[เล่มที่ 74] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 275
๔. จูฬโพธิจริยา
ว่าด้วยจริยาวัตรของจูฬโพธิปริพาชก
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 74]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 275
๔. จูฬโพธิจริยา
ว่าด้วยจริยาวัตรของจูฬโพธิปริพาชก
[๑๔] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลเมื่อเราเป็นปริพาชก ชื่อจูฬโพธิ มีศีลงาม เราเห็นภพโดยเป็นสิ่งน่ากลัว จึงออกบวชเป็นดาบส นางพราหมณีผู้มีผิวพรรณดังทองคำ ซึ่งเป็นภรรยาของเรา แม้นางก็มิได้อาลัยในวัฏฏะ ออกบวชเป็นตาปสินี เราทั้งสองไม่มีความอาลัย ตัดพวกพ้องขาด ไม่ห่วงใยในตระกูลและหมู่ญาติ เที่ยวไปยังบ้านและนิคม มาถึงยังพระนครพาราณสี เราทั้งสองอยู่ ณ ที่นั้น มีปัญญา ไม่เกี่ยวข้องในตระกูลและคณะ เราทั้งสองอยู่ในพระราชอุทยานอันไม่เกลื่อนกล่น สงัดเสียง พระราชาเสด็จทอดพระเนตรพระราชอุทยาน ได้ทอดพระเนตรเห็นนางพราหมณี จึงเสด็จเข้ามาหาเราแล้วตรัสถามว่า นางพราหมณีคนนี้เป็นอะไรกับท่าน เป็นภริยาของใคร เมื่อพระราชาตรัสถามอย่างนี้ เราได้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 276
ทูลแก่พระองค์ดังนี้ว่า นางพราหมณีนี้มิใช่ภริยาของอาตมภาพ เป็นผู้ประพฤติธรรมร่วมกัน เป็นผู้มีคำสอนร่วมกัน พระราชาทรงกำหนัดหนักหน่วงในนางพราหมณีนั้น จึงรับสั่งให้พวกราชบุรุษจับ ทรงบีบคั้นด้วยกำลังสั่งให้นำเข้าไปยังภายในพระนคร เมื่อภริยาเก่าของเราเกิดร่วมกัน มีคำสอนร่วมกัน ถูกฉุดคร่าไป ความโกรธพึงเกิดแก่เรา เราระลึกถึงศีลวัตรได้พร้อมกับความโกรธที่เกิดขึ้น เราข่มความโกรธได้ ณ ที่นั้นเอง ไม่ให้มันเจริญขึ้นไปอีก ถ้าใครๆ พึงเอาหอกอันคมกริบแทงนางพราหมณีนั้น เราก็ไม่พึงทำลายศีลของเราเลย เพราะเหตุแห่งโพธิญาณเท่านั้น เราจักเกลียดนางพราหมณีนั้นก็หามิได้ และเราจะไม่มีกำลังก็หามิได้ เพราะพระสัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา ฉะนั้น เราจึงรักษาศีลไว้ ฉะนี้แล.
จบ จูฬโพธิจริยาที่ ๔
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 277
อรรถกถาจูฬโพธิจริยาที่ ๔
พึงทราบวินิจฉัยในอรรถกถาจูฬโพธิจริยาที่ ๔ ดังต่อไปนี้.
บทว่า จูฬโพธิ ชื่อว่า จูฬโพธิ ท่านยกขึ้นในจริยานี้ หมายถึงอัตภาพของปริพาชก ชื่อว่ามหาโพธิ. อนึ่ง ในชาดกนี้ไม่พึงเห็นว่า เพราะมีมหาโพธิพี่ชาย เป็นต้นของตน.
บทว่า สุสีลวา คือมีศีลด้วยดี อธิบายว่า ถึงพร้อมด้วยศีล.
บทว่า ภวํ ทิสฺวาน ภยโต เห็นภพโดยเป็นของน่ากลัว คือ เห็นภพมีกามภพเป็นต้น โดยความเป็นของพึงกลัว. ในบทว่า เนกฺขมฺมํ นี้ พึงเห็นว่าลบ จ ศัพท์. ด้วยเหตุนั้น ควรยกบทว่า ทิสฺวาน เข้ามาด้วยเป็น เนกฺขมฺมํ ทิสฺวาน คือเห็นเนกขัมมะ ดังนี้. บทนี้ท่านอธิบายว่า เห็นภพมีกามภพเป็นต้น แม้ทั้งปวงปรากฏโดยเป็นของน่ากลัว ในสังสารวัฏฏ์ ด้วยการพิจารณาสังเวควัตถุ ๘ เหล่านี้ คือ ชาติ ชราพยาธิ มรณะ อบายทุกข์. ทุกข์มีวัฏฏะเป็นมูลในอดีต ทุกข์มีวัฏฏะเป็นมูลในอนาคต. ทุกข์มีการแสวงหาอาหารเป็นมูลในปัจจุบัน. และเห็นเนกขัมมะแม้ ๓ อย่างนี้ คือ นิพพาน ๑ สมถวิปัสสนาอันเป็นอุบายแห่งนิพพานนั้น ๑ และบรรพชาอันเป็นอุบายแห่งสมถวิปัสสนานั้น ๑ โดยเป็นปฏิปักษ์ต่อภพนั้นด้วยญาณจักษุอันสำเร็จด้วยการฟังเป็นต้น แล้วจึงออกจากความเป็นคฤหัสถ์อันอากูลด้วยโทษมากมาย ด้วยการบรรพชาเป็นดาบส แล้วจึงไป.
บทว่า ทุติยิกา คือภรรยาเก่า ได้แก่ภรรยาครั้งเป็นคฤหัสถ์.
บทว่า กนกสนฺนิภา คือมีผิวดังทองคำ.
บทว่า วฏฺเฏ อนเปกฺขา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 278
คือมิได้อาลัยในสังสารวัฏฏ์
บทว่า เนกฺขมฺมํ อภินิกฺขมิ คือออกจากเรือนเพื่อเนกขัมมะ. ได้แก่บวช.
บทว่า อาลยํ ชื่อว่า อาลย เพราะเป็นเหตุให้ข้องคือตัณหา. ชื่อว่า นิราลย เพราะไม่มีตัณหา. ชื่อว่า ฉินฺนพนฺธุ เพราะแต่นั้นก็ตัดความผูกพันคือตัณหาในญาติทั้งหลาย. พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงถึงความไม่มีการผูกพันในการครองเรือนอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อทรงแสดงถึงความไม่มีแม้การผูกพันไรๆ ของบรรพชิตทั้งหลาย จึงตรัสว่า อนเปกฺขา กุเล คเณ คือไม่เกี่ยวข้องในตระกูลและคณะ.
ในบทเหล่านั้น บทว่า กุเล คือในตระกูลอุปัฏฐาก.
บทว่า คเณ คือในคณะดาบส. ท่านกล่าวชนที่เหลือว่าเป็นพรหมจารี.
บทว่า อุปาคมุํ คือเราทั้งสองมาถึงกรุงพาราณสี.
บทว่า ตตฺถ คือเขตแดนกรุงพาราณสี.
บทว่า นิปกา คือมีปัญญา.
บทว่า นิรากุเล คือไม่วุ่นวายด้วยชนทั้งหลาย เพราะปราศจากชนเที่ยวไปมา.
บทว่า อปฺปสทฺเท คือสงัดเสียง เพราะปราศจากเสียงสัตว์ร้องโดยเป็นที่อยู่ของเนื้อและนกทั้งหลาย.
บทว่า วาชุยฺยาเน วสามุโภ คือในกาลนั้นเราทั้งสองอยู่ในพระราชอุทยานของพระเจ้ากรุงพาราณสี.
พึงทราบเรื่องราวเป็นลำดับดังต่อไปนี้ :-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 279
ในอดีตกาล ในภัทรกัปนี้แหละ พระโพธิสัตว์จุติจากพรหมโลก บังเกิดเป็นบุตรของพราหมณ์ มีสมบัติมากตระกูลหนึ่งในกาสิคามแห่งหนึ่ง. ครั้นถึงคราวตั้งชื่อ มารดาบิดาตั้งชื่อว่า โพธิกุมาร. เมื่อโพธิกุมารเจริญวัย เขาไปสู่เมืองตักกสิลา เรียนศิลปะทุกสาขา เมื่อเขากลับมา ทั้งๆ ที่เขาไม่ปรารถนา มารดาบิดาได้นำกุลสตรีที่มีชาติเสมอกันมาให้. แม้กุลสตรีนั้นก็จุติจากพรหมโลกเหมือนกัน มีรูปงดงามเปรียบด้วยเทพอัปสร แม้ทั้งสองไม่ปรารถนา มารดาบิดาก็ทำการอาวาหมงคลและวิวาหมงคลให้แก่กันและกัน ทั้งสองไม่เคยมีกิเลสร่วมกันเลย. แม้มองดูกันด้วยอำนาจราคะก็มิได้มี. ไม่ต้องพูดถึงการร่วมเกี่ยวข้องกันละ. ทั้งสองมีศีลบริสุทธิ์ด้วยประการฉะนี้.
ครั้นต่อมา เมื่อมารดาบิดาถึงแก่กรรม พระโพธิสัตว์กระทำฌาปนกิจมารดาบิดาแล้ว จึงเรียกภริยามากล่าวว่า นางผู้เจริญ แม่นางจงครองทรัพย์ ๘๐ โกฏิ เลี้ยงชีพให้สบายเถิด. ภริยาถามว่า ท่านผู้เจริญ ก็ท่านเล่า. พระมหาสัตว์ตอบว่า เราไม่ต้องการทรัพย์ เราจักบวช. นางถามว่า ก็การบวชไม่สมควรแม้แก่สตรีหรือ. พระโพธิสัตว์ตอบว่า ควรซิ แม่นาง. นางตอบว่า ถ้าเช่นนั้นแม้ฉันก็ไม่ต้องการทรัพย์ ฉันจักบวชบ้าง. ทั้งสองสละสมบัติทั้งหมดให้ทานเป็นการใหญ่ ออกจากเมืองเข้าป่าแล้วบวช เลี้ยงตัวด้วยผลาผลที่แสวงหามาได้อยู่ ๑๐ ปี ด้วยความสุขในการบวชนั่นเอง เที่ยวไปตามชนบทเพื่อต้องการเสพของมีรสเค็มและเปรี้ยว ถึงกรุงพาราณสี
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 280
โดยลำดับ อาศัยอยู่ในพระราชอุทยาน. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ราชุยฺยาเน วสามุโภ เราทั้งสองอยู่ในพระราชอุทยาน.
อยู่มาวันหนึ่ง พระราชาเสด็จไปชมพระราชอุทยาน ครั้นเสด็จถึงที่ใกล้ดาบสดาบสินี ยังกาลเวลาให้น้อมไปด้วยความสุขในการบรรพชา ณ ข้างหนึ่งแห่งพระราชอุทยาน ทอดพระเนตรเห็นปริพาชิกามีรูปงดงามยิ่งนัก น่าเลื่อมใสอย่างยิ่ง มีพระทัยปฏิพัทธ์ด้วยอำนาจกิเลส ตรัสถามพระโพธิสัตว์ว่า ปริพาชิกานี้เป็นอะไรกับท่าน. เมื่อพระโพธิสัตว์ทูลว่า มิได้เป็นอะไรกัน. เป็นบรรพชิตร่วมบรรพชากันอย่างเดียว. แต่เมื่อเป็นคฤหัสถ์ได้เป็นภริยาของอาตมา. พระราชาทรงดำริว่า ปริพาชิกานี้มิได้เป็นอะไรกับพระโพธิสัตว์. แต่เมื่อครั้งเป็นคฤหัสถ์ได้เป็นภริยา. ถ้ากระไรเราจะนำปริพาชิกานี้เข้าไปภายในเมือง. ด้วยเหตุนั้นแหละเราจักรู้การปฏิบัติของปริพาชิกานี้ต่อพระโพธิสัตว์. พระราชาเป็นอันธพาล ไม่อาจห้ามจิตปฏิพัทธ์ของพระองค์ในปริพาชิกานั้นได้ จึงรับสั่งกะราชบุรุษคนหนึ่งว่า จงนำปริพาชิกานี้เข้าสู่ราชนิเวศน์.
ราชบุรุษรับพระบัญชาของพระราชาแล้ว กล่าวคำมีอาทิว่า อธรรมย่อมเป็นไปในโลก ได้พาปริพาชิกาซึ่งคร่ำครวญอยู่ไป. พระโพธิสัตว์สดับเสียงคร่ำครวญของปริพาชิกานั้น แลดูครั้งเดียวก็มิได้แลดูอีก. คิดว่า หากว่าเราจักห้าม. อันตรายจักมีแก่ศีลของเรา เพราะจิตประทุษร้ายต่อคน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 281
เหล่านั้น จึงนั่งรำพึงถึงศีลบารมีอย่างเดียว. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า อุยฺยานทสฺสนํ คนฺตวา, ราชา อทฺทส พฺราหฺมณึ พระราชาเสด็จทอดพระเนตรพระราชอุทยาน ได้ทรงเห็นนางพราหมณี เป็นอาทิ.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ตุยฺเหสา กา กสฺส ภริยา คือ พราหมณีคนนี้เป็นอะไรกับท่าน เป็นภริยาหรือ. หรือว่าเป็นน้องสาว หรือเป็นภริยาของใครอื่น.
บทว่า น มยฺหํ ภริยา เอสา นางพราหมณีนี้มิใช่ภรรยาของอาตมา คือ พราหมณีนี้ถึงจะเป็นภริยาเมื่อตอนอาตมาเป็นคฤหัสถ์ก็จริง. แต่ตั้งแต่บวชแล้วมิใช่ภริยาของอาตมา. แม้อาตมาก็มิใช่สามีของนาง. แต่ร่วมธรรม ร่วมคำสอนอันเดียวกันเท่านั้น. แม้อาตมาก็เป็นปริพาชก แม้หญิงนี้ก็เป็นปริพาชิกา เพราะเหตุนั้นจึงมีธรรมเสมอกัน มีคำสอนร่วมกันด้วยคำสอนของปริพาชก. อธิบายว่า เป็นเพื่อนพรหมจรรย์ด้วยกัน.
บทว่า ติสฺสา สารตฺตคธิโต พระราชาทรงกำหนัดหนักหน่วงในนางพราหมณีนั้น. คือทรงปฏิพัทธ์มีความกำหนัดด้วยกามราคะ.
บทว่า คาหาเปตฺวาน เจฏเก คือรับสั่งให้ราชบุรุษจับ ทรงบังคับราชบุรุษของพระองค์ให้จับปริพาชิกานั้น.
บทว่า นิปฺปีฬยนฺโต พลสา ทรงบีบคั้นด้วยกำลัง คือทรงบีบบังคับปริพาชิกานั้นผู้ไม่ปรารถนาด้วยการฉุดคร่า เป็นต้น. อนึ่ง รับสั่งให้ราชบุรุษจับปริพาชิกาผู้ไม่ไปด้วยพลการ แล้วให้เข้าไปภายในเมือง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 282
บทว่า โอทปตฺตกิยา คือหญิงที่พราหมณ์หลั่งน้ำแล้วรับไว้เป็นภริยา ชื่อว่า โอทปตฺติกา. คำนี้พึงเห็นเพียงเข้าไปกำหนดโดยความเป็นภริยาเก่า. อนึ่ง หญิงนั้นอันมารดาบิดายกให้แก่ชายด้วยพราหมณวิวาหะ. อนึ่ง บทว่า โอทปตฺตกิยา เป็นสัตตมีวิภัตติ์ลงในภาวลักษณะโดยภาวะ.
บทว่า สหชาตา คือเกิดร่วมกันด้วยเกิดในบรรพชา. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า เอกสาสนี คือคำสอนร่วมกัน. อนึ่ง บทว่า เอกสาสนี นี้ เป็นปฐมาวิภัตติ์ลงในอรรถแห่งสัตตมีวิภัตติ์ คือในคำสอนอันเดียวกัน.
บทว่า นยนฺติยา คือนำเข้าไป.
บทว่า โกโป เม อุปฺปชฺชถ ความโกรธเกิดขึ้นแก่เรา คือ พราหมณีนี้เป็นผู้มีศีล เป็นภริยาของท่านเมื่อครั้งเป็นคฤหัสถ์. ครั้นบวชแล้วเป็นน้องสาวเกิดร่วมโดยความเป็นเพื่อนพรหมจรรย์. พราหมณีนั้นถูกราชบุรุษฉุดเข้าไปโดยพลการต่อหน้าท่าน. ความโกรธที่นอนเนื่องอยู่ช้านานได้ผุดขึ้นด้วยมานะของลูกผู้ชายว่า ดูก่อน โพธิพราหมณ์ ท่านเป็นลูกผู้ชายเสียเปล่า ดังนี้จะพลันเกิดขึ้นจากใจของเรา ดุจอสรพิษถูกบุรุษคนใดคนหนึ่งฉุดครูดออกจากปล่องจอมปลวกแผ่แม่เบี้ย เสียงดัง สุสุ ดังนี้.
บทว่า สหโกเป สมุปฺปนฺเน คือพร้อมกับความโกรธที่เกิดขึ้น. อธิบายว่า ในลำดับของความโกรธที่เกิดขึ้นนั้นเอง.
บทว่า สีลพฺพตมนุสฺสรึ เราระลึกถึงศีลวัตร คือระลึกถึงศีลบารมีของตน.
บทว่า ตตฺเถว โกปํ นิคฺคณฺหึ เราข่มความโกรธได้ ณ ที่นั้นเอง คือตามที่เรานั่งบนอาสนะนั้นนั่นเอง เราห้ามความโกรธนั้นได้.
บทว่า นาทาสึ วฑฺฒิตูปริ ไม่ให้มันเจริญขึ้นไปอีก คือไม่ให้มันเจริญยิ่งขึ้นไปกว่าที่เกิด
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 283
ขึ้นครั้งแรกนั้น. บทนี้ท่านอธิบายไว้ว่า เพียงเมื่อความโกรธเกิดขึ้นนั่นเอง เราบริภาษตนว่า ดูก่อนโพธิปริพาชก ท่านบำเพ็ญบารมีทั้งปวง ประสงค์จะรู้แจ้งแทงตลอดพระสัพพัญญุตญาณมิใช่หรือ. อะไรกันนี่แม้เพียงศีล ท่านยังเผลอเรอได้. ความเผลอเรอนี้ย่อมเป็นดุจความที่โคทั้งหลายประสงค์จะไปยังฝั่งโน้นแห่งมหาสมุทรอันจมอยู่ในน้ำกรดฉะนั้น ในขณะนั้นเองข่มความโกรธไว้ได้ด้วยกำลังแห่งการพิจารณา ไม่ให้ความโกรธนั้นเจริญด้วยการเกิดขึ้นอีก. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ยทิ นํ พราหมณึ เป็นอาทิ.
บทนั้นมีเนื้อความดังต่อไปนี้ พระราชาหรือใครๆ อื่นเอาหอกอันคมกริบแทงนางพราหมณีปริพาชิกานั้น. หากตัดให้เป็นชิ้นๆ แม้เมื่อเป็นอย่างนี้ เราก็ไม่พึงทำลายศีล คือศีลบารมีของตนเลย. เพราะเหตุไร? เพราะเหตุแห่งโพธิญาณเท่านั้น คือสามารถบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณด้วยศีลไม่ขาดในที่ทั้งปวง มิใช่ด้วยเหตุนอกเหนือจากนี้.
บทว่า น เม สา พฺราหฺมณี เทสฺสา เราจะเกลียดนางพราหมณีนั้นก็หามิได้ คือ นางพราหมณีนั้นเป็นที่เกลียดชังของเราก็หามิได้ ไม่เป็นที่รักของเราก็หามิได้ โดยประการทั้งปวง คือ โดยชาติ ด้วยโคตร โดยประกาศของตระกูล โดยมารยาท และโดยคุณสมบัติมีบรรพชาเป็นต้นที่สะสมมานาน. ไม่มีอะไรที่จะทำให้เราไม่รักนางพราหมณีนี้.
บทว่า นปิ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 284
เม พลํ น วิชฺชติ เราจะไม่มีกำลังก็หามิได้ คือ กำลังของเราจะไม่มีก็หามิได้. มีอยู่มากทีเดียว. เรามีกำลังดุจช้างสาร สมบูรณ์ด้วยเรี่ยวแรง ปรารถนาอยู่สามารถจะลุกขึ้นฉับพลัน แล้วบดขยี้บุรุษที่ฉุดนางพราหมณีนั้น แล้วจับบุรุษนั้นไปยังที่ต้องการจะไปได้ ท่านแสดงไว้ดังนี้.
บทว่า สพฺพญฺญุตํ ปิยํ มยฺหํ พระสัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา คือพระสัพพัญญุตญาณเท่านั้นเป็นที่รักของเรายิ่งกว่านางปริพาชิกานั้นร้อยเท่า พันเท่า แสนเท่า.
บทว่า ตสฺมา สีลานุรกฺขิสฺสํ คือด้วยเหตุนั้นเราจึงรักษาศีลไว้.
ลำดับนั้น พระราชาไม่ทรงทำให้ชักช้าในพระราชอุทยานรีบเสด็จไปโดยเร็วเท่าที่จะเร็วได้ ตรัสให้เรียกนางปริพาชิกานั้นมาแล้วทรงมอบยศให้เป็นอันมาก. นางปริพาชิกานั้นกล่าวถึงโทษของยศ คุณของบรรพชา และความที่ตนและพระโพธิสัตว์ละกองโภคสมบัติอันมหาศาล แล้วบวชด้วยความสังเวช. พระราชาเมื่อไม่ทรงได้นางนั้นสมพระทัยโดยอุบายใดๆ จึงทรงดำริว่า ปริพาชิกาผู้นี้มีศีล มีกัลยาณธรรม แม้ปริพาชกนั้นเมื่อปริพาชิกานี้ถูกฉุดนำมาก็มิได้แสดงอาการผิดปกติแต่อย่างใดเลย. ไม่คำนึงถึงอะไรทั้งหมด. การทำสิ่งผิดปกติในผู้มีคุณธรรมเห็นปานนี้ ไม่สมควรแก่เราเลย. เอาเถิด เราจะพาปริพาชิกานี้ไปยังอุทยานแล้วขอขมาปริพาชิกานี้และปริพาชกนั้น. ครั้นพระราชาทรงดำริอย่างนี้แล้วรับสั่งกะราชบุรุษว่า พวกเจ้า จงนำปริพาชิกานี้มายังอุทยาน พระองค์เองเสด็จไปก่อน ทรงเข้าไปหา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 285
พระโพธิสัตว์ตรัสถามว่า ท่านบรรพชิตผู้เจริญ เมื่อข้าพเจ้านำปริพาชิกานั้นไป พระคุณท่านโกรธหรือเปล่า. พระมหาสัตว์ถวายพระพรว่า :-
ความโกรธเกิดแก่อาตมา แต่ไม่ปล่อยออก อาตมาจะไม่ปล่อยออกตราบเท่าชีวิต อาตมาจะห้ามทันที เหมือนฝนตกหนักห้ามเสียซึ่งธุลีฉะนั้นดังนี้.
พระราชาครั้นสดับดังนั้นแล้ว ทรงดำริว่า ปริพาชกนี้กล่าวหมายถึงความโกรธอย่างเดียว หรืออะไรอื่นมีศิลปะเป็นต้น จึงตรัสถามต่อไปว่า :-
อะไรเกิดแก่พระคุณท่าน พระคุณท่านไม่ปล่อย พระคุณท่านไม่ปล่อยอะไรตลอดชีวิต พระคุณท่านห้ามความโกรธนั้นอย่างไร ดุจฝนตกหนักห้ามธุลีฉะนั้นดังนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อุปฺปชฺชิ เกิดขึ้นแล้ว คือ ความโกรธเกิดขึ้นครั้งเดียว ไม่เกิดอีก.
บทว่า น มุจฺจิตฺถ ไม่ปล่อย คือไม่ปล่อยออกด้วยให้เกิดกายวิการและวจีวิการ. อธิบายว่า ไม่ปล่อยความโกรธนั้นให้เป็นไปในภายนอก.
บทว่า รชํว วิปุลา วุฏฺิ ความว่า อาตมาระงับ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 286
ความโกรธนั้น ห้ามไว้ เหมือนสายฝนในมิใช่ฤดูกาลตกอย่างหนักขจัดธุลีอันเกิดขึ้นในเดือนสุดท้ายของฤดูร้อนเป็นปกติ ฉะนั้น.
ลำดับนั้น พระมหาบุรุษเมื่อจะประกาศโทษของความโกรธโดยประการต่างๆ แด่พระราชานั้น จึงแสดงธรรมด้วยคาถาเหล่านี้ว่า :-
เมื่อความโกรธใดเกิดขึ้น ย่อมไม่เห็นประโยชน์ เมื่อความโกรธไม่เกิดย่อมเห็นเป็นอย่างดี. ความโกรธนั้นเป็นโคจรของคนไร้ปัญญา เกิดขึ้นแก่อาตมา อาตมาใช่ปล่อยออก. เหล่าอมิตรผู้แสวงหาทุกข์ย่อมยินดีด้วยความโกรธใดที่เกิดแล้ว ความโกรธนั้นเป็นโคจรของคนไร้ปัญญา เกิดขึ้นแล้วแก่อาตมา อาตมาไม่ปล่อยออก. อนึ่ง เมื่อความโกรธใดเกิดขึ้น บุคคลย่อมไม่รู้สึกถึงประโยชน์ตน ความโกรธนั้นเป็นโคจรของคนไร้ปัญญา เกิดขึ้นแก่อาตมา อาตมาไม่ปล่อยออก.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 287
บุคคลถูกความโกรธใดครอบงำ ย่อมละกุศลธรรม กำจัดประโยชน์แม้ในมูลออกไปเสีย. มหาบพิตร ความโกรธนั้นเป็นเสนาของความน่ากลัว มีกำลังย่ำยีสัตว์ อาตมาไม่ปล่อยออกไป.
เมื่อไม้ถูกสี ไฟย่อมเกิด. ไฟย่อมเผาไม้นั้น. เพราะไฟเกิดแต่ไม้. เมื่อคนปัญญาอ่อน โง่ เซ่อ ความโกรธย่อมเกิดเพราะความฉุนเฉียว คนพาลแม้นั้นก็ย่อมถูกความโกรธนั้นเผาผลาญ ความโกรธย่อมเจริญแก่ผู้ใด เหมือนไฟที่หญ้าและไม้ ยศของผู้นั้นย่อมเสื่อมเหมือนดวงจันทร์ในวันข้างแรม ฉะนั้น.
ความโกรธของผู้ใดสงบ เหมือนไฟไม่มีเชื้อ ยศของผู้นั้นย่อมเต็มเปี่ยมเหมือนดวงจันทร์ในวันข้างขึ้น.
ในบทเหล่านั้น บทว่า น ปสฺสติ คือแม้ประโยชน์ตนก็ไม่เห็น ไม่ต้องพูดถึงประโยชน์ผู้อื่นละ.
บทว่า สาธุ ปสฺสติ คือย่อมเห็นทั้ง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 288
ประโยชน์ตน ทั้งประโยชน์ผู้อื่น และประโยชน์ทั้งสองโดยชอบนั่นเอง.
บทว่า ทุมฺเมธโคจโร คือเป็นวิสัยของคนไร้ปัญญา หรือเป็นโคจรที่ไร้ปัญญา หรือมีเชื้อไฟเป็นอาหาร เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่า ทุมฺเมธโคจโร.
บทว่า ทุกฺขเมสิโน คือปรารถนาทุกข์.
บทว่า สทตฺถํ คือความเจริญอันเป็นประโยชน์ของตน.
บทว่า ปรกฺกเร คือพึงนำออกไป ทำให้หมดไป.
บทว่า ส ภีมเสโน ความโกรธนั้นเป็นเสนาของความน่ากลัว คือ ความโกรธนั้นประกอบด้วยเสนาของกิเลสใหญ่ให้เกิดความน่ากลัว.
บทว่า ปมทฺที คือมีปกติย่ำยีสัตว์ทั้งหลายด้วยความมีกำลัง.
บทว่า น เม อมุจฺจถ คือความโกรธนั้นไม่ได้ซึ่งความพ้นไปจากสำนักของเรา. เราทรมานไว้ในภายในนั่นเอง. อธิบายว่า ทำให้หมดพยศ. หรือว่าตั้งใจด้วยความเป็นนมส้มครู่หนึ่งดุจน้ำนม ฉะนั้น.
บทว่า มนฺถมานสฺมึ คือสีไม้เอาไฟ. ปาฐะว่า มถมานสฺมึ บ้าง. บทว่า ยสฺมา คือแต่ไม้ใด. บทว่า คินิ คือไฟ. บทว่า พาลสฺส อวิชานโต คือคนพาล คนโง่. บทว่า สารมฺภา ชายเต เกิดเพราะความฉุนเฉียว คือความโกรธย่อมเกิดเพราะความฉุนเฉียว อันมีลักษณะทำมากเกินไป เหมือนไฟเกิดเพราะไม้สีไฟฉะนั้น.
บทว่า สปิ เตเนว คือคนพาลแม้นั้นย่อมถูกความโกรธเผา เหมือนไม้ถูกไฟฉะนั้น. บทว่า อนินฺโธ ธูมเกตุว คือดุจไฟไม่มีเชื้อฉะนั้น.
บทว่า ตสฺส คือยศที่ได้แล้วย่อมเพิ่มพูนต่อๆ ไปแก่บุคคลผู้ประกอบแล้วด้วยความอดกลั้นนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 289
พระราชาครั้นทรงสดับธรรมกถาของพระมหาสัตว์แล้ว ทรงขอขมาพระมหาบุรุษ แม้นางปริพาชิกาผู้มาจากพระราชวัง ตรัสว่า ขอพระคุณท่านทั้งสองเสวยสุขในการบรรพชาอยู่ในอุทยานนี้เถิด. ข้าพเจ้าจักทำการรักษาป้องกันคุ้มครองอันเป็นธรรมแก่พระคุณท่านทั้งสอง นมัสการแล้วเสด็จกลับ. ปริพาชกและปริพาชิกาทั้งสองอาศัยอยู่ในพระราชอุทยานนั้นเอง. ต่อมานางปริพาชิกาได้ถึงแก่กรรม. พระโพธิสัตว์เข้าไปยังป่าหิมพานต์ ยังฌานและอภิญญาให้เกิด เมื่อสิ้นอายุก็ได้ไปสู่พรหมโลก.
นางปริพาชิกาในครั้งนั้นได้เป็นมารดาพระราหุลในครั้งนี้. พระราชา คือพระอานนทเถระ. โพธิปริพาชก คือพระโลกนาถ.
แม้ในจูฬโพธิจริยานี้ พึงเจาะจงกล่าวถึงบารมีที่เหลือของพระโพธิสัตว์ตามสมควร. อนึ่ง พึงประกาศคุณานุภาพแห่งพระมหาบุรุษไว้ในที่นี้มีอาทิอย่างนี้คือ การละกองโภคะใหญ่ และวงศ์ญาติใหญ่ ออกจากเรือน เช่นเดียวกับออกมหาภิเนษกรมณ์. การออกไปอย่างนั้นแล้วตั้งใจเป็นบรรพชิตที่ชนเป็นอันมากสมมติ ไม่เกี่ยวข้องในตระกูลในคณะ เพราะเป็นผู้มักน้อยเป็นอย่างยิ่ง. ความยินดียิ่งในความสงัด เพราะรังเกียจลาภและสักการะโดยส่วนเดียวเท่านั้น. การประพฤติขัดเกลากิเลสอันเป็นความดียอดยิ่ง. การนึกถึงศีลบารมีไม่แสดงความโกรธเคือง เมื่อนางปริพาชิกาผู้มีกัลยาณธรรมมีศีลถึงปานนั้น ถูกราชบุรุษจับไปโดยพลการต่อหน้าตนซึ่งไม่ได้อนุญาต. และเมื่อพระราชาทรงรู้พระองค์ว่า ทรงทำผิด
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จริยาปิฎก เล่ม ๙ ภาค ๓ - หน้า 290
จึงเสด็จเข้าไปหา การตั้งจิตบำเพ็ญประโยชน์และถวายคำสั่งสอนด้วยประโยชน์ในปัจจุบันและประโยชน์ในภพหน้า. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-
เอวํ อจฺฉริยา เหเต ฯลฯ ธมฺมสฺส อนุธมฺมโต
มีใจความดังได้กล่าวแล้วข้างต้น.
จบ อรรถกถาจูฬโพธิจริยาที่ ๔