ขอกล่าวถึงอีกสูตรหนึ่ง คือ ใน อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต วิสาขสูตร ท่านอาจจะคิดว่าในพระสูตรนี้ไม่มีข้อความอะไร แต่ถ้าไม่มีประโยชน์แล้วก็คงไม่ทรงแสดงไว้เป็นแน่ ข้อความใน วิสาขสูตร มีว่า
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่าน อนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็โดยสมัยนั้นแล ท่านวิสาขปัญจาริบุตรได้ชี้แจงภิกษุทั้งหลายในอุปัฏฐานศาลา ให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริงด้วยธัมมีกถาอันเป็นวาจาของชาวเมือง สละสลวยปราศจากโทษ ให้เข้าใจความได้แจ่มแจ้ง นับเนื่องในนิพพาน ไม่อิงวัฏฏะ
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงออกจากที่เร้นในสายันตสมัย เสด็จไปยังอุปัฏฐานศาลา แล้วประทับนั่งบนอาสนะที่ปูลาดไว้ ครั้นแล้วตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ใครหนอชี้แจงภิกษุทั้งหลายในอุปัฏฐานศาลา ให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริงด้วยธัมมีกถา อันเป็นวาจาของชาวเมือง สละสลวย ปราศจากโทษ ให้เข้าใจความได้แจ่มแจ้ง นับเนื่องในนิพพาน ไม่อิงวัฏฏะ
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านวิสาขปัญจาริบุตรชี้แจงภิกษุทั้งหลายในอุปัฏฐานศาลา ให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริงด้วยธัมมีกถา อันเป็นวาจาของชาวเมือง สละสลวย ปราศจากโทษ ให้เข้าใจความได้แจ่มแจ้ง นับเนื่องในนิพพาน ไม่อิงวัฏฏะ
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะท่านวิสาขปัญจาลิบุตรว่า
ดีละ ดีละ วิสาขะ เป็นการดีแล้ว วิสาขะที่เธอชี้แจงภิกษุทั้งหลายให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริงด้วยธัมมีกถา อันเป็นวาจาของชาวเมือง สละสลวย ปราศจากโทษ ให้เข้าใจความได้แจ่มแจ้ง นับเนื่องในนิพพาน ไม่อิงวัฏฏะ
คนที่ไม่พูด ชนทั้งหลายย่อมรู้ไม่ได้ว่า เป็นพาลหรือบัณฑิต ส่วนคนที่พูด ชนทั้งหลายย่อมรู้ว่า เป็นผู้แสดงอมตบท บุคคลพึงยังธรรมให้สว่างแจ่มแจ้ง พึงยกย่องธงของฤๅษีทั้งหลาย ฤๅษีทั้งหลายมีสุภาษิตเป็นธง เพราะว่าธรรมเป็นธงของพวกฤๅษี
ทำไมพระผู้มีพระภาคทรงอนุโมทนาท่านวิสาขปัญจาลิบุตร ถ้าการเจริญสติ-ปัฏฐานไม่ใช่เรื่องชีวิตปกติประจำวัน แต่เพราะเหตุว่าการเจริญสติปัฏฐานนั้นเป็นการรู้สภาพธรรมที่เป็นปกติในชีวิตประจำวัน รู้ชัดขึ้น ทั่วขึ้น ไม่มีความเคลือบแคลงสงสัยในลักษณะของนามธรรมของรูปธรรมใดๆ ที่กำลังปรากฏ ที่สติระลึกรู้ในขณะนั้น เป็นชีวิตปกติธรรมดา
ท่านวิสาขปัญจาลิบุตรได้ชี้แจงภิกษุทั้งหลายในอุปัฏฐานศาลา ให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริงด้วยธัมมีกถา แสดงแล้วเศร้าสร้อยเป็นทุกข์กันหรือไม่ ให้เห็นทุกข์ ก็เลยนั่งซึมเป็นทุกข์กัน หรือให้อาจหาญ ให้ร่าเริงด้วยธัมมีกถา ใครเป็นอย่างไร สะสมมาอย่างไรที่สุขเวทนาจะเกิดก็เกิด สติก็ระลึกรู้ได้ ไม่ใช่ไปข่มไว้ให้ทุกข์ ให้โศก ให้เศร้าสร้อยกลายเป็นอีกคนหนึ่ง หม่นหมองตรอมตรม แล้วก็เลยไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง แต่ว่าในธรรมวินัยนี้ไม่มีเลยที่จะให้เป็นอย่างนั้น
ที่ว่าให้อาจหาญ ให้ร่าเริงในกุศลธรรม เพราะเหตุว่าธรรมที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงแล้วเป็นสภาพธรรมที่มีจริงทุกขณะ พิสูจน์ได้เมื่อมีของจริง แล้วแสดงเรื่องความจริงให้พิสูจน์ได้ มีหนทางที่จะพิสูจน์ได้ จะรู้สึกอาจหาญร่าเริงไหม ไม่ต้องท้อถอยว่า ภัยในวัฏฏะนี้จะพ้นได้อย่างไร เพราะเหตุว่าเป็นของที่มีปรากฏอยู่ทุกๆ ขณะที่จะให้สติระลึก แล้วก็รู้ชัดตามปกติตามความเป็นจริง เมื่อมีของจริง มีหนทางที่จริง ที่จะทำให้รู้แจ้งได้จริง ละความไม่รู้ได้จริง ผู้ฟังก็ย่อมอาจหาญ ร่าเริง จะถึงวันไหน ก็แล้วแต่สติจะระลึกรู้สภาพธรรมเพิ่มขึ้น มากขึ้น ชัดขึ้น
ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...
แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 125