ขอความกระจ่างชัดอย่างตรงที่สุดนะครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ผู้ที่เป็นพระอริยบุคคล มี พระโสดาบันเป็นต้น โดยมาก ท่านจะไม่ประกาศตนเองว่าท่านเป็นพระโสดาบัน เป็นต้น แต่จะปกปิดคุณธรรมที่ตนเองมี เปรียบเหมือนผู้มีทรัพย์มาก ย่อมไม่ปรารถนาให้ผู้อื่นรู้ว่าตนเองมีรัพย์มาก แต่มีความปรารถนาดี มีความประสงค์ที่จะให้ผู้อื่นได้รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงเหมือนอย่างที่ตนเองได้รู้
ส่วนการกล่าวคุณธรรม ตามความเป็นจริงให้คนอื่นรู้ของพระอริยบุคคล ก็เป็นไปบางโอกาส เพื่อประโยชน์เท่านั้น ไม่ใช่การอวดอ้างแต่อย่างใด เช่น กล่าวถึงธรรมที่ตนเองได้บรรลุ การสิ้นทุกข์ เพื่อให้ผู้อื่นเกิดศรัทธา อบรมปัญญาและกล่าวกับพระพุทธเจ้า เพื่อแสดงถึงหนทางนี้ดับทุกข์ได้จริง ครับ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า ๕๓๙
อิสิทัตตเถรคาถา ว่าด้วยคาถาของพระอิสิทัตตเถระ
ได้ยินว่า พระอิสิทัตตเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
เบญจขันธ์ ข้าพระองค์กำหนดรู้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ตั้งอยู่ ข้าพระองค์บรรลุถึงความสิ้นทุกข์แล้ว บรรลุความสิ้นอาสวะแล้ว.
ขออนุโมทนา
ขอบคุณครับ อนุโมทนาครับ ^_^
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรัหนตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
แต่ละคนมีการสะสมมาที่แตกต่างกัน ความประพฤติเป็นไปจึงไม่เหมือนกัน แต่ละคนก็เป็นแต่ละหนึ่งจริงๆ สำหรับผู้ที่ได้ฟังพระธรรม ได้ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ด้วยความเคารพละเอียดรอบคอบ ย่อมจะเป็นผู้มั่นคงในความเป็นความเป็นจริงของธรรม สิ่งใดถูก คือ ถูก สิ่งใดผิด คือ ผิด
พระอริยบุคคลทุกระดับขั้น เป็นผู้ห่างไกลแสนไกลจากกิเลสที่ท่านดับได้ กิเลสที่ท่านดับได้แล้วจะไม่เกิดขึ้นอีกในสังสารวัฏฏ์ ผู้ที่ได้รับประโยชน์จากพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เห็นคุณของพระธรรม ย่อมมีความประสงค์ที่จะให้ผู้อื่นได้รู้ความจริงด้วย การที่จะเกื้อกูลให้ผู้อื่นได้รู้ความจริง ก็ด้วยการแสดงธรรมตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกในสภาพธรรมตามความเป็นจริง ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ