ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
"ไม่รู้อะไรเลย จนกว่าจะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า"
ถอดจากคำสนทนาของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี
วันเสาร์ที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๔
ดอกบัว ที่ มศพ.
~ เราไม่ใช่เรียนจำ พูดถึงพระอรหันต์ พูดถึงดับกิเลส พูดถึงพระอนาคามี กิเลสอะไรดับ อนุสัย (กิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในจิต) ดับ แต่ไม่ได้เข้าใจอะไรเลย เหมือนเพ้อ
~ ถ้าเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ไม่เพ้อ แต่นี่สิ่งที่มีจริงยังไม่เข้าใจแล้วเพ้อไปไหน
~ ถ้าไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มี ไม่มีวันจะเข้าใจว่า พระอรหันต์ ดับอะไร อนุสัยอยู่ที่ไหนทั้งสิ้น
~ กำลังมีสิ่งที่มีจริงๆ แต่ไม่เคยคิดว่าต้องเข้าใจสิ่งนี้ก่อน ถ้ากำลังมีสิ่งนี้แล้วไม่เข้าใจสิ่งนี้ จะเข้าใจอะไรได้
~ ถ้าเดี๋ยวนี้ไม่รู้อะไรที่กำลังมี แต่ไปคิดถึงพระอรหันต์ คิดถึงกิเลส คิดถึงอนุสัย แล้วเดี๋ยวนี้อะไร (ที่กำลังมี)
~ ความรู้ต้องเริ่มต้นจากการเข้าใจถูกต้องในสิ่งที่มีที่กำลังปรากฏที่มีจริงๆ มิฉะนั้น จะไม่รู้จักเลยว่าความเข้าใจคืออะไร และเข้าใจอะไรก็ไม่รู้
~ ต้องเป็นคนตรง เดี๋ยวนี้ไม่เข้าใจอะไร ไม่รู้อะไรเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องรีบร้อน ไตร่ตรอง ชัดเจน เดี๋ยวนี้มีอะไรและเดี๋ยวนี้ไม่รู้อะไร
~ ไม่เข้าใจ มีจริงๆ ใช่ไหม? ไม่เข้าใจมีจริง แล้วไม่เข้าใจอยู่ไหน อยู่ตรงไหน อยู่ที่ไหน?
~ เดี๋ยวนี้มีธาตุรู้จริงหรือเปล่า เกิดขึ้นรู้ จึงมีสิ่งที่ปรากฏให้รู้
~ ต้องรู้ว่ามีธาตุรู้แน่นอนเดี๋ยวนี้ ธาตุรู้กำลังรู้สิ่งที่กำลังปรากฏให้รู้
~ พระอรหันต์อยู่ไหน ไม่มีเดี๋ยวนี้ใช่ไหม เดี๋ยวนี้มีเห็นแต่ไม่เข้าใจเห็น แต่มีเห็นแล้วเข้าใจเห็นจนรู้ความจริงของเห็นทั้งหมด เป็นพระอรหันต์ได้
~ ต้องไม่ลืม ว่า ธรรมลึกซึ้ง คำนี้คำเดียวจะทำให้สามารถเข้าใจสิ่งที่มีทั้งหมดจนถึงความเป็นพระอรหันต์ได้
~ ไม่มีใครรู้อะไรเลย จนได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีสิ่งที่เกิด ตั้งแต่เกิดไปเรื่อยๆ จนถึงตายก็ไม่รู้อะไรเลย จนกว่าจะได้ฟังความจริงของสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งเดี๋ยวนี้
~ มีผู้ที่บอกว่าขณะนี้มีสิ่งที่เป็นสภาพรู้เกิดขึ้นกำลังเห็น ฟังคำของคนที่พูด จริงไหม เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่ปรากฏ มีสภาพที่กำลังเห็น หรือรู้สิ่งที่ปรากฏ ถูกต้องไหม เพราะฉะนั้น ผู้ที่รู้ความจริงแล้วกล่าวคำจริงมากมายให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ทำให้สามารถเข้าใจสิ่งที่มีจริงทุกอย่าง
~ มีเห็น แต่ไม่เคยรู้เห็น ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครเข้าใจ แต่ได้ยินคำว่าเห็นมี เห็นเป็นสภาพที่กำลังเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น จริงไหม?
~ เริ่มรู้ความจริงว่าสภาพรู้มีจริงๆ เพราะว่ากำลังเห็นเดี๋ยวนี้ เห็นสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น เพราะฉะนั้น เห็นมีจริง สภาพที่เกิดขึ้นรู้ มีจริง กำลังเห็นสิ่งที่มีจริง
~ กำลังได้ยินเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องคิดถึงพระอรหันต์เลย ได้ยินมีจริงๆ กำลังได้ยินจริงๆ และได้ยินรู้เสียงที่กำลังมี จึงเรียกว่าได้ยิน แต่ไม่เรียก ก็ได้ยิน มี เพราะได้ยินเกิดขึ้นรู้เสียง
~ ถ้าได้ยินไม่เกิด เสียงไม่เกิด จะมีได้ยินเสียงไหม?
~ ถ้ารู้ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งวันที่มี ก็เป็นพระอรหันต์ได้ แต่ถ้าไม่รู้เลย จะเป็นพระอรหันต์ได้ไหม
~ พระอรหันต์องค์แรกคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่มีจริงสามารถเข้าใจได้ พระองค์ทรงรู้หนทางที่จะทำให้รู้ได้ ทรงเสด็จไปในหนทางที่จะทำให้รู้ได้ เมื่อรู้แล้วก็แสดงความจริงให้คนอื่นฟัง
~ คนที่กำลังฟัง เป็นพระอรหันต์หรือเปล่า? จนกว่าจะเข้าใจจนกว่าจะทั่วหมด สามารถที่จะหมดความไม่รู้ในทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏ จึงจะเป็นพระอรหันต์ได้
~ ตั้งแต่เกิด ทุกอย่างเกิดตามเหตุตามปัจจัย ไม่มีใครเลยใช่ไหม? เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีความเข้าใจ ไม่มีปัญญา จะเป็นพระอรหันต์ได้ไหม?
~ เดี๋ยวนี้ มีแล้วไม่รู้ สภาพที่ไม่รู้ตรงกันข้ามกันกับสภาพรู้ เพราะฉะนั้น สภาพไม่รู้ จึงใช้คำว่า อวิชชา (อวิชฺชา) ในภาษาบาลี
~ ต้นไม้ มีอวิชชาไหม? ไม่มี เพราะฉะนั้น อวิชชาเป็นสภาพรู้ (คือเป็นนามธรรม) แต่ไม่สามารถเห็นถูกต้องหรือเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีได้
~ พระอรหันต์คิดหรือเปล่า ขณะที่คิดรู้ว่าคิดเป็นอะไรหรือเปล่า เพราะฉะนั้น พระอรหันต์ มีความเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังปรากฏ
~ เริ่มเข้าใจขึ้น ธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และตรัสทุกคำกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ทั้งหมด แต่ลึกซึ้งทั้งหมด
~ ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ไม่ลืมว่า เพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ถูกต้อง
~ ธรรมลึกซึ้งมาก ขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น เพราะฉะนั้น สภาพเห็นเกิดขึ้น จึงเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏและสิ่งที่ปรากฏจึงปรากฏ
~ สิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้กำลังปรากฏหรือเปล่า นี่แหละคือการศึกษาธรรม เพราะธรรม มีจริงๆ กำลังปรากฏ
~ เวลาพูดถึงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ไม่ได้คิดเรื่องอื่นเลย กำลังมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นจริงๆ
~ ไม่ว่าอะไรจะปรากฏ ให้ทราบว่า มีธาตุรู้เกิดขึ้นกำลังรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ
~ มีสภาพรู้ตั้งแต่เกิด ถ้าไม่มีสภาพรู้ ก็ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ ไม่มีสิ่งที่มีชีวิตเกิด แต่ไม่เคยรู้เลยว่าถ้าไม่มีธาตุรู้ อะไรๆ ก็ไม่มีที่จะปรากฏได้
~ คนที่ฟังธรรมแล้ว ต้องเข้าใจสิ่งที่มี จึงจะชื่อว่าเข้าใจที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้หนทางที่ทำให้หมดกิเลสถึงความเป็นพระอรหันต์
~ ถ้าไม่ฟังให้เข้าใจเดี๋ยวนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไปเกิดขึ้นทรงแสดงความจริงก็ไม่มีใครเข้าใจ ถ้าไม่เริ่มสะสมความเข้าใจที่ถูกต้อง
~ ถ้าไม่รู้ตัวจิตจริงๆ ไม่สามารถที่จะละหรือหมดความสงสัยได้
~ ต้องรู้ว่าปัญญาไม่สงสัยเลย เพราะปัญญาเข้าใจ
~ เริ่มเป็นคนตรง ตรงขึ้นๆ จึงสามารถที่จะรู้ความจริงได้
~ ต้องรู้ว่าธาตุรู้เกิดขึ้นเองไม่ได้ แต่ต้องมีธาตุรู้ที่อาศัยกันเกิดขึ้น
~ สภาพธรรม ปะปนกันไม่ได้ จิตมี จิตไม่รัก จิตไม่ชัง จิตไม่จำ แต่จิตเกิดขึ้นรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ
~ เริ่มรู้ว่าสภาพที่รู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏเกิดขึ้น ไม่ทำหน้าที่อื่นเลย แต่เป็นใหญ่เป็นประธานในหน้าที่รู้แจ้งลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ
~ หน้าที่ของจิตขณะนั้นรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ เจตสิกที่เกิดร่วมด้วย ไม่ได้ทำหน้าที่นี้เลย
~ เมื่อจิตรู้แจ้ง สภาพจำก็เกิดขึ้นจำสิ่งที่จิตรู้แจ้ง แต่สภาพจำไม่ใช่จิตที่รู้แจ้ง เดี๋ยวนี้จำแล้ว เพราะจิตรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ จึงจำเฉพาะสิ่งที่ปรากฏ
~ จำ ย่อมจำสิ่งที่จิตรู้แจ้งที่ปรากฏ แต่ไม่สามารถที่จะรู้แจ้งสิ่งนั้นได้ แต่จำสิ่งนั้นที่จิตรู้แจ้ง
~ เดี๋ยวนี้มีทุกอย่างที่เรากำลังพูดถึง มีจิต มีเจตสิก แต่ไม่มีความเข้าใจอะไรเลย นี่เป็นสิ่งที่จะต้องฟังเพื่อเข้าใจ จึงจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและรู้จักพระอรหันต์
~ สภาพที่อาศัยจิตเกิดขึ้นรู้แจ้ง แล้วจำ แล้วชอบ ทั้งหมดเป็นเจตสิกหลากหลายแต่ละหนึ่งๆ
~ มีคุณอาช่า มีคุณอาคิลไหม? ต้องเรียน จนกว่าจะรู้ความจริง จึงจะชื่อว่าเข้าใจคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพราะกล่าวถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ เปลี่ยนไม่ได้เลย
~ ต้องไม่ลืมว่า ทุกครั้งที่ฟังธรรม เพราะมีธรรมกำลังปรากฏให้สามารถเข้าใจได้ ไม่ใช่จำแต่ชื่อแล้วไม่เข้าใจความลึกซึ้ง
~ ให้ทราบว่าฟังธรรมเพื่อเข้าใจ เพราะว่าไม่มีเรา แต่มีธรรมซึ่งยังไม่เข้าใจเลย แล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น
~ ชัดเจน ว่า ไม่ใช่ฟังเพื่อเป็นพระอรหันต์ ไม่ใช่ฟังเพื่อเป็นพระโสดาบัน แต่ฟังเพื่อความเข้าใจสิ่งที่มี ซึ่งไม่เคยเข้าใจเลย นี่แหละคือหนทางละความติดข้องซึ่งขณะนี้กำลังติดข้องเมื่อไม่รู้ว่าเป็นสิ่งที่มีแต่ละหนึ่งไม่ใช่เราไม่ใช่ใครเลย ซึ่งเป็นความหมายจริงๆ ของคำว่าธรรม
~ แข็ง เป็นกระเป๋าหรือเปล่า แข็ง เป็นเก้าอี้หรือเปล่า? ฟังจนกว่าทุกอย่างที่เคยเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นวัตถุ จะเป็นแต่เพียงสิ่งที่มีลักษณะแข็งเท่านั้น
~ แข็งเป็นนิ้วหรือเปล่า ถ้ายังเป็นนิ้วอยู่ ก็ไม่ตรงต่อแข็ง ถ้าไม่ตรงต่อแข็ง แข็งจะปรากฏว่าเป็นแข็งไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ฟังธรรม เพื่อรู้ความจริงของธรรมแต่ละหนึ่งว่าเป็นธรรม
~ จิตที่มีอนุสัย ไม่สะอาดใช่ไหม? ไม่สะอาด เพราะเหตุว่า มีอกุศลที่เกิดแล้วดับแล้วก็จริง แต่ในฐานะที่เกิดแล้วก็ทำให้จิตเปื้อนเศร้าหมองแล้วก็สะสม แม้ไม่เกิด ก็เป็นเชื้อที่จะให้ (อกุศล) เกิด
~ ปัญญาขั้นฟัง ไม่สงสัย เข้าใจขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ตรงลักษณะของสิ่งที่ปรากฏเดี๋ยวนี้
~ เมื่อรู้สิ่งที่ปรากฏ ค่อยๆ หมดความสงสัย เพราะรู้จริงๆ ประจักษ์แจ้งเป็นปัญญาขั้นต่างๆ แต่ต้องรู้ว่าถ้าไม่มีความเข้าใจอะไรเลย ใครพูดเรื่อง จิต เจตสิก รูป ก็ไม่รู้เรื่อง ใครพูดเรื่องนามธรรมก็ไม่รู้เรื่อง แต่เมื่อเข้าใจแล้วก็รู้ความต่างกันว่า ถ้าไม่มีการฟังก่อน ไม่สามารถจะทำให้เข้าใจลักษณะที่มีจริงเดี๋ยวนี้ได้
~ ถ้าไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ เป็นพระโสดาบันได้ไหม? ถ้าไม่ประจักษ์แจ้งลักษณะที่เป็นจิต ลักษณะที่เป็นเจตสิก ลักษณะที่เป็นรูป สามารถที่จะหมดความสงสัยได้ไหม?
~ คำว่า ภาวนา หมายความว่า การอบรมปัญญาเข้าใจถูกต้องในความจริงของสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ละหนึ่งๆ หลากหลายแล้วดับไป
~ ค่อยๆ เข้าใจในลักษณะที่เป็นสภาพรู้แต่ละหนึ่งๆ จนกระทั่งมั่นคงว่าไม่มีเรา
~ ถ้าสภาพที่เป็นธรรมยังไม่ปรากฏให้รู้จริงๆ ก็ยังต้องสงสัย
~ ไม่ใช่ไปทำอะไรเลย นอกจากความเข้าใจเดี๋ยวนี้กำลังเริ่มทำหน้าที่ ที่จะทำให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้นจนสามารถเข้าใจสิ่งที่ปรากฏในขณะที่กำลังฟังได้
~ เดี๋ยวนี้เข้าใจสิ่งที่มีหรือยัง? ถ้ายัง ก็ฟังจนค่อยๆ เข้าใจขึ้น เป็นปกติสามารถที่จะรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นธาตุรู้ เกิดขึ้นต้องรู้ แต่หลากหลายมาก
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบอนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และยินดีในกุศลจิตค่ะ
เมื่อรู้สิ่งที่ปรากฏ ค่อยๆ หมดความสงสัย เพราะรู้จริงๆ ประจักษ์แจ้งเป็นปัญญาขั้นต่างๆ แต่ต้องรู้ว่าถ้าไม่มีความเข้าใจอะไรเลย ใครพูดเรื่อง จิต เจตสิก รูป ก็ไม่รู้เรื่อง ใครพูดเรื่องนามธรรมก็ไม่รู้เรื่อง แต่เมื่อเข้าใจแล้วก็รู้ความต่างกันว่า ถ้าไม่มีการฟังก่อน ไม่สามารถจะทำให้เข้าใจลักษณะที่มีจริงเดี๋ยวนี้ได้
น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
อนุโมทนาค่ะ