ผู้รู้ช่วยไขข้อข้องใจหน่อยค่ะ
โดย shereen  6 พ.ค. 2552
หัวข้อหมายเลข 12232

- พุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้าได้สอนไว้ มีการกล่าวถึงผู้สร้างโลกหรือไม่ - มีการกล่าวหรือไม่ว่า มนุษย์ มาจากไหน - เมื่อบอกว่า กรรม เป็นต้นเหตุของการเวียนว่ายตายเกิด จึงอยากทราบว่า

กรรมกับมนุษย์ อะไรเกิดก่อน (ขออ้างอิงด้วยนะคะ...ขอบคุณค่ะ)



ความคิดเห็น 1    โดย prachern.s  วันที่ 6 พ.ค. 2552

๑.โอกาสโลกเกิดขึ้นตามธรรมชาติ ไม่มีใครสร้าง เชิญคลิกอ่าน การกำเนิดโลก ๒.มนุษย์ต้นกัปมาจากผู้ที่จุติจากพรหมโลก๓.ควรทราบว่าโดยปรมัตถ์ไม่มีมนุษย์มีแต่นามและรูปเท่านั้น เมื่อนามและรูปเกิดขึ้นจึงสมมติเรียกกันว่าเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์ เป็นเทพ เป็นพรหม และเมื่อค้นหาต้นเหตุของเกิดก็ลองย้อนไปที่ กิเลส กรรม วิบาก สังสารวัฏฏ์ก็หมุนอยู่อย่างนี้จะบอกว่าอะไรเกิดก่อนละครับ วิบากมีเพราะมีกรรม กรรมมีเพราะกิเลส กิเลสเกิดขึ้นเพราะอาศัยวิบาก... แต่สังสารวัฏฏ์การเวียนว่ายตายเกิดนี้จะหลุดพ้นด้วยปัญญาเมื่ออริยะปัญญาเกิดขึ้นดับกิเลส กรรมก็เป็นอันดับด้วย วิบากก็ดับด้วย..

กำเนิดมนุษย์ โลก และจักรวาล ในคัมภีร์พระไตรปิฎก


ความคิดเห็น 2    โดย shereen  วันที่ 6 พ.ค. 2552

ตามไปอ่านแล้วเข้าใจยากจังค่ะ รบกวนอธิบายแบบไม่มีศัพท์บาลีหน่อยได้ไหมคะ

เอาแบบสรุปเข้าใจง่ายก็ได้ค่ะ ^^


ความคิดเห็น 3    โดย shereen  วันที่ 7 พ.ค. 2552
แล้วธรรมชาติเกิดมาได้อย่างไร แล้วท่านคิดเห็นอย่างไรกับบทความนี้คะ //www.mureed.com/article/Sharif/Sharif

ความคิดเห็น 4    โดย pornpaon  วันที่ 7 พ.ค. 2552

ไม่ใช่ผู้รู้

แต่ขอร่วมสนทนา

ในประเด็นของความคิดเห็นที่ 3 ค่ะ

แล้วมุมมองของคุณ shereen ล่ะคะ

คิดอย่างไรกับข้อความในหนังสือเล่มที่อ้าง

ประเด็นจริงๆ ที่คุณต้องการรู้และพิสูจน์ คืออะไรคะ

คุณเป็นผู้ที่เลือกนับถือศาสนา หรือลัทธิอย่างหนึ่งอย่างใดแล้วหรือไม่

และ คุณคิดจะตอบอย่างไร หากมีผู้ถามคุณว่า

ไก่กับไข่ อะไรเกิดก่อนกัน?

จากการอ่าน

การเก็บข้อมูลของผู้เขียนหนังสือเล่มที่อ้างถึง

ได้มาจากผู้นับถือศาสนานั้นๆ ที่ไม่ได้ศึกษาศาสนาของตนอย่างจริงจังและรอบคอบ

และโดยที่ผู้เขียนมีพื้นฐานคือ ปักใจในความเชื่อของตนเป็นธงหลักไว้ก่อนแล้ว

ข้อมูลของศาสนาอื่น เขาเพียงนำมาอ้าง เพื่อให้สิ่งที่ตนเชื่อนั้น ดูหนักแน่นขึ้น

ถึงแม้ข้อความในคัมภีร์เล่มที่ผู้เขียนคนดังกล่าวอ้างถึง

จะไม่มีการผิดเพี้ยนเลยแม้แต่อักษรเดียว ตลอดระยะเวลาพันๆ ปี


แต่สิ่งที่เป็นสาระจริงๆ ที่ควรพิจารณาคือ เนื้อหา ในนั้นต่างหาก

ว่า... เป็นเหตุเป็นผลที่สอดคล้องกันหรือไม่

มีส่วนที่เป็นความขัดแย้งกันเองบ้างหรือเปล่า

พิธีบูชายัญด้วยแพะหรือวัว ในวันสำคัญของศาสนาหรือลัทธิใดๆ ก็ตาม

โดยเชื่อว่า เป็นคุณต่อสัตว์นั้น เพื่อช่วยให้วิญญาณของสัตว์นั้นบริสุทธิ์ขึ้น

คุณคิดอย่างไร? มันจะเป็นเช่นนั้นได้จริงหรือ?

หากมีคนกล่าวกับเราว่า จงสละชีวิตของเราเพื่อเป็นยัญบูชาต่อพระเจ้า

เพื่อเป็นเครื่องประกันความสุขชั่วนิรันดร์ในสวรรค์ของเรา

โดยการให้เขาคนนั้น เชือดคอเราเสียในที่บูชายัญนั้น

เราจะเชื่อเขาหรือไม่?

มันจะเป็นเช่นนั้นจริงหรือ?

เป็นเรื่องที่ถูกหรือผิดกันแน่?

เป็นเรื่องที่คิดทบทวน ไตร่ตรอง และพิจารณาได้เองด้วยปัญญาของตนหรือเปล่าคะ

สิ่งที่เป็นประโยชน์จริงๆ ในชีวิตเวลานี้

ไม่ใช่การรู้เรื่องกำเนิดของโลกที่เรียกว่า earth หรือศาสนาของฉันของเธอ

แต่เป็นเรื่องความเข้าใจใน เหตุและผล อย่างถูกต้อง

เป็นเรื่องการเข้าใจและตรงต่อสภาพจิตของตน

ในแต่ละช่วงแต่ละขณะที่กระทำหรือคิดสิ่งใดๆ ลงไป

ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ

ว่าแท้จริงแล้ว... ขณะนั้น มีสภาพเป็นบุญหรือเป็นบาป กันแน่

แน่นอนว่าความรู้ความเข้าใจในเรื่องเหล่านี้ เป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง

และต้องใช้เวลาศึกษากันอย่างยาวนาน ไม่เพียงในชั่วชีวิตเดียว

แต่ยังต้องศึกษาอีก ในหลายๆ ชั่วชีวิตที่อาจนับจำนวนไม่ถ้วนข้างหน้า

ไม่ได้ร่วมสนทนาเพื่อให้คุณเชื่อค่ะ

แต่เพื่อให้คุณศึกษาด้วยตนเอง

เพื่อเป็นปัญญาความเข้าใจของคุณ shereen เองจริงๆ

แต่เชื่อว่า...

ความสนใจของคุณ shereen มีมากพอ

ที่จะยอมสละเวลาเพื่อศึกษาเรื่อง เหตุและผล ได้แน่ ใช่มั้ยคะ



ขออนุโมทนาในกุศลจิตทุกท่านค่ะ


ความคิดเห็น 5    โดย พุทธรักษา  วันที่ 7 พ.ค. 2552

การที่จะรู้จริง ต้องศึกษาถ้าศึกษาจริงๆ ...ย่อมรู้ได้ในสักวันหนึ่ง...ด้วยปัญญาของผู้ที่ศึกษาเองเมื่อถึงวันนั้น...ก็จะหายสงสัย.พระพุทธศาสนา นั้น สอนให้รู้สัจจธรรมสัจจธรรม คือ ความเป็นจริงและถ้าต้องการรู้ความจริง ก็ต้องรู้...ด้วยปัญญาของตนเองคือ ต้องศึกษา ด้วยตนเอง เท่านั้นค่ะ.
พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้และทรงแสดง เป็นเรื่องยาก ที่จะรู้ตามได้แต่ถ้ารู้ตามไม่ได้เลย....ก็จะไม่ทรงแสดง.
พระพุทธเจ้า ไม่สามารถดลบันดาลให้ใครพ้นทุกข์ได้แต่พระองค์ทรงชี้ทางพ้นทุกข์...........แก่ ผู้เห็นทุกข์.
แต่การศึกษา เป็นเรื่องที่ต้องอดทนที่จะค่อยๆ เข้าใจเพราะเป็นเรื่องละเอียด...ไม่เหมือนการเรียนวิชาทางโลกแต่สิ่งที่ยาก...ก็ต้องใช้เวลามากที่จะเข้าใจจึง เป็นเรื่องธรรมดา...ที่จะยังสงสัยอยู่.
พระพุทธเจ้า ทรงเปรียบเทียบว่าความรู้นั้น มีมากมาย...ไม่มีทางที่จะรู้ได้ทั้งหมดแต่พระธรรมที่ทรงแสดง เพื่อความพ้นทุกข์ที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก ที่เรากำลังศึกษากันอยู่นี้เปรียบเหมือนใบไม้ในกำมือ
ขอเชิญท่านอ่านข้อความโดยตรงจากพระไตรปิฎกดังนี้
.
.
.พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒-
หน้าที่ 449 สีสปาปัณณวรรค
๑. สีสปาสูตร

เปรียบสิ่งที่ตรัสรู้มีมากเหมือนใบไม้บนต้น
[๑๗๑๒] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ สีสปาวันกรุงโกสัมพี ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงถือใบประดู่ลาย ๒-๓ ใบ ด้วยฝ่าพระหัตถ์ แล้วตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย มาแล้วตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย จะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน.? ใบประดู่ลาย ๒-๓ ใบ ที่เราถือด้วยผ่ามือ กับใบที่บนต้น ไหนจะมากกว่ากัน.? ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ใบประดู่ลาย ๒-๓ ใบ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถือด้วยฝ่าพระหัตถ์มีประมาณน้อย ที่บนต้นมากกว่า พระเจ้าข้า.พระผู้มีพระภาคจ้าตรัสว่า


อย่างนั้นเหมือนกัน ภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่เรารู้แล้ว มิได้บอกเธอทั้งหลาย มีมาก ก็เพราะเหตุไร เราจึงไม่บอก.
เพราะสิ่งนั้นไม่ประกอบด้วยประโยชน์
มิใช่พรหมจรรย์เบื้องต้น
ย่อมไม่เป็นไป เพื่อความหน่าย ความคลายกำหนัด ความดับ ความสงบ ความรู้ยิ่ง ความตรัสรู้ นิพพานเพราะเหตุนั้น เราจึงไม่บอก.

[๑๗๑๓]

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
สิ่งอะไร เราได้บอกแล้ว เราได้บอกแล้วว่า นี้ทุกข์นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
ก็เพราะเหตุไร เราจึงบอก.
เพราะสิ่งนั้น ประกอบด้วยประโยชน์
เป็นพรหมจรรย์เบื้องต้น ย่อมเป็นไป เพื่อความหน่าย...นิพพาน.
เพราะฉะนั้น เราจึงบอก. ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลาย
พึงการทำความเพียร เพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา.

จบสีสปาสูตรที่ ๑


................................................
พระองค์ไม่ทรงสอนให้ใครเชื่อตาม...โดยไม่ศึกษาให้เข้าใจเสียก่อนและไม่ทรงบังคับให้ใครศึกษา.
แต่ต้องเป็นความสมัครใจของผู้ศึกษาเองโดยที่ผู้ศึกษา...ต้องเห็นประโยชน์ของการที่จะรู้ว่า พระพุทธเจ้า...สอนอะไร.!
ซึ่งการเห็นประโยชน์ และ เริ่มที่จะศึกษา ว่า พระพุทธเจ้าสอนอะไร.......เป็นเพียงการเริ่มต้น...เท่านั้น.การว่ายน้ำทวนกระแส...นั้นยากกว่าการว่ายน้ำตามกระแส ฉันใดการที่จะหมดความสงสัยในความจริงก็ยาก...ฉันนั้น.

.................................


ความคิดเห็น 6    โดย ajarnkruo  วันที่ 7 พ.ค. 2552

1. ควรเข้าใจความหมายของคำว่า "โลก" ก่อน เพราะเป็นคำในภาษาบาลีที่คนไทยนำมาใช้พูดกันถูกๆ ผิดๆ เราอาจจะเคยคิดไปสารพัดว่า อย่างนี้มาแต่อย่างนั้น อย่างนั้นมาแต่อย่างนี้ แต่ถ้าได้รู้และเข้าใจความหมายแท้ๆ ของคำที่เราพูดกันโดยละเอียดเราก็ค่อยๆ จะคลายความสงสัยและความสับสนลงได้

ขอเชิญคลิกอ่าน --- ว่าด้วยสิ่งที่เรียกว่าโลก [โลกสูตร]

เรื่อง โลกสาม

ถ้าได้เข้าใจความหมายของคำว่า "โลก" จริงๆ แล้ว ก็จะพบว่าพระธรรมคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่มีแสดงถึงบุคคลผู้สร้างโลกเลย แต่พระองค์ทรงแสดงถึงเหตุปัจจัยให้เกิดโลกโดยนัยต่างๆ เช่น โดยนัยของ "โอกาสโลก " (ในคำตอบของ คห.1)

2. ความจริงแล้ว คำว่า "มนุษย์" เป็นเพียงสมมติที่เราตั้งขึ้น พูดกันแล้ว ก็ดูเหมือนว่าจะมีมนุษย์อยู่จริงๆ แต่ถ้าไปพูดคำๆ นี้กับชาวต่างประเทศ ที่เราเคยเข้าใจว่ามีจริง ก็จะไม่จริงสำหรับเขาผู้นั้นเสียแล้ว เพราะเขาฟังคำว่า "มนุษย์" ในภาษาไทย....ไม่รู้เรื่อง

"มนุษย์" (ภาษาไทย) human (ภาษาอังกฤษ) " มาจากไหน?

ถ้าจะพิจารณาจริงๆ ก็จะได้คำตอบถึงแหล่งที่มาของ "มนุษย์" ที่เราไม่เคยรู้มาก่อน ซึ่งก็คือ จากทางตา หูจมูก ลิ้น กาย ใจ นี่เอง อ่านแล้วดูเหมือนจะชวนงง แต่ถ้าพิจารณาจริงๆ ทีละทาง ก็อาจจะพอเข้าใจขึ้นได้ครับ เช่น ทางตา เพราะเห็นสีสันต่างๆ จากนั้นทางใจจึงคิดนึกสีสันนั้นๆ แล้วก็ปรุงแต่งไป เป็นรูปร่าง ทรวดทรง ผิวพรรณ หน้าตา สูง ต่ำ ดำ ขาว แล้วก็คิดคำขึ้นมาจากสิ่งที่ได้เห็นว่าเป็น "มนุษย์" เพราะฉะนั้น "มนุษย์" มาจากใจที่รู้รูปร่าง สัณฐานจากสีสันต่างๆ แล้วคิดคำๆ นี้ขึ้น จากสิ่งที่ได้เห็นทางตา

ถ้าไม่มีการเห็นเลย ....ใจย่อมไม่มีทางที่จะรู้ว่า สิ่งที่ได้เห็นแล้วนั้นเป็นอะไรแต่เพราะได้เห็นแล้ว ....ใจจึงคิดตามในสิ่งที่ได้เห็น ทางหู จมูก ลิ้น กาย ก็โดยนัยเดียวกัน คือ ได้ยินก่อน แล้วจึงคิดว่าเสียงนั้นเป็นเสียงมนุษย์ ...ได้กลิ่น ...ได้กระทบสัมผัสก่อน จากนั้นทางใจจึงคิดว่าเป็น "มนุษย์"

ส่วนทางใจ เวลาที่ไม่ได้เห็น ได้ยิน...ได้กระทบสัมผัส ก็คิดนึกถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เคยเห็น ได้ยินมา ...เป็นมนุษย์ สัตว์ สิ่งของ เป็นสถานที่ ต่างๆ

ขณะที่ฝันเป็นการคิดทางใจ เวลาฝัน ก็ฝันเพราะจำได้ถึงสิ่งที่ปรากฏทางตา หูจมูก ลิ้น กาย ...จึงคิดถึงสิ่งเหล่านี้ที่ได้เห็น ได้ยินแล้ว เหล่านี้ว่าเป็นคน เป็นสัตว์ ฯลฯ

แล้ว "มนุษย์" ในขณะที่เรากำลังนอนหลับสนิท หายไปไหน? รวมทั้งในขณะที่ไม่ได้คิดถึง "มนุษย์" --- มนุษย์ไปอยู่ที่ไหน?

เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่า "มนุษย์" ที่เราเคยรู้สึกว่าเหมือนจะมีโดยตลอด ความจริงก็มีอยู่เพียงชั่วขณะที่ใจเกิดคิดขึ้นมาเท่านั้นเอง เมื่อใจไม่คิด "มนุษย์" ก็มีไม่ได้แหล่งของความคิดทั้งหลาย จึงมาจากทางใจที่คิดจากสิ่งที่ได้รู้แล้วจากทางตา หู จมูกลิ้น กาย ทั้งนั้น รวมไปถึงทางใจที่สามารถคิดถึงเรื่องที่เคยคิดไปแล้วด้วย

3. ควรเริ่มศึกษาตั้งแต่คำว่า "ธรรมคืออะไร" ก่อนครับ เพราะการศึกษาพระธรรมจำเป็นต้องมีความเข้าใจที่ถูกต้องเริ่มตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน เพราะพระธรรมละเอียด ลึกซึ้งมาก จึงไม่ง่ายที่ใครจะเข้าใจได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว

เวลาที่เราได้ยินคำอะไรก็ตามที่ใช้พูดๆ กันในวงการชาวพุทธ ถ้าเราไม่มีความเข้าใจในพระธรรมตั้งแต่เบื้องต้น เราจะไม่พ้นจากความสับสนและสงสัย แต่ถ้าเราศึกษาจนพอที่จะเข้าใจขึ้นบ้าง เราก็จะรู้ว่า ความหมายของคำที่เราพูดๆ กันนั้น ต่างจากความหมายเดิมกับภาษาต้นฉบับมาก - น้อยเพียงใด เป็นเรื่องที่ผู้ศึกษาไม่ควรที่จะมองข้ามแม้แต่คำๆ เดียว เช่น กรรม ถ้าเราไม่เข้าใจความหมายจริงๆ ของคำๆ นี้ ก็อาจจะเป็นคำที่ทำให้เราเข้าใจผิดมากยิ่งขึ้นได้ทีเดียว เพราะเราไม่ได้ใส่ใจที่จะค้นคว้าหาข้อเท็จจริงโดยละเอียดจากพระธรรม ตัวอย่างในครั้งพุทธกาลก็มีมาก ที่ผู้มีความเห็นผิด พูดคำๆ นี้ เพื่อจะถ่ายทอดคำสอนจากลัทธิของตนที่ไม่ตรงกับสัจจธรรมแก่ผู้อื่น

แต่เมื่อใดก็ตาม ที่เรามีโอกาสที่จะค่อยๆ เริ่มศึกษา และเข้าใจพระธรรมเพิ่มขึ้น มีความเห็นถูกต้องมากขึ้น คำที่ได้เข้าใจแล้วนั้น จะเป็นปัจจัยให้เราเข้าถึงพระธรรมที่มีความลึกซึ้งยิ่งๆ ขึ้นไปอีกได้ ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ต้องอาศัยเวลาและการใส่ใจที่จะเห็นคุณค่าและประโยชน์ของพระธรรมด้วย

ขอเชิญคลิกอ่าน --- กรรมคืออะไร


ความคิดเห็น 7    โดย suwit02  วันที่ 7 พ.ค. 2552

อ้างอิงจาก : หัวข้อ 12232 ความคิดเห็นที่ 3 โดย shereen แล้วธรรมชาติเกิดมาได้อย่างไร แล้วท่านคิดเห็นอย่างไรกับบทความนี้คะ//www.mureed.com/article/Sharif/Sharif.pdf


อยากฝากบอกคุณ ชารีฟ (กฤษฎากร) วงศ์เสงี่ยม ผู้เขียนว่า ท่านยังไม่เข้าใจ

สิ่งที่เป็นสาระในพระพุทธศาสนาเลย ขอยกตัวอย่างคำพูดของผู้เขียนที่ว่า

หลักฐานชิ้นเด็ดที่ชาวพุทธมักนำมาอ้างว่า

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่แท้จริง ก็คือ เรื่อง การระลึกชาติได้ และเรื่องจิปาถะอื่นๆ

ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดอย่างมาก

ผมเห็นว่า หลักฐานชิ้นเด็ดที่ชาวพุทธมักนำมาอ้างว่า

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ (นำออกจากทุกข์ได้อย่าง) แท้จริง ก็คือ

เรื่อง อริยสัจจ และ สติปัฏฐาน

ผมอ่านบทความโดยตลอดแล้ว ไม่เห็นด้วย

ทั้ง โดยข้อเท็จจริงที่ยกมาอ้าง และการใช้เหตุผลที่ซ่อนข้อบกพร่องไว้

ซึ่งทั้งสองประการนำไปสู่ข้อสรุปผิดๆ ในพระพุทธศาสนา

(และผมอนุมาน ว่า ในคริสต์ศาสนาด้วย)

skype username : suwit2502


ความคิดเห็น 8    โดย kaewin  วันที่ 8 พ.ค. 2552

คุณคิดว่า โลก คืออะไร ถ้าคุณคิดว่าโลกคือลูกกลมๆ สีฟ้า...เนี่ย ทางธรรมะ ก็ไม่ใช่

สิ่งที่ถูก....โลกที่เป็นไปตามความเป็นจริงคือ โลก ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ... แล้ว

กรรมที่เกิดขึ้น ก็เกิดจากโลกทั้งหกทวารนี่แหละ กิเลส ทำให้โลกทั้งหกเกิดขึ้น ลอง

พิจารณาดูขณะหลับสนิท เป็นภวังค์ ขณะนั้นไม่มีกิเลสเลย... มีมั๊ยครับ... คน สัตว์

สิ่งของ... พ่อ แม่ เพื่อน บ้าน รถ...ไม่มีเลย เพราะฉะนั้น คำถามทั้งสามข้อ ไม่ต้อง

หาสาระกับมันหรอกครับ แต่สาระอยู่ที่ว่าคุณ รู้ อยู่ตอนนี้ ใช่คุณ หรือเป็นแค่ สภาวะจิต

เข้าไปรู้...ในสภาวธรรมนั้นๆ ต่างหาก (.. กิเลส มันน่ากลัวมากนะครับ ..)


ความคิดเห็น 9    โดย wannee.s  วันที่ 9 พ.ค. 2552

บุรุษคนหนึ่งถูกลูกศรยิงหมอจะทำการรักษา แต่เขาไม่ยอมให้รักษาเพราะต้องการให้

หมอบอกว่าลูกศรนี้ทำมาจากไม้อะไรเป็นต้น บุรุษคนนั้นต้องตายเปล่า เพราะไม่ยอม

รักษาแผลฉันใด บุคคลก็ควรรู้ควรเจริญในสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่เป็นไปเพื่อดับกิเลสค่ะ