ขอเรียนถามว่า
ผลของกรรมใดกรรมหนึ่งในสังสารวัฏฏ์ ที่เป็นเหตุให้เกิดปฏิสนธิจิตแล้วในชาตินี้ กรรมนั้นยังคงให้ผลเรื่อยไป เป็นภวังคจิต ในขณะที่ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ... ไม่คิดนึก และยังจะเป็นปัจจัยให้เกิดจุติจิตในชาตินี้ด้วยหรือไม่ครับ หรือเป็นผลของกรรมอื่น
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอเชิญอ่านคำบรรยายท่านอาจารย์สุจิืนต์ ที่อธิบายได้ดีแล้วดังนี้
ท่านอาจารย์สุจินต์ เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจว่าปฏิสนธิจิต ภวังคจิต จุติจิตเป็นผลของกรรมเดียวกันที่ทำให้เมื่อเกิดเป็นบุคคลนั้นแล้ว ก็จะเป็นบุคคลนั้นโดยภวังคจิตดำรงภพชาติสืบต่อไป จนกว่าจะสิ้นสุดกรรมนั้น เพราะฉะนั้นเป็นวิบากของกรรมเดียวกัน มีอารมณ์เดียวกัน แต่ทั้งสามขณะทำกิจต่างกัน คือ ปฏิสนธิจิตทำกิจขณะแรกขณะเดียวสืบต่อเฉพาะจากจุติจิตของชาติก่อน จะไปสืบต่อกันเหมือนอย่างกับภวังค์เกิดสืบต่อกันไม่ได้ เป็นปฏิสนธิจิตก็คือว่าต้องสืบต่อเฉพาะจากจุติจิตของชาติก่อน และสำหรับภวังค์เมื่อเป็นผลของกรรมเดียวกันก็มีอารมณ์เดียวกัน แต่ไม่ได้กระทำกิจสืบต่อเฉพาะจากจุติจิตของชาติก่อน เป็นวิบากประเภทเดียวกันจริงๆ แต่ว่าเมื่อไม่ได้ทำกิจปฏิสนธิเกิดสืบต่อจากปฏิสนธิก็ทำกิจภวังค์ (ภวะ + อังคะ) ดำรงภพชาติความเป็นบุคคลนั้น พอถึงจิตขณะสุดท้ายก็เป็นผลของกรรมที่จะทำให้สิ้นสุดความเป็นบุคคลนั้น เพราะกรรมก็มีการให้ผล เมื่อสิ้นสุดก็หมดกิจของกรรมนั้น ก็กรรมอื่นก็ให้ผล แม้แต่ระหว่างที่ยังไม่จุติ คือ ยังไม่จากโลกนี้ไป กรรมอื่นก็ยังมีโอกาสให้ผลได้
แต่ว่าสำหรับจุติจิตก็เป็นวิบากประเภทเดียวกับปฏิสนธิและภวังค์ แต่ทำกิจต่างกัน คือ ขณะที่จุติจิตเกิด ไม่ได้ทำภวังคกิจที่จะดำรงภพชาติต่อไป แต่ทำกิจเคลื่อนพ้นจากความเป็นบุคคลนั้นโดยสิ้นเชิง จะกลับเป็นบุคคลนั้นอีกไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นก็เป็นผลของกรรมเดียวกัน มีอารมณ์เดียวกัน เกิดต่างขณะกัน และก็ทำกิจต่างกันด้วย
ขออนุโมทนาขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ชีวิตของแต่ละบุคคลที่ดำเนินไปในแต่ละวันๆ นั้น เป็นจิตแต่ละขณะที่เกิดขึ้นเป็นไปดำรงอยู่เพียงชั่วหนึ่งขณะจิตเดียวเท่านั้น จึงไม่พ้นไปจากวิถีจิต (จิตที่เกิดขึ้นโดยอาศัยทางหนึ่งทางใดใน ๖ ทาง คือ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจในการรู้อารมณ์) และจิตที่ไม่ใช่วิถีจิต (จิตที่ไม่ต้องอาศัยทางหนึ่งทางใดใน ๖ ทางในการรู้อารมณ์ ได้แก่ ปฏิสนธิจิต ภวังคจิต และ จุติจิต
จิตทั้ง ๓ ประเภทนี้ ได้แก่ วิบากจิตประเภทเดียวกัน เป็นผลของกรรม ที่เกิดขึ้นทำกิจปฏิสนธิ ทำกิจภวังค์ และ ทำกิจจุติ ขึ้นอยู่กับว่าจะเกิดเป็นอะไร) ดังนั้น ในภพนี้ชาตินี้ ปฏิสนธิจิต ซึ่งเป็นจิตขณะแรกเกิดแล้วดับไปแล้ว ส่วนจุติจิต ยังไม่เกิดขึ้น แต่จะเกิดขึ้นเมื่อใดนั้น ไม่มีใครทราบได้ ชีวิตประจำวันจึงมีแต่วิถีจิตสลับกับภวังคจิต (ไม่ใช่วิถีจิต) จนกว่าจะถึงคราวที่จุติจิตเกิดขึ้นทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ในภพนี้ชาตินี้ และสำหรับผู้ที่ยังไม่ได้ดับกิเลสทั้งหลายทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏฏ์อยู่ร่ำไป เดินทางไกลในสังสารวัฏฏ์อีกต่อไป การศึกษาเรื่องจิต ก็เพื่อเข้าใจจิตตามความเป็นจริงว่า จิตเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตน เพิ่มพูนความมั่นคงในความเป็นจริงของสภาพธรรมยิ่งขึ้น ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอขอบคุณในคำตอบมากครับ
สาธุค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ชาตินี้เราก็ได้เกิดมาเป็นมนุษย์เป็นผลของบุญ แต่ถ้าเราประมาท เราตายจากชาตินี้เราก็ไม่รู้ว่าจะไปเกิดเป็นอะไร เป็นกุ้ง ปู ปลา ฯลฯ ตามกรรม เพราะฉะนั้นขณะที่ประเสริฐคือขณะที่เข้าใจพระธรรมค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
กราบอนุโมทนาค่ะ
กราบนอบน้อมพระรัตนตรัยด้วยเศียรเกล้า
กราบบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง
ขณะนี้จุติจิตยังไม่เกิด มีโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรม สะสมความเข้าใจความจริงมีค่าที่สุด ไม่ปล่อยเวลาให้ผ่านไปกับสิ่งไร้สาระเหมือนก่อนๆ เมื่อเข้าใจว่า จุติเป็นสภาพธรรมที่บังคับบัญชาไม่ได้ จึงประมาทวันเวลาไม่ได้เลย
กราบขอบพระคุณ อ.วิทยากร และสหายธรรม ทุกท่านด้วยความเคารพค่ะ
ขออนุโมทนาครับ