อาจารย์ทั้ง 2 ท่าน กระผมได้ฟ้งพระอภิธรรมเบื้องต้นด้วยความตั้งใจจนถึงตอนที่
200กว่าอยากเรียนถามอาจารย์ว่า
ธรรมที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันเป็นไปตามเหตุปัจจัย และการสะสมในอดีตที่ผ่านมา
การฟังพระธรรมเพื่อให้เข้าใจในธรรมที่เกิดขึ้น และเพื่อเป็นสังขารขันธ์ในการปรุงแต่ง
ให้เกิดปัญญาเจริญขึ้นๆ ใช่หรือไม่ครับ กระผมขอความเข้าใจละเอียดมากหน่อยนะ
ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สภาพธรรมที่เป็นจิต เจตสิก รูป ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ เป็นสภาพธรรมที่เป็น
สังขารธรรม คือ มีเหตุปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้น และ จึงดับไป เมื่อไม่มีเหตุปัจจัย
สภาพธรรมก็เกิดขึ้นไม่ได้ เพราะฉะนั้น ขณะนี้ กำลังเห็น กำลังได้ยิน กำลัง
คิดนึก แสดงให้เห็นถึงความจริงที่ว่า เพราะ อาศัยเหตุปัจจัย คือ สภาพธรรมอื่นๆ
เช่น อาศัย ตา แสงสว่าง และ กรรมในอดีต เป็นปัจจัยให้มีการเห็นเกิดขึ้น แม้แต่
การคิดนึก คิดนึกเป็นเรื่องราวต่างๆ ทั้ง กุศล อกุศล และ คิดแตกต่างกันไป ก็
เพราะอาศัยเหตุปัจจัย คือ การสะสมมาของสภาพธรรมที่ดี และ ไม่ดีที่เคยเกิดขึ้น
ในอดีต เป็นปัจจัยให้ คิดนึก เป็นไปในทางกุศลก็ได้ ในทางอกุศลก็ได้ คิดนึกเป็น
ไปในความเห็นถูก และ คิดนึกเป็นไปในทางเห็นผิด เหล่านี้ ไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆ
แต่ เพราะอาศัย การที่เคยสะสมความเข้าใจพระธรรม สะสมปัญญา ก็ทำให้เกิด
ความคิดนึกที่ถูกต้อง ในหนทางที่ถูก เกิดปัญญาได้อีกในชาตินี้ ในขณะนี้ หรือ
เรียกได้ว่า ในขณะจิตนี้ที่กำลังเกิดที่กำลังปรกาฎ และ การคิดนึกเป็นไปในอกุศล
ก็เพราะอาศัยเหตุปัจจัยหลายๆ ประการ เพราะ สะสมกิเลสมา ที่ยังไม่ได้ดับ และ
อาศัยกิเลสที่เคยเกิดแล้ว เมื่ออาศัย การเห็น การได้ยิน ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย
และใจ ประชุมรวมกัน เป็นปัจจัยให้เกิดวิถีจิต เกิดจิตประเภทต่างๆ จนถึง ชวนจิต
ที่เป็นการเกิดขึ้นของกุศลจิต อกุศลจิต ก็ทำให้เกิดอกุศลจิต เกิดกิเลสในขณะนั้น
ตามการสะสมที่เคยมีกิเลสในอดีต ในขณะจิตก่อน ในชาติก่อน ครับ เพราะ อาศัย
ทั้งปัจจัยในอดีต ปัจจัยในปัจจุบัน ในสภาพธรรมต่างๆ ก็เป็นปัจัยให้เกิด การคิด
กึด้วยอกุศล ตามการสะสมแตกต่างกันไป และ ในความเป็นจริง ชีวิตประจำวัน
ก็เห็นถึงการะสสมอุปนิสัยของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกันเลย
บางคนชอบให้ทาน บางคนตระหนี่ บางคนมีเมตตา บางคนมักโกรธ ก็เพราะ มี
การสะสมอุปนิสัย คือ มีการเกิดขึ้นของสภาพธรรมในอดีตที่แตกต่างกันไป
เพราะสะสมความโกรธ คือ เกิดความโกรธบ่อย ก็เป็นปัจจัยให้เป็นคนมักโกรธได้
เป็นธรรมดา ครับ
และ จากคำถามที่ว่า
การฟังพระธรรมเพื่อให้เข้าใจในธรรมที่เกิดขึ้นและเพื่อเป็นสังขารขันธ์ใน
การปรุงแต่งให้เกิดปัญญาเจริญขึ้นๆ ใช่หรือไม่ครับ
- เหตุให้เกิดปัญญา คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ซึ่งหากพิจารณาโดย
ความเป็นเหตุปัจจัยโดยละเอียดแล้ว สภาพธรรมที่เป็นสังขารธรรม ก็ต้องอาศัย
เหตุปัจจัย จึงเกิดขึ้น ดั่งเช่น ปัญญา ที่เป็นสภาพธรรมที่เป็น อโมหเจตสิกก็ต้อง
มีเหตุปัจจัย จึงเกิดขึ้น ไม่มีเหตุแล้วก็เกิดไม่ได้เลย ซึ่งเหตุให้เกิดปัญญา คือ การ
ได้ศึกษา ได้ยินได้ฟัง สิ่งที่ถูกต้อง คือ พระธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่ว่าใครจะ
กล่าว แสดงก็ตาม ดังนั้น สำคัญเริ่มแรก มงคลข้อแรก คือ การเว้นจากคนพาล คือ
เว้นจากเหตุปัจจัย ที่จะทำให้เพิ่มความไม่รู้ และ เพิ่มกิเลส เพราะ คนพาล ย่อม
แนะนำสิ่งที่ผิด แนะนำสิ่งที่ไม่ควรแนะนำ อันจะเป็นปัจจจัยให้เกิดควาเมห็นผิด
ความไม่รู้มากขึ้น และ มงคลข้อที่ 2 คือ การคบบัณฑิต คือ การเสพคุ้น คบกับผู้มี
ปัญญา เข้าใจธรรม แสดงพระธรรมตามที่พระพุทธเจ้าแสดงอย่างถูกต้อง มี ท่าน
อาจารย์สุจินต์ เป็นต้น ซึ่ง แสดงธรรมตรงตามพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง
เพราะฉะนั้น ขณะใดที่ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ขณะนั้น ก็กำลังเสพคุ้นกับ
บัณฑิต และ กำลังสะสมเหตุให้เกิดปัญญา เพราะ ปัญญาจะเกิดได้ก็ด้วยการฟัง
พระธรรม ศึกษาพระธรรม เพียงแต่จะต้องเข้าใจว่า ปัญญา เจริญช้า เพราะสะสม
อวิชชา ความไม่รู้มามาก ดังนั้น ความอดทน และ การสะสมการฟังต่อไปเรื่อยๆ
จะเป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่ง คือ ค่อยๆ สะสมความเข้าใจไปทีละน้อย ก็ย่อมถึง
ปัญญามากได้ในอนาคต ซึ่งผู้ถามมีความเข้าใจถูกต้องแล้ว ครับ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๗ หน้าที่ 585
(ท้าวสักกเทวราชตรัสว่า) ข้าพเจ้าขออนุโมทนาคำสุภาษิตของท่าน ขอถาม
ปัญหาข้ออื่นกะท่าน ขอเชิญท่านกล่าวแก้ปัญหานั้น บุคคลในโลกนี้ทำอย่างไร
ทำด้วยอุบายอย่างไร ประพฤติอะไร เสพอะไรจึงจะได้ปัญญาขอท่านได้โปรด
บอกปฏิปทาแห่งปัญญา ณ บัดนี้ว่า นรชนทำอย่างไร จึงจะเป็นผู้มีปัญญา.
(สรภังคดาบส ทูลว่า) บุคคลควรคบหาท่านผู้รู้ทั้งหลาย ละเอียดลออ เป็นพหูสูต
ควรเป็นนักเรียน นักสอบถาม พึงตั้งใจฟังคำสุภาษิตโดยเคารพ นรชนทำอย่างนี้
จึงจะเป็นผู้มีปัญญา.
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นหนึ่ง ไม่เป็นสอง หมายความว่า เป็นจริงอย่างไรก็เป็นจริงอย่างนั้น เปลี่ยนแปลงให้เป็นอย่างอื่นก็ไม่ได้ พระองค์ทรงแสดงธรรมไปตามความเป็นจริง ว่า ธรรมทั้งปวง เป็นอนัตตา ก็เป็นจริงอย่างนั้น เพราะความหมายของอนัตตา คือ ไม่ใช่ตัวตน ไม่มีใครเป็นเจ้าของ เป็นสภาพธรรมที่ว่างเปล่าจากความเป็นตัวตน สัตว์ บุคคล เป็นสภาพธรรมที่บังคับบัญชาไม่ได้ ปฏิเสธต่ออัตตาอย่างสิ้นเชิง ความจริงเป็นอย่างนี้ ธรรมไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยจริงๆ ไม่มีใครสามารถบังคับให้ธรรมอะไรเกิดขึ้นได้เลย บังคับให้เห็นก็ไม่ได้ เพราะเห็นเกิดเพราะเหตุปัจจัยจัยหลายอย่าง เช่น มีกรรมเป็นปัจจัย มีที่อาศัยให้จิตเห็นเกิด มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย เป็นต้น แม้แต่ปัญญาเอง ซึ่งเป็นสภาพธรรมฝ่ายดี ที่เข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริง ก็เกิดขึ้นเพราะอาศัยเหตุปัจจัยเช่นเดียวกัน ไม่ใช่ว่ามีตัวตนที่จะไปบังคับให้ปัญญาเกิดได้ ต้องอาศัยเหตุหลายอย่างหลายประการด้วยกัน ต้องมีศรัทธาที่จะฟัง ที่จะศึกษา เพราะเคยเห็นประโยชน์ของการได้เข้าใจความจริงมาแล้ว จึงทำให้เป็นผู้ที่สนใจที่จะฟัง ที่จะศึกษาพระธรรม เพื่อความเข้าใจอย่างถูกต้องตามความเป็นจริง จึงฟัง จึงศึกษา เมื่อได้ฟัง ได้ศึกษา ปัญญาย่อมจะเจริญขึ้นไปตามลำดับ โดยไม่มีตัวตนที่จะไปบังคับให้ปัญญาเกิดเลย แต่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยจริงๆ ขอให้เข้าใจว่า ไม่มีใครสร้าง ไม่มีใครเจริญ ไม่มีใครทำ มีแต่ธรรมที่
เกิดขึ้นเป็นไปเท่านั้น สำคัญที่ความเข้าใจถูกเห็นถูกจริงๆ ว่าเป็นธรรมที่มีจริง
สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ เกิดมา เพื่อสะสมความเข้าใจถูก และน้อมประพฤติในสิ่งที่ดีงาม
ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ฟังธรรมทำให้เกิดปัญญา ทำให้เข้าใจสัจจธรรม ความเป็นธรรมทีเกิดขึ้นทางตา หู
จมูก ลิ้น กาย และใจ ว่าเป็นธรรม และ มีปัญญาเกิดขึ้นว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์
บุคคล ตัวตน ค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ