๖. ปุณณมาสเถรคาถา ว่าด้วยคาถาของพระปุณณมาสเถระ
โดย บ้านธัมมะ  19 พ.ย. 2564
หัวข้อหมายเลข 40551

[เล่มที่ 51] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ - หน้า 128

เถรคาถา ทุกนิบาต

วรรคที่ ๓

๖. ปุณณมาสเถรคาถา

ว่าด้วยคาถาของพระปุณณมาสเถระ


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 51]



ความคิดเห็น 1    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 22 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ - หน้า 128

๖. ปุณณมาสเถรคาถา

ว่าด้วยคาถาของพระปุณณมาสเถระ

[๒๘๓] ได้ยินว่า พระปุณณมาสเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า

เราละนิวรณ์ ๕ เพื่อบรรลุความเกษมจากโยคะ แล้วถือเอาแว่นธรรม คือ ญาณทัสสนะของตน ส่องดูร่างกายนี้ทั่วทั้งหมด ทั้งภายในภายนอกร่างกายของเรานี้ ปรากฏเป็นของว่างเปล่า ทั้งภายในและภายนอก.

อรรถกถาปุณณมาสเถรคาถา

คาถาของพระปุณณมาสเถระ เริ่มต้นว่า ปญฺจ นีวรเณ หิตฺวา. เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร?

แม้พระเถระนี้ ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำแล้วในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ สั่งสมบุญไว้ในภพนั้นๆ เกิดในเรือนแห่งตระกูล ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า ติสสะ บรรลุนิติภาวะแล้ว วันหนึ่ง เมื่อพระศาสดา ประทับอยู่ในป่า คล้องบังสุกุลจีวรไว้ที่กิ่งไม้ แล้วเสด็จเข้าไปสู่พระคันธกุฎี เขาถือธนู เข้าไปสู่ชัฏป่า เห็นผ้าบังสุกุลจีวรของพระศาสดา แล้วมีใจเลื่อมใส วางธนูแล้วระลึกถึงพระพุทธคุณไหว้ผ้าบังสุกุล.

ด้วยบุญกรรมนั้น เขาท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย บังเกิดในตระกูลกุฎุมพี ในพระนครสาวัตถี ในพุทธุปบาทกาลนี้. ได้ยินว่า


ความคิดเห็น 2    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 22 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ - หน้า 129

ในวันที่เขาเกิด ภาชนะทุกอย่างในเรือนนั้น ได้เต็มบริบูรณ์ไปด้วยถั่วเขียว อันสำเร็จไปด้วยทองและรัตนะทั้งหลาย เขาเจริญวัยแล้ว มีครอบครัว เมื่อบุตรคนที่หนึ่งเกิดแล้ว สละฆราวาสวิสัย บวชอยู่ในอาวาสใกล้บ้าน เพียรพยายามอยู่ ได้เป็นผู้มีอภิญญา ๖ แล้ว. สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ใน อปทานว่า

พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สยัมภู ทรงเป็นบุคคลผู้เลิศ พระนามว่า ติสสะ ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว พระพิชิตมาร ทรงวางบังสุกุลจีวรไว้แล้ว เสด็จเข้าสู่พระวิหาร เราสะพายธนูที่มีสายและกระบอกน้ำ ถือดาบเข้าป่าใหญ่ ครั้งนั้น เราได้เห็นบังสุกุลจีวร ซึ่งแขวนอยู่บนยอดไม้ ในป่านั้น จึงวางธนูลง ณ ที่นั้นเอง ประนมกรอัญชลี เหนือเศียรเกล้า เรามีจิตเลื่อมใส มีใจโสมนัส และ มีปีติเป็นอันมาก ระลึกถึงพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด แล้วได้ไหว้บังสุกุลจีวร ในกัปที่ ๙๒ แต่ภัทรกัปนี้ เราได้ไหว้บังสุกุลจีวรใด ด้วยการไหว้บังสุกุลจีวรนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการไหว้ (บังสุกุล จีวร). เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯลฯ คำสอนของ พระพุทธเจ้าเรากระทำสำเร็จแล้ว ดังนี้.

ก็พระเถระ เป็นผู้มีอภิญญา ๖ แล้ว เข้าไปสู่พระนครสาวัตถี ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว อยู่ในป่าช้า ก็เมื่อท่านไปได้ไม่นานนัก บุตรของท่านก็ได้ทำกาละ มารดาของทารกสดับข่าวว่า พระเถระมาแล้ว มีความประสงค์จะยังพระเถระให้สึกด้วยคิดว่า พระราชาอย่าริบสมบัติของเราผู้หาบุตรมิได้นี้ไปเลย ไปสู่สำนักของพระเถระด้วยบริวารเป็นอันมาก ทำการปฏิสันถารแล้ว


ความคิดเห็น 3    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 22 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ - หน้า 130

เริ่มจะประเล้าประโลม. พระเถระยืนอยู่ในอากาศ เพื่อจะให้นางรู้ความที่ตนเป็นผู้ปราศจากราคะแล้ว เมื่อจะแสดงธรรมแก่นาง ด้วยมุขคือการประกาศ ข้อปฏิบัติ ได้กล่าวคาถา ๒ คาถา ความว่า

เราละนิวรณ์ ๕ เพื่อบรรลุความเกษมจากโยคะ แล้วถือเอาแว่นธรรม คือญาณทัสสนะของตน ส่องดูร่างกายนี้ทั่วทั้งหมด ทั้งภายใน ภายนอก ร่างกายของเรานี้ ปรากฏเป็นของว่างเปล่าทั้งภายในและภายนอก ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปญฺจ นิวรเณ หิตฺวา ความว่า ละ คือ กำจัด นิวรณ์ ๕ มีกามฉันทะเป็นต้น ด้วยการบรรลุฌาน.

บทว่า โยคกฺเขมสฺส ปตฺติยา ความว่า เพื่อบรรลุพระนิพพาน อันเป็นแดนเกษมจากโยคะทั้งหลาย ๔ มีกามโยคะเป็นต้น คือ อันโยคะเหล่านั้น ไม่เข้าไปประทุษร้ายแล้ว.

บทว่า ธมฺมาทาสํ ได้แก่ แว่นอันเป็นองค์ธรรม. อธิบายว่า กระจกย่อมส่องให้เห็นคุณและโทษในรูปกายของผู้มองดูอยู่ฉันใด แว่นธรรม กล่าวคือวิปัสสนาก็ฉันนั้น ชื่อว่าเป็นญาณทัสสนะ เพราะเป็นเหตุให้รู้ความแตกต่างแห่งสามัญญลักษณะของธรรมทั้งหลาย ย่อมส่องให้เห็นคุณในกาย ที่ชื่อว่าโดยแตกต่างกัน เพราะแจกแจงสังกิเลสธรรมอย่างแจ่มแจ้ง และยังการละสังกิเลสธรรมนั้นให้สำเร็จ สำหรับท่านที่พิจารณาเห็นอยู่ ด้วยเหตุนั้น พระเถระจึงกล่าวว่า

ธมฺมาทาสํ คเหตฺวาน ญาณทสฺสนมตฺตโน ปจฺจเวกฺขึ อิมํ กายํ สพฺพํ สนฺตรพาหิรํ


ความคิดเห็น 4    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 22 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ - หน้า 131

ถือเอาแว่นธรรม คือ ญาณทัสสนะของตน ส่องดูร่างกายนี้ทั่วทั้งหมด ทั้งภายในภายนอก.

คือ ถือเอาแว่นธรรม แล้วพิจารณาโดยเฉพาะว่า ไม่เที่ยงบ้าง เป็นทุกข์บ้าง เป็นอนัตตาบ้าง เห็นร่างกาย คือ อัตภาพของเรานี้ อันเป็นที่ประชุมแห่งธรรม ชื่อว่าทั้งภายในภายนอก เพราะความเป็นอายตนะที่เป็นไปในภายในและภายนอก ทั้งหมดคือไม่มีส่วนเหลือ ด้วยญาณจักษุ ก็เราผู้เห็นอยู่อย่างนี้ ทั้งภายในและภายนอก ได้แก่ ร่างกายคืออัตภาพ กล่าวคือขันธปัญจกะ ที่เว้นสาระมีความเที่ยงเป็นต้น จึงชื่อว่าเป็นของว่างเปล่า เราได้เห็นแล้วตามความเป็นจริงด้วยญาณจักษุ.

แท้จริง ขันธปัญจกะแม้ทั้งสิ้น ท่านเรียกว่ากาย ดังในประโยคมีอาทิว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กายนี้ เป็นที่มาประชุมของคนเขลา ผู้อันอวิชชาครอบงำ แล้ว ประกอบแล้วด้วยตัณหาอย่างนี้.

ก็พระเถระเมื่อจะแสดงความที่ตนเป็นผู้มีกิจอันกระทำสำเร็จแล้วว่า ขันธปัญจกะใดแลอันเราพึงเห็นในกายนี้ ขันธปัญจกะนั้นอันเราเห็นแล้ว ไม่มีส่วนใดๆ ของขันธปัญจกะนั้นที่เราจะต้องเห็นอีก ดังนี้ พยากรณ์พระอรหัตตผล แล้ว ด้วยบทว่า อทิสฺสถ นี้.

พระเถระแสดงธรรมแก่หญิงผู้เป็นภรรยาเก่าด้วยคาถาเหล่านี้ อย่างนี้ แล้ว ยังนางให้ตั้งอยู่ในสรณคมน์และศีลทั้งหลายแล้วส่งไป.

จบอรรถกถาปุณณมาสเถรคาถา