ทำไมภูเขาหรือสิ่งที่เห็นว่ายืนยาวอยู่ ไม่เห็นจะแตกดับนะครับ ขอให้ท่านผู้รู้กรุณาอธิบายให้เข้าใจหน่อยครับ
กราบขอบพระคุณล่วงหน้าครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ในความเป็นจริง สิ่งที่มีจริง คือ จิต เจตสิก รูป ซึ่งสำหรับธรรมชาติที่บัญญัติสมมติว่าเป็นต้นไม้ ภูเขา เป็นต้น จริงๆ แล้วก็คือ การประชุมรวมกันของสภาพธรมที่เป็นรูปธรรม ๘ รูป คือ ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม สี กลิ่น รส โอชา ซึ่งสภาพธรรมที่เป็นรูปธรรม เป็นสภาพธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่ง เกิดขึ้นและดับไปเสมอ คือ เกิดดับแต่ละกลาป แต่ละสมุฏฐานที่เกิด ที่เกิดจากอุตุเป็นสมุฏฐาน เพราะฉะนั้น รูปแต่ละรูป ที่เป็นต้นไม้ ภูเขา ก็เกิดดับแต่ละขณะ ๑๗ ขณะจิตอยู่แล้ว แต่ ๑๗ ขณะจิตนั้น เกิดดับรวดเร็วมากๆ ซึ่งถ้าเข้าใจความจริงที่ว่า ขณะที่บอกว่าไม่เห็นการเกิดดับ เรากำลังกล่าวถึง การเห็นด้วยตา ซึ่งในความเป็นจริง การเห็น เห็นเพียงสี สิ่งที่ปรากฎทางตาเท่านั้น ไม่ได้เห็นการเกิดดับของรูปภายนอก ดังนั้น การเห็นการเกิดดับของรูปธรรมแต่ละกลาป เช่น ที่กำลังปรากฎทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และที่ประชุมรวมกันในร่างกายของเรา จะต้องเป็นวิปัสสนาญาณขั้นสูง คือ ไม่ได้เห็นด้วยตา แต่เห็นด้วยปัญญา ที่เป็นวิปัสสนาญาณขั้นที่ ๔ จึงจะเห็นการเกิดดับของสภาพธรรมที่เป็นรูปธรรมแต่ละกลาปได้ ครับ
จึงกล่าวได้ว่า ที่เห็นว่ายืนยาวอยู่นั้น เพราะการเกิดดับของสภาพธรรมที่เกิดดับรวดเร็ว แม้เพียง ๑๗ ขณะจิต แต่ก็เกิดดับรวดเร็วสุดประมาณ เพราะอาศัยการเกิดดับรวดเร็วของสภาพธรรม จึงเห็นว่าไม่เสื่อม ไม่เกิดดับ แต่ในความเป็นจริง รูปธรรมเกิดดับอยู่ตลอดเวลา และเราก็สามารถสังเกตเห็นได้ถึงความเสื่อมไปของรูปธรรมนั้น ที่มีการแตกทำลาย แต่อาศัยระยะเวลายาวนาน เป็นสิบๆ ปี เป็น ต้น ครับ
การเห็นด้วยตาเปล่ากับการเห็นด้วยปัญญาจึงแตกต่างกัน การเห็นด้วยปัญญาเท่านั้น จึงจะเห็นการเกิดดับของรูปธรรมตามความเป็นจริงได้ ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ธรรมเป็นจริงอย่างไรก็เป็นจริงอย่างนั้น ไม่มีการเปลี่ยนแปลงลักษณะเป็นอย่างอื่น นามธรรมเป็นนามธรรม รูปธรรมเป็นรูปธรรม โดยไม่ปะปนกัน สิ่งที่มีจริงทั้งหมดนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงให้สัตว์โลกได้เข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริง เป็นไปเพื่อละคลายความไม่รู้อย่างแท้จริง สำหรับสภาพธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยนั้น ไม่มีแม้แต่อย่างเดียวที่เกิดมาแล้วจะ ดำรงยั่งยืน เที่ยง ไม่ดับ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า สังขาร แม้อย่างหนึ่งที่เที่ยง ย่อมไม่ มี นี้คือ ความเป็นจริงของสภาพธรรม นามธรรม คือ จิตและเจตสิก เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป มีขณะที่สั้นมาก เพียงแค่เกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วก็ดับไปเท่านั้น ส่วนรูปธรรม เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ไม่ใช่สภาพรู้ ไม่ใช่ธาตุรู้ มีอายุที่ยืนยาวกว่าจิต แต่แม้กระนั้น ก็ไม่มีรูปแม้แต่รูปเดียวที่เกิดแล้วเที่ยง ยั่งยืน ไม่ดับเพราะรูปทุกรูป เกิดแล้วก็ดับไป ไม่เทียง ไม่ยั่งยืน
แต่ที่เห็นว่าเที่ยง ยั่งยืน ก็เพราะเป็นเรื่องของความไม่รู้และความเห็นผิดนั่นเอง ประโยชน์ของการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ก็เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก เพื่อเข้าใจตามความเป็นจริงว่า มีแต่สภาพธรรมแต่ละอย่าง ที่เกิดขึ้นเป็นไป ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะมีแต่ธรรมเท่านั้นจริงๆ ซึ่งถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่ได้ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ย่อมไม่สามารถออกไปจากความมืดมิดของอวิชชาได้เลย ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
นามธรรม รูปธรรม เกิดแล้วดับทุกขณะ ไม่เที่ยง ที่เราเห็นภูเขาว่ายั่งยืน ไม่เปลี่ยน แต่จริงๆ แล้ว รูปทยอยกันเกิดทยอยกันดับ ทำให้มองเห็นความเสื่อมไม่ชัด ไม่เหมือนกับรูปร่างกายของมนุษย์ ที่เวลาผ่านไป ความชราก็ปรากฏชัด เห็นผมหงอก ฟันหัก ค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบขอบพระคุณในความกรุณาที่ท่านผู้รู้ทั้งหลาย ร่วมกันแถลงไข นะครับ
ขออนุโมทนา
ขออนุโมทนาครับ