้มีปัญญาเท่านั้นจึงจะรู้ได้ เพราะว่า คนเขลาถึงใส่ใจก็ไม่สามารถจะรู้ได้.

บทว่า สํโวหาเรน แปลว่า ด้วยการสนทนากัน.

โวหารในคำนี้ว่า

โย หิ โกจิ มนุสฺเสสุ โวหารํ อุปชีวติ เอวํ วาเสฏฺ ชานาหิ วาณิโช โส น พฺราหฺมโณ

ในหมู่มนุษย์ ผู้ใดผู้หนึ่ง อาศัยการซื้อขายเลี้ยงชีวิต ดูก่อนวาเสฏฐะ ท่านจงรู้อย่างนี้ว่า ผู้นั้นเป็นพานิช ไม่ใช่พราหมณ์ ดังนี้

ชื่อว่า สังโวหาร. โวหาร ในคำนี้ว่า อริยโวหาร ๔ อนริยโวหาร ๔ ชื่อว่า เจตนาโวหาร.

โวหาร ในคำนี้ว่า สังขา การนับ สมัญญา การตั้งชื่อ ปัญญัติโวหาร โวหาร คือการบัญญัติ ชื่อว่า ปัญญัตติโวหาร.

โวหารในคำนี้ว่า ผู้นั้นพึงพูด โดยสักว่าโวหาร ชื่อว่า กถาโวหาร.

แม้ในที่นี้ก็ประสงค์เอากถาโวหารนี้เท่านั้น.

จริงอยู่ คำพูดต่อหน้าของคนบางคน ไม่


ความคิดเห็น 7    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 31 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 458

สมกับคำพูดลับหลัง และคำพูดลับหลังไม่สมกับคำพูดต่อหน้า คำพูดคำก่อนกับคำพูดคำหลัง และคำพูดคำหลังกับคำพูดคำก่อน ก็เหมือนกัน ผู้นั้น อันผู้พูดด้วยเท่านั้น อาจรู้ได้ว่าบุคคลนี้ไม่สะอาด. ส่วนคำก่อนกับคำหลังของผู้มีความสะอาดเป็นปกติ และคำหลังกับคำก่อน ที่เขาพูดต่อหน้าย่อมสมกับคำที่เขาพูดลับหลัง และคำพูดลับหลัง ก็สมกับคำพูดที่เขาพูดต่อหน้า เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงประกาศว่า ผู้พูดอาจรู้ความเป็นผู้สะอาดได้ จึงตรัสอย่างนี้.

บทว่า ถาโม ได้แก่ กำลังแห่งญาณ.

จริงอยู่ กำลังญาณของผู้ใดไม่มี เมื่อเกิดอุปัทวันตรายขึ้น ผู้นั้นก็มองไม่เห็นการถือสิ่งที่ควรถือ กิจที่ควรทำ ย่อมประพฤติเหมือนดังเข้าไปยังเรือนที่มืดตื้อ ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ถวายพระพร บุคคลพึงรู้กำลัง [ญาณ] ได้ก็ในคราวมีอันตราย.

บทว่า สากจฺฉาย ได้แก่ การสนาทนากัน.

จริงอยู่ ถ้อยคำของคนทรามปัญญา ย่อมเลื่อนลอย เหมือนลูกยางลอยน้ำ ปฏิภาณของผู้มีปัญญาพูดไม่มีที่สิ้นสุด.

เป็นความจริง โดยอาการที่น้ำไหว เขาก็รู้ได้ว่า ปลาตัวเล็กหรือตัวโต.

บทว่า โอจรกา ได้แก่ ประพฤติเบื้องต่ำ [ใต้ดิน] จริงอยู่พวกจารบุรุษ แม้จะประพฤติอยู่ตามยอดเขา ก็ชื่อว่าประพฤติต่ำทั้งนั้น.

บทว่า โอจริตฺวา ได้แก่ ประพฤติต่ำ สอดแนม สอดรู้เรื่องนั้นๆ.

บทว่า รโชชลฺลํ ได้แก่ ธุลีและน้ำ.

บทว่า วณฺณรูเปน ได้แก่ โดยวรรณะและทรวดทรง.

บทว่า อิตรทสฺสเนน ได้แก่ การเห็นกันนิดหน่อย.

บทว่า วิยญฺชเนน ได้แก่ เครื่องบริขาร.

บทว่า ปฏิรูปโก มตฺติกกุณฺฑโล จ ได้แก่ ตุ้มหูทองเทียม ตุ้มหูดิน.

บทว่า โลหฑฺฒมาโส ได้แก่ มาสกทำด้วยโลหะ.

จบอรรถกถาชฏิลสูตรที่ ๑