จากหนังสือ แนวทางเจริญวิปัสสนา เล่ม68 หน้า63 ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต๋ ได้กล่าวว่า
"... การประจักษ์แจ้งในการแยกขาดออกจากกันของสภาพธรรมทางมโนทวารวิถีจิต"
ขอเรียนถามอาจารย์ คำปั่นว่า หมายความว่าอย่างไรครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ประเด็นนี้ ลึกซึ้งอย่างยิ่ง เพราะท่านอาจารย์กำลังกล่าวถึงวิปัสสนาญาณ ซึ่งเป็นปัญญาที่ประจักษ์แจ้งความเป็นจริงของสภาพธรรม ซึ่งจะต้องเป็นทางมโนทวาร มโนทวารปรากฏ เพราะเหตุว่า วิปัสสนาญาณทุกขั้น เป็นการประจักษ์แจ้งสภาพธรรม ทางมโนทวาร อย่างเช่น ปัญญาที่ประจักษ์แจ้งรูปธรรมและนามธรรม แยกขาดจากกัน นามธรรม ปรากฏทางใจ รู้ได้ทางใจ เพราะฉะนั้น ที่จะประจักษ์แจ้ง ก็ต้องเป็นทางมโนทวาร ลักษณะของนามธรรม ไม่มีรูปธรรมใดๆ เจือปนเลย
ขอยกคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ ๖๗๘ ในช่วงที่เป็นประเด็นคำถามของคุณทรงศักดิ์ ดังนี้.-
ทางตาในขณะนี้ ถ้าปัญญาอบรมเจริญขึ้นสามารถที่จะรู้ว่า ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่วัตถุสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงเลย เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่ปรากฏในขณะที่ลืมตา และเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาเท่านั้น ถ้ารู้ความจริงอย่างนี้ ปัญญาที่อบรมแล้วก็สามารถจะประจักษ์ลักษณะที่ขาดตอนของสภาพธรรมแต่ละอย่าง เพราะว่าหลังจากที่จิตเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางปัญจทวาร คือ สีสันวัณณะต่างๆ ดับไปแล้ว มโนทวารวิถีจิตเกิดขึ้นรับรู้สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาในขณะนี้ต่ออย่างรวดเร็วที่สุด แต่ไม่มีการประจักษ์ในสภาพของมโนทวารซึ่งเกิดต่อจากทางปัญจทวาร ก่อนที่จะรู้ว่าสิ่งที่เห็นเป็นอะไร และต่อกับทางหูอย่างรวดเร็ว คือ เหมือนกับว่าเห็นด้วยและได้ยินด้วยพร้อมๆ กัน
แต่ความจริงแล้ว แม้แต่ขณะที่ได้ยิน จิตเกิดขึ้นได้ยินเสียงทางปัญจทวารวิถี คือ โสตทวารวิถีดับไปแล้ว ก่อนที่จะรู้ความหมาย ก่อนที่จะตรึกนึกถึงความหมายแต่ละความหมายของเสียงที่ปรากฏ ก็มีมโนทวารวิถีจิตเกิดแทรกเกิดคั่นอยู่ทุกทวาร
เพราะฉะนั้น ในขณะนี้ยังไม่ประจักษ์ลักษณะของมโนทวารวิถีจิตซึ่งคั่น ปัญจทวารวิถีจิตแต่ละวิถี ทำให้ปรากฏเสมือนว่าเป็นโลกที่ยั่งยืน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลต่างๆ สืบต่อกัน ไม่มีวันแตกสลายเลยทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
การที่จะสามารถประจักษ์สภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ โดยมโนทวารปรากฏการแยกขาดจากกันของสภาพธรรมแต่ละลักษณะในขณะนี้ ซึ่งมีมโนทวารวิถีจิตเกิดคั่น ก็จะต้องมีการอบรมเจริญปัญญาให้เพิ่มขึ้น มีความรู้ชัดในลักษณะของสภาพธรรมโดยไม่ใช่ตัวตน เพราะว่าเป็นสภาพของนามธรรม หรือเพราะว่าเป็นสภาพของรูปธรรมแต่ละลักษณะ ซึ่งสามารถที่จะรู้ได้ในแต่ละทวาร
ถ้าการที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมไม่เป็นเรื่องละเอียด ไม่เป็นเรื่องลึกซึ้ง ไม่เป็นเรื่องยาก ก็คงจะไม่มีการเห็นผิด เข้าใจผิด หรือรู้ผิด บรรลุผิด ซึ่งการที่จะรู้ผิดเป็นมิจฉัตตญาณ หรือว่าเป็นมิจฉัตตวิมุตติ การหลุดพ้นผิดนั้น ก็เพราะว่าการที่จะรู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริงนั้น ละเอียดมากทีเดียว
เมื่อการที่จะรู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริงเป็นเรื่องละเอียด ผู้ที่ถึงแม้ว่าจะเข้าใจเรื่องการเจริญสติปัฏฐานและมีการอบรมเจริญสติปัฏฐาน แต่ไม่เป็นผู้ละเอียด ก็อาจจะหลงผิดเข้าใจว่า ได้บรรลุวิปัสสนาญาณ ซึ่งข้อความในพระไตรปิฎกได้แสดงถึงเรื่องข้อปฏิบัติผิด การบรรลุผิด ใน อังคุตตรนิกาย ทสกนิบาต ไว้หลายสูตรทีเดียว เช่น ใน สาธุสูตร มิจฉัตตสูตร และ สัมมัตตสูตร ก็เป็นเรื่องที่พระผู้มี- พระภาคได้ทรงแสดงความเป็นผิด ตั้งแต่ความเห็นผิด ตลอดไปจนกระทั่งถึง มิจฉาญาณ และมิจฉาวิมุตติ
เพราะฉะนั้น การอบรมเจริญปัญญาที่จะละกิเลสได้ ต้องเป็นเรื่องที่ประกอบพร้อมกับความรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ไม่ใช่เป็นการเบื่อเหลือเกินโดยไม่รู้อะไร ทางตาที่กำลังปรากฏ ก็ไม่รู้ว่าสภาพที่เห็นไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู เสียงที่ได้ยิน ก็ไม่ใช่สภาพธรรมที่กำลังรู้เสียง ถ้าไม่อบรมเจริญปัญญาที่จะรู้อย่างนี้จริงๆ แต่ว่ามีความปรารถนา มีความต้องการที่จะบรรลุญาณ ก็อาจจะทำให้เกิดการเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ประกอบพร้อมกับการตรึกนึกถึงสภาพธรรมที่เคยได้ยินได้ฟังมา และก็เข้าใจว่าเป็นวิปัสสนาญาณได้ ซึ่งความจริงไม่ใช่ เพราะว่าปัญญาที่เป็นวิปัสสนา-ญาณต้องเกิดพร้อมในขณะที่สติกำลังระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ไม่ใช่ตัวตนที่กำลังรู้แต่ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏในขณะนั้น แต่เป็นปัญญา เป็นสภาพธรรมชนิดหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ตัวตนที่กำลังรู้
ไม่ใช่ว่า ท่านเจริญไป อบรมไป และเข้าใจว่าสภาพธรรมกำลังเกิดดับ อันนี้ปรากฏแล้วก็หมดไป นี่เป็นมโนทวารแล้ว เพราว่าหลับตาแล้วก็ไม่เห็นอะไร แต่นั่นยังไม่ใช่การประจักษ์แจ้งในการแยกขาดออกจากกันของสภาพธรรมทางมโนทวารวิถีจิตจริงๆ
...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ....
ผมเข้าใจตามนี้ครับ อยากให้อาจารย์ช่วยชี้แนะเพิ่มเติมด้วยครับ
๑.การประจักษ์แจ้งการเกิดดับของสภาพธรรมทั้งรูปและนามเป็นปัญญาที่เกิดพร้อมสติที่รู้ ปัญญาและสตินี้เกิดทางมโนทวารวิถี
๒. เมื่อปัญจทวารรู้อารมณ์รูป มโนทวารวิถีก็เกิดรับรู้อารมณ์ต่ออย่างรวดเร็วยังเป็นอารมณ์ปรมัตถ์ เมื่อมีการประจักษ์แจ้งรู้รูปธรรมหรือนามธรรมคือทวิปัญจวิญญาณจิตแต่ละอย่าง ขณะนั้นเป็นการประจักษ์แจ้งคือปัญญาพร้อมสติที่เกิดขึ้นทางมโนทวารไปประจักษ์แจ้งในการแยกขาดออกจากกันของสภาพธรรม
๓.แม้การประจักษ์แจ้งในนามธรรมเช่นโลภะ โทสะที่เกิดทางมโนทวารวิถีที่เกิดต่อจากปัญจทวารวิถี ก็เป็นการประจักษ์แจ้งทางมโนทวารวิถีที่ประจักษ์แจ้งในการแยกขาดออกจากกันของสภาพธรรม
เรียนความคิดเห็นที่ ๒ ครับ
เป็นเรื่องที่ละเอียดที่สุด ซึ่งก็จะต้องค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ ศึกษา สะมความเข้าใจที่มั่นคงขึ้นต่อไป ความเข้าใจในเบื้องต้นตามปริยัติที่ได้ศึกษาก็เป็นเช่นนั้น ครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
หนังสือแนวทางเจริญวิปัสสนาซึ่งเป็นคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ให้ประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ที่สนใจอ่านศึกษาไม่เฉพาะเรื่องสติปัฏฐานและวิปัสสนา แต่ยังรวมไปถึงเรื่องอื่นๆ ในพระพุทธศาสนาด้วย ไม่ว่าจะเป็น พระวินัย พระสูตร พระอภิธรรม ทาน ศีล การอบรมความสงบของจิตและการอบรมเจริญปัญญา ล้วนเป็นปัจจัยให้เกิดสติระลึกในการเจริญกุศลทุกประการ
คำบรรยายใน แนวทางเจริญวิปัสสนาและแม้ในที่ต่างๆ ตลอดมาแสดงถึงปัญญา ความพากเพียรและความเมตตาอย่างยิ่งของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ผมขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพเป็นอย่างยิ่งและขออนุโมทนาครับ
ยินดีในกุศลของคุณทรงศักดิ์ด้วยครับ
ขออนุโมทนาครับ