คือเพื่อนมาเล่าให้ฟังว่า เขาทานยาขับประจำเดือนคือยาสตรีอะค่ะแก้ประจำเดือนมาไม่ปกติ เพื่อนมาเล่าให้ฟังว่า เขาต้องทานเพราะประจำเดือนเขามาไม่ปกติ หนูก็ไม่ได้ห้ามอะไรเพราะคิดว่าไม่มีอะไรไม่ได้คิดอะไร พอเขาเข้าห้องน้ำเสร็จเดินออกมาเขาบอกว่า ประจำเดือนมาละ หนูก็เลยพูดไปว่า ยาตัวนี้ดีเนอะ ไม่งั้นเองท้องไปละเพราะประจำเดือนมาแสดงว่าไม่ท้อง หนูจะติดกรรมไหมคะที่ได้พูดแบบนั้นไป ถ้าเพื่อนเขาเกิดท้องอยู่ตอนนั้นแล้วเกิดยานี้ไปส่งผลต่อเด็กในท้อง
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
บาป ไม่บาป สำคัญที่เจตนา ไม่ใช่ สำคัญที่ผลเท่านั้น หากมีเจตนาที่จะฆ่า ทำร้ายเด็กในท้องด้วยการพูดให้เพื่อนกินยา เจตนานั้นไม่ดี เป็นบาป แต่ ถ้าไม่มีเจตนาฆ่าเช่นนั้น ก็ไม่บาป พระพุทธศาสนาเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้ง ไม่ใช่อยู่ที่ว่าบาปหรือไม่บาป แต่ เป็นเรื่องของการที่จะต้องศึกษาพระธรรม ด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมเป็นสำคัญ ครับ และ ความจริง คือ ไม่ได้ตั้งท้องครับ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพระมหากรุณาต่อสัตว์โลกทั้งปวง เมื่อพระองค์ทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ทรงแสดงพระธรรมที่พระองค์ทรงตรัสรู้โปรดเวไนยสัตว์ ตลอดระยะเวลา ๔๕ พรรษา สิ่งที่พระองค์ทรงแสดง ก็ไม่พ้นไปจากสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ ทรงพร่ำสอนอยู่บ่อยๆ เนืองๆ ก็เพื่อให้ผู้ฟังมีความเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง พร้อมทั้งน้อมประพฤติปฏิบัติตาม ในสิ่งที่ถูกต้องดีงาม จนกระทั่งถึงความเป็นผู้หมดจดจากกิเลสได้ในที่สุด
จึงเห็นได้ว่า สิ่งที่เป็นที่พึ่งที่แท้จริงในชีวิต คือ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งจะทำให้ผู้ที่ได้ฟังได้ศึกษามีความเข้าใจตามความเป็นจริง เป็นไปเพื่อการเจริญขึ้นของปัญญา เพื่อขัดเกลากิเลสจนหมดสิ้น ถ้าไม่ได้อาศัยพระธรรม ไม่มีการอบรมเจริญปัญญาแล้ว สังสารวัฏฏ์ก็จะดำเนินไปอย่างไม่มีวันจบสิ้น ดังนั้น จึงต้องเริ่มสะสม อบรมเจริญปัญญาด้วยตนเอง เห็นประโยชน์สูงสุดของปัญญา เพิ่มพูนความเข้าใจถูกเห็นถูกขึ้นไปตามลำดับ ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอให้พิจารณาองค์ประกอบที่เป็นการฆ่าสัตว์ ด้วย ดังนี้ คือ สัตว์มีชีวิต รู้ว่าสัตว์มีชีวิต มีจิตคิดจะฆ่า มีความพยายามที่จะฆ่า และ สัตว์ตายเพราะความพยายามนั้น ถ้าเป็นการกระทำที่ครบองค์ประกอบทั้ง ๕ จึงจะเป็นการฆ่าสัตว์ ถ้าไม่ได้มีเจตนาที่จะเบียดเบียนประทุษร้ายผู้อื่น ย่อมไม่เป็นบาปอันเนื่องมาจากฆ่าสัตว์ แต่ก็ต้องศึกษาพระธรรมให้เข้าใจด้วย แม้แต่คำว่าบาป คำเดียว กว้างมากเลย
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง อุปการะเกื้อกูลให้มีความเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง เพราะสิ่งที่มีจริงไม่ได้พ้นไปจากชีวิตประจำวันเลย ทุกขณะเป็นธรรม แม้บาป ก็เป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงก็จะไม่สามารถมีความเข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริงได้เลย
บาป หมายถึง อกุศลธรรม สภาพธรรมที่ไม่ดีไม่งามและให้โทษ ตามความเป็นจริงแล้ว ถ้าไม่มีจิต ก็ไม่มีบาป อย่างเช่นต้นไม้ไม่มีบาป เนื่องจากต้นไม้คิดไม่ได้ ต้นไม้ทำอะไรไม่ได้ ต้นไม้ฆ่าสัตว์ ไม่ได้ ต้นไม้ลักทรัพย์ ไม่ได้ เป็นต้น จึงไม่มีบาป บาปต้องเป็นสภาพของจิตซึ่งประกอบด้วยสภาพธรรมที่ไม่ดี เช่น ประกอบด้วยความติดข้องต้องการ ประกอบด้วยความขุ่นเคืองใจ เป็นต้น เพราะฉะนั้นไม่มีใครสามารถจะเห็นจิตหรือดูจิตได้ด้วยตา แต่ว่าสามารถที่จะระลึกรู้ลักษณะของจิตได้ เพราะเหตุว่าทุกคนมีจิต แต่แม้ว่าทุกคนจะรู้เพียงคร่าวๆ ว่ามีจิต แต่ถ้าไม่ศึกษาโดยละเอียดก็ยังไม่สามารถที่จะตอบได้ว่าที่ว่ามีจิตนั้น จิตอยู่ที่ไหน ซึ่งจะต้องค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ ศึกษาสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ ขณะที่เห็นเป็นจิตชนิดหนึ่ง ขณะที่ได้ยินเป็นจิตชนิดหนึ่ง ขณะที่ได้กลิ่นเป็นจิตชนิดหนึ่ง ขณะที่ลิ้มรสเป็นจิตชนิดหนึ่ง ขณะที่กำลังรู้สิ่งที่เย็นบ้าง ร้อนบ้าง อ่อนบ้าง แข็งบ้าง เป็นจิตชนิดหนึ่ง ขณะที่คิดนึกเป็นจิตชนิดหนึ่ง จึงพอที่จะพิจารณาให้ละเอียดลงไปอีกได้ว่า จิตเห็นเป็นบาปหรือไม่? จิตเห็นเพียงเห็น เพราะฉะนั้นจิตเห็นไม่ใช่อกุศลจิตและไม่ใช่กุศลจิต จิตได้ยิน จิตได้กลิ่น จิตลิ้มรส จิตรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสก็เช่นเดียวกัน ไม่ใช่อกุศลจิตและไม่ใช่กุศลจิต เป็นเพียงวิบากจิต เป็นผลของกรรม แต่ว่าขณะใดที่เห็นแล้ว ชอบ ได้ยินแล้วชอบ ขณะนั้นเป็นโลภมูลจิต เป็นอกุศลจิตที่ประกอบด้วยโลภะ ความติดข้องต้องการ จะใช้คำว่าบาปก็ได้ เพราะเหตุว่าเป็นขณะจิตที่เศร้าหมอง ไม่ผ่องใส มีสภาพของโลภเจตสิกซึ่งทำให้เป็นสภาพที่ติด ที่พอใจ ที่ยินดี ที่ปรารถนาในอารมณ์นั้น เพราะฉะนั้น ในขณะนั้นไม่ใช่กุศล แต่เป็นอกุศล ซึ่งก็คือ เป็นบาป และถ้าขณะใดที่เห็น แล้วเกิดความไม่พอใจ ในขณะนั้นเป็นโทสะ เป็นสภาพที่ขุ่นเคืองขัดข้อง ไม่พอใจ ขณะนั้นเป็นอกุศล จะใช้คำว่า “บาป” ก็ได้ เพราะโดยรวมแล้ว บาป ได้แก่ อกุศลธรรมทุกชนิด นี้คือความเป็นจริง
วันหนึ่งๆ มีจิตที่เป็นอกุศล คือ เป็นบาป มากจริงๆ เพียงแต่ว่าจิตที่เป็นอกุศลนั้นยังไม่มีกำลังถึงขั้นที่จะเป็นทุจริตกรรม ยังไม่ถึงขั้นที่กระทำอกุศลกรรมประการต่างๆ มีการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประทุษร้ายเบียดเบียนผู้อื่น เป็นต้น เมื่อยังเป็นเพียงแค่ความติดข้อง หรือความขุ่นเคืองใจ ที่ไม่ได้ล่วงเป็นทุจริตกรรม ก็ไม่ใช่เหตุที่จะทำให้เกิดวิบากในภายหน้า แต่ก็สะสมสืบต่อเป็นอุปนิสัยที่ไม่ดีต่อไป แต่เมื่อใดก็ตามที่สะสมมีกำลังมากขึ้นจนล่วงเป็นทุจริตกรรมประการต่างๆ นั่นเป็นบาปที่มีกำลัง ที่สามารถให้ผลที่ไม่น่าปรารถนาไม่น่าใคร่ไม่น่าพอใจ นำเกิดในอบายภูมิได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่จะประมาทไม่ได้เลยทีเดียว ครับ
...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ