นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
••• ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย •••
สนทนาธรรมที่
มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
พระสูตร ที่นำมาสนทนาที่มูลนิธิฯ
วันเสาร์ ๒๙ ม.ค. ๒๕๕๔
เวลา ๐๙.๐๐ - ๑๒.๐๐ น.
อุทัยสูตร
ว่าด้วยอุทัยพราหมณ์
...นำสนทนาโดย...
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
[เล่มที่ 25] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่มที่ ๒๕ หน้าที่ ๒๖๕ - ๒๖๙
๒. อุทัยสูตร
ว่าด้วยอุทัยพราหมณ์
[๖๗๗] สาวัตถีนิทาน (เรื่องเกิดที่เมืองสาวัตถี) ครั้งนั้น เวลาเช้า พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงนุ่งแล้ว ทรงถือบาตรและจีวร เสด็จเข้าไปยังที่อยู่ของอุทัยพราหมณ์ ลำดับนั้น อุทัยพราหมณ์ เอาข้าวใส่บาตรจนเต็ม ถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า.
[๖๗๘] แม้ครั้งที่ ๒ ในเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนุ่งแล้วทรงถือบาตรและจีวรเสด็จเข้าไปยังที่อยู่ของอุทัยพราหมณ์ ลำดับนั้น อุทัยพราหมณ์ เอาข้าวใส่บาตรจนเต็มถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า
[๖๗๙] แม้ครั้งที่ ๓ เวลาเช้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนุ่งแล้ว ทรงถือบาตรและจีวรเสด็จเข้าไปยังที่อยู่ของอุทัยพราหมณ์ แม้ในครั้งที่ ๓ อุทัยพราหมณ์ เอาข้าวใส่บาตรจนเต็มถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระสมณโคดมนี้ ติดในรส (ติดใจในอาหาร) จึงเสด็จมาบ่อยๆ
[๖๘๐] พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า กสิกรย่อมหว่านพืชบ่อยๆ ฝนย่อมตกบ่อยๆ ชาวนา ย่อมไถนาบ่อยๆ แว่นแคว้น ย่อมบริบูรณ์ด้วยธัญชาติบ่อยๆ ยาจกย่อมขอบ่อยๆ ทานบดีก็ให้บ่อยๆ ทานบดี ให้บ่อยๆ แล้วก็เข้าถึงสวรรค์ บ่อยๆ ผู้ต้องการน้ำนม ย่อมรีดนมบ่อยๆ ลูกโค ย่อมเข้าหาแม่โคบ่อยๆ บุคคลย่อมลำบากและดิ้นรนบ่อยๆ คนเขลา ย่อมเข้าถึงครรภ์บ่อยๆ สัตว์ย่อมเกิดและ ตายบ่อยๆ บุคคลทั้งหลาย ย่อมนำซากศพ ไปป่าช้าบ่อยๆ ส่วนผู้มีปัญญา ถึงจะเกิดบ่อยๆ ก็เพื่อได้มรรคแล้วไม่เกิดอีก ดังนี้
[๖๘๑] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสอย่างนี้แล้ว อุทัยพราหมณ์ ได้ กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดม ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระโคดม ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก พระองค์ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย ดุจหงายภาชนะที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง ส่องประทีปในที่มืด ด้วยหวังว่าคนมีจักษุจักมองเห็นรูปได้ ข้าแต่ท่านพระโคดม ข้าพระองค์ขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้ากับพระธรรมและพระภิกษุสงฆ์ ว่าเป็นสรณะ ขอพระองค์ทรงจำข้าพระองค์ว่า เป็นอุบาสกผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะจนตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป.
อรรถกถาอุทยสูตรที่ ๒
ในอุทยสูตรที่ ๒ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า โอทเนน ปูเรสิ ความว่า พราหมณ์ เอาข้าวพร้อมด้วยแกงและกับที่เขาจัดไว้เพื่อตน ใส่บาตรจนเต็ม ถวาย. ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูโลกเวลาใกล้รุ่ง ทรงเห็นพราหมณ์นั้น ทรงปฏิบัติพระสรีระแต่เช้าทีเดียวเสด็จเข้าพระคันธกุฎี ทรงปิดประตูแล้วประทับนั่ง ทรงเห็นโภชนะที่เขายกเข้าไปไว้ใกล้พราหมณ์ ลำพังพระองค์เดียวเท่านั้น ทรงคล้องบาตรที่จะงอยบ่า เสด็จออกจากพระคันธกุฎี เสด็จถึงประตูพระนคร ทรงนำบาตรออกแล้วเสด็จเข้าภายในพระนคร ทรงดำเนินไปตามลำดับ ประทับยืนอยู่ที่ซุ้มประตูบ้านพราหมณ์. พราหมณ์เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ได้ถวายโภชนะที่เขาจัดแจงมาเพื่อตน. คำว่า โอทเนนปูเรสิ นี้ ท่านกล่าวหมายเอาโภชนะนั้น .
บทว่า ทุติยมฺปิ ได้แก่แม้ในวันที่ ๒.
บทว่า ตติยมฺปิ ได้แก่ แม้ในวันที่ ๓ ได้ยินว่า ในระหว่างที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปประตูเรือนของพราหมณ์ติดๆ กันตลอด ๓ วัน ไม่มีใครๆ ที่สามารถจะลุกขึ้นรับบาตรได้. มหาชน ได้ยืนแลดูอยู่เหมือนกัน.
บทว่า เอตทโวจ ความว่า พราหมณ์ แม้ถวายจนเต็มบาตรตลอด ๓ วัน ก็มิได้ถวายด้วยศรัทธา พราหมณ์บริโภค โดยมิได้ถวายแม้เพียงภิกษาแก่บรรพชิตที่มายืนอยู่ยังประตูเรือน แต่ได้ถวายเพราะกลัวถูกติเตียนว่า บรรพชิต มายืนถึงประตูเรือนแล้ว แม้เพียงภิกษาก็ไม่ถวาย กินเสียเอง ดังนี้ และเมื่อถวาย ๒ วันแรกถวายแล้ว มิได้พูดอะไรๆ เลย กลับเข้าบ้าน ทั้งพระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ตรัสอะไรๆ เหมือนกัน เสด็จหลีกไป แต่ในวันที่ ๓ พราหมณ์ไม่อาจจะอดกลั้นไว้ได้ จึงได้กล่าวคำนี้ว่า ปกฏฺฐโก ดังนี้เป็นต้น แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ได้เสด็จไปจนถึงครั้งที่ ๓ ก็เพื่อจะทรงให้เขาเปล่งวาจานั้นนั่นเอง
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปกฏฺฐโก ได้แก่ ติดในรส พระศาสดา ทรงสดับคำของพราหมณ์แล้ว ตรัสว่า ท่านพราหมณ์ท่านถวายบิณฑบาตตลอด ๓ วัน ยังย่อท้ออยู่ ในโลกมีธรรม ๑๖ ประการที่ควรทำบ่อยๆ ดังนี้ เพื่อจะทรงแสดงธรรมเหล่านั้น จึงทรงเริ่มพระธรรมเทศนานี้ว่า ปุนปฺปุนํ เจว วปนฺติ พีชํ (กสิกรย่อมหว่านพืชบ่อยๆ ) ดังนี้
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปุนปฺปุนํ เจว วปนฺติ ท่านกล่าวไว้ในสัสสวาระ (คราวทำนา) หนึ่งแล้ว แม้ในสัสสวาระอื่นๆ ชาวนาย่อมหว่าน โดยไม่ท้อแท้เลยว่า เท่านี้พอละ ดังนี้.
บทว่า ปุนปฺปุนํ วสฺสติ ความว่า ฝน มิใช่ตกวันเดียวหยุด ตกอยู่แล้วๆ เล่าๆ ทุกๆ วัน ทุกๆ ปี ชนบทย่อมมั่งคั่งด้วยอาการอย่างนี้ พึงทราบนัยแห่งเนื้อความในทุกๆ บท โดยทำนองนี้. ในบทว่า ยาจกา นี้ พระศาสดาทรงแสดงอ้างถึงพระองค์ เพราะความที่พระองค์ทรงฉลาดในเทศนา
บทว่า ขีรณิกา ได้แก่ ผู้รีดนมโค เพราะน้ำนมเป็นเหตุ จริงอยู่ ชนเหล่านั้น ไม่ปรารถนาน้ำนมคราวเดียวเท่านั้น อธิบาย ว่า ย่อมปรารถนารีดโคนมบ่อยๆ
บทว่า กิลมติ ผนฺทติ จ ความว่า สัตว์นี้ย่อมลำบากและดิ้นรนด้วยอิริยาบถนั้นๆ
บทว่า คพฺภํ ได้แก่ ท้องสัตว์ดิรัจฉานมีสุนัขบ้านและสุนัขจิ้งจอกเป็นต้น.
บทว่า สีวถิกํ ได้แก่ ป่าช้า. อธิบายว่า นำสัตว์ตายแล้วไปในป่าช้านั้นบ่อยๆ .
บทว่า มคฺคญฺจ ลทฺธา อปุนพฺภวาย ความว่า พระนิพพาน ชื่อว่า มรรค เพราะไม่เกิดอีก อธิบายว่า ได้พระนิพพานนั้น
บทว่า เอวํ วุตฺเต ความว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับยืนอยู่ระหว่างถนนนั่นแหละ ทรงแสดงปุนัปปุนธรรม ๑๖ ประการ ได้ตรัสอย่างนี้
บทว่า เอตทโวจ ความว่า ในที่สุดแห่งเทศนา พราหมณ์พร้อมด้วยบุตรภรรยาพวกมิตรและญาติ เลื่อมใส ถวายบังคมแทบพระยุคลบาท ของพระผู้มีพระภาคเจ้า กล่าวคำนี้ว่า อภิกฺกนฺตํ โภ (ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก) เป็นต้น.
จบ อรรถกถาอุทยสูตรที่ ๒
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ข้อความโดยสรุป
อุทัยสูตร
ว่าด้วยอุทัยพราหมณ์
พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จไปยังที่อยู่ของอุทัยพราหมณ์ ในสองวันแรกอุทัยพราหมณ์ ได้ถวายอาหารบิณฑบาตจนเต็มบาตร (ซึ่งการถวายอาหารบิณฑบาตของอุทัยพราหมณ์ นั้น มิได้ถวายด้วยศรัทธา แต่เป็นเพราะกลัวคนอื่นจะนินทา) พอวันที่ ๓ พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ได้เสด็จไปอีก พราหมณ์ก็ได้ถวายอาหารบิณฑบาตเหมือนเช่นเดิม แต่ในครั้งนี้ ได้กราบทูลว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า เห็นจะติดในรส จึงเสด็จมาบ่อยๆ พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสกับอุทัยพราหมณ์ว่า ท่านถวายทานเพียง ๓ วัน ก็เกิดย่อท้อเสียแล้ว ในโลกนี้มีสิ่งที่ควรทำบ่อยๆ เกิดขึ้นบ่อยๆ (ปุนัปปุนธรรม) ๑๖ ประการ คือ กสิกรย่อมหว่านพืชบ่อยๆ ฝนย่อมตกบ่อยๆ เป็นต้น (ที่น่าพิจารณาเป็นอย่างยิ่ง คือ ผู้มีปัญญาถึงจะเกิดบ่อยๆ ก็เพื่อได้มรรคแล้วไม่เกิดอีก)
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว อุทัยพราหมณ์ได้กล่าวสรรเสริญพระภาษิตของพระองค์ และ ได้ขอถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต.
ขอเชิญคลิกอ่านข้อความต่อไปนี้เพิ่มเติมเพื่อความเข้าใจยิ่งขึ้น ครับ
บ่อยๆ
ศึกษาพระธรรมบ่อยๆ เนืองๆ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องยิ่งขึ้น
ไหนๆ ก็ต้องตาย...ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจดีกว่า
การเป็นคนดีควบคู่กับการฟังธรรม
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาคะ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
๒. อุทยสูตร
ว่าด้วยอุทยพราหมณ์
[๖๗๗] เรื่องเกิดขึ้นที่กรุงสาวัตถี ครั้นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงครองอันตรวาสก ถือบาตรและจีวร เสด็จเข้า ไปยังที่อยู่ของอุทยพราหมณ์ ลำดับนั้น อุทยพราหมณ์ตักข้าวใส่บาตรถวายจนเต็ม
[๖๗๘] แม้ครั้งที่ ๒ ในเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงครองอันตรวาสก ถือบาตรและ จีวร เสด็จเข้าไปยังที่อยู่ของอุทยพราหมณ์ ฯลฯ ลำดับนั้น อุทยพราหมณ์ก็ตักข้าว ใส่บาตรถวายจนเต็ม
[๖๗๙] แม้ครั้งที่ ๓ ในเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงครองอันตรวาสก ถือบาตรและ จีวร เสด็จเข้าไปยังที่อยู่ของอุทยพราหมณ์ ฯลฯ ลำดับนั้น อุทยพราหมณ์ก็ตักข้าว ใส่บาตรถวายจนเต็มแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า “พระสมณโคดมนี้ติด ในรสจึงเสด็จมาบ่อยๆ ”
[๖๘๐] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
กสิกรย่อมหว่านพืชบ่อยๆ
ฝนย่อมตกบ่อยๆ ชาวนาย่อมไถนาบ่อยๆ
แว่นแคว้นย่อมสมบูรณ์ด้วยธัญชาติบ่อยๆ
ผู้ขอย่อมขอบ่อยๆ ทานบดีย่อมให้บ่อยๆ
ครั้นให้บ่อยๆ แล้ว ก็เข้าถึงสวรรค์บ่อยๆ
ผู้ต้องการน้ำนมย่อมรีดน้ำนมบ่อยๆ
ลูกโคย่อมเข้าหาแม่โคบ่อยๆ
บุคคลย่อมลำบากและดิ้นรนบ่อยๆ
คนเขลาย่อมเข้าถึงครรภ์บ่อยๆ
สัตว์ย่อมเกิดและตายบ่อยๆ
บุคคลทั้งหลายย่อมนำซากศพไปป่าช้าบ่อยๆ
ส่วนผู้มีปัญญาดุจแผ่นดินย่อมไม่เกิดบ่อยๆ
เพราะได้มรรคแล้วไม่มีภพใหม่อีกต่อไป
[๖๘๑] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว อุทยพราหมณ์ได้กราบทูลพระผู้มี พระภาคดังนี้ว่า “ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ พระภาษิตของพระองค์ชัดเจนไพเราะยิ่งนัก ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ พระภาษิตของพระองค์ชัดเจนไพเราะยิ่งนัก ฯลฯ ขอพระโคดม ผู้เจริญโปรดทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจน ตลอดชีวิต”
อุทยสูตรที่ ๒ จบ
กราบอนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น