[เล่มที่ 73] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 608
๒๑. วงศ์พระสิขีพุทธเจ้าที่ ๒๐
ว่าด้วยพระประวัติของพระสิขีพุทธเจ้า
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 73]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 608
๒๑. วงศ์พระสิขีพุทธเจ้าที่ ๒๐
ว่าด้วยพระประวัติของพระสิขีพุทธเจ้า
[๒๑] ต่อจากสมัยของพระวิปัสสีพุทธเจ้า พระชินสัมพุทธเจ้าพระนามว่า สิขี ผู้สูงสุดแห่งสัตว์สอง เท้า ผู้ไม่มีผู้เสมอ ไม่มีผู้เทียบ.
ทรงย่ำยีกองทัพมาร ทรงบรรลุพระสัมโพธิญาณ อันสูงสุดแล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักรอันเคราะห์ สัตว์ทั้งหลาย.
เมื่อพระสิขีพุทธเจ้าจอมมุนี ทรงประกาศพระธรรมจักร อภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้มีแก่สัตว์แสนโกฏิ.
เมื่อพระผู้ประเสริฐแห่งคณะ สูงสุดในนรชน ทรงแสดงธรรมอื่นอีก อภิสมัยครั้งที่ ๒ ได้มีแก่สัตว์ เก้าหมื่นโกฏิ.
เมื่อพระสุขีพุทธเจ้า ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ใน โลกทั้งเทวโลก อภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มีแก่สัตว์แปด หมื่นโกฏิ.
พระสิขีพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ มีสันนิบาต ประชุมพระสาวกขีณาสพ ผู้ไร้มลทิน มีจิตสงบ คงที่ ๓ ครั้ง.
ประชุมพระสาวกหนึ่งแสน เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๑ ประชุมพระภิกษุแปดหมื่น เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๒.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 609
ประชุมพระภิกษุเจ็ดหมื่น เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๓ ภิกษุสันนิบาตอันโลกธรรมไม่ซึบซาบ เหมือนปทุม เกิดเติบโตในน้ำ อันน้ำไม่ซึบซาบ ฉะนั้น.
สมัยนั้น เราเป็นกษัตริย์นามว่า อรินทมะ เลี้ยงดู พระสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานให้อิ่มหนำสำราญ ด้วยข้าวน้ำ.
เราถวายผ้าอย่างดีเป็นอันมาก ไม่น้อยนับโกฏิ ผืน ได้ถวายยานคือช้างที่ประดับแล้วแด่พระสัมพุทธ- เจ้า.
เราชั่งกัปปิยภัณฑ์ ด้วยประมาณเท่ายานคือช้าง แล้วน้อมถวาย เรายังจิตของเราที่ตั้งมั่นคง ให้เต็ม ด้วยปีติในทานเป็นนิตย์.
พระสิขีพุทธเจ้า ผู้นำเลิศแห่งโลก ได้ทรงพยากรณ์เราว่า สามสิบเอ็ดกัปนับแต่นี้ไป จักเป็นพระ พุทธเจ้า.
พระตถาคต ออกอภิเนษกรมณ์ จากกรุงกบิลพัสดุ์อันน่ารื่นรมย์ ทรงตั้งความเพียร ทำทุกกรกิริยา.
พระตถาคต ประทับนั่ง ณ โคนต้นอชปาลนิโครธ ทรงรับข้าวมธุปายาส ณ ที่นั้นแล้ว เสด็จไป ยังแม่น้ำเนรัญชรา.
พระชินเจ้าพระองค์นั้น เสวยข้าวมธุปายาส ที่ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา เสด็จดำเนินตามทางอันดีที่เขา จัดแต่งไว้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 610
แต่นั้น พระผู้มีพระยศยิ่งใหญ่ ทรงทำประทักษิณโพธิมัณฑสถานอันยอดเยี่ยม จักตรัสรู้ ณ โคน โพธิพฤกษ์ ชื่อต้นอัสสัตถะ.
ท่านผู้นี้ จักมีพระชนนี พระนามว่า พระนาง มายา พระชนกพระนามว่า พระเจ้าสุทโธทนะ ผู้นี้จัก ทรงพระนามว่า โคตมะ.
จักมีพระอัครสาวก ชื่อว่าพระโกลิตะ และ พระอุปติสสะ ผู้ไม่มีอาสวะ ปราศจากราคะ มีจิตสงบ ตั้งมั่น พระพุทธอุปัฏฐากชื่อว่าพระอานันทะจักบำรุง พระชินเจ้าผู้นี้.
จักมีพระอัครสาวิกา ชื่อว่าพระเขมา และพระอุบลวรรณ ผู้ไม่มีอาสวะ ปราศจากราคะ มีจิตสงบ ตั้งมั่น โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ นั้นเรียกว่า ต้นอัสสัตถะ.
จักมีอัครอุปัฏฐาก ชื่อว่าจิตตะ และหัตถกะอาฬ- วกะ มีอัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่านันทมาตา และอุตตรา พระโคดมผู้มีพระยศ มีพระชนมายุ ๑๐๐ ปี.
มนุษย์และเทวดาทั้งหลาย ฟังพระดำรัสของ พระสิขีพุทธเจ้า ผู้ไม่มีผู้เสมอ ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ ก็ ปลาบปลื้มใจว่า ท่านผู้นี้เป็นหน่อพุทธางกูร.
หมื่นโลกธาตุ ทั้งเทวโลก ก็พากันโห่ร้อง ปรบ มือ หัวร่อร่าเริง ประคองอัญชลีนมัสการ กล่าวว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 611
ผิว่า พวกเราพลาดพระศาสนาของพระโลกนาถ พระองค์นี้ไซร้ ในอนาคต พวกเราก็จักอยู่ต่อหน้า ของท่านผู้นี้.
มนุษย์ทั้งหลาย เมื่อข้ามแม่น้ำ พลาดท่าน้ำข้าง หน้า ก็ถือเอาท่าน้ำข้างหลัง ข้ามแม่น้ำใหญ่ได้ฉันใด.
พวกเราทุกคน ผิว่า ผ่านพ้นพระชินพุทธเจ้า พระองค์นี้ไซร้ในอนาคตกาล พวกเราก็จักอยู่ต่อหน้า ของท่านผู้นี้ ฉันนั้นเหมือนกัน.
เราฟังพระดำรัสของพระองค์แล้ว จิตก็ยิ่งเลื่อม ใส จึงอธิษฐานข้อวัตรยิ่งยวดขึ้นไป เพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐ ให้บริบูรณ์.
พระสิขีพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ ทรงมีพระ นครชื่ออรุณวดี พระชนก พระนามว่า พระเจ้าอรุณ พระชนนีพระนามว่า พระนางปภาวดี.
พระองค์ทรงครองฆราวาสวิสัยอยู่เจ็ดพันปี ทรง มีปราสาทชั้นเยี่ยม ๓ หลัง ชื่อว่า สุวัฑฒกะ คิริ และ นารีวาหนะ มีพระสนมกำนัลสองหมื่นสีพันนาง พระ อัครมเหสีพระนามว่า พระนางสัพพกามา พระโอรส พระนามว่า อตุละ.
พระผู้เป็นบุรุษสูงสุด ทรงเห็นนิมิต ๔ เสด็จ ออกอภิเนษกรมณ์ด้วยยาน คือช้าง ทรงบำเพ็ญเพียร ๘ เดือน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 612
พระมหาวีระสุขีพุทธเจ้าผู้นำเลิศแห่งโลก ผู้สงบ ผู้เป็นนระผู้สูงสุด อันท้าวมหาพรหมอาราธนาแล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักร ณ มิคทายวัน.
พระสุขีพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ ทรงมีพระ อัครสาวก ชื่อว่าพระอภิภู และพระสัมภวะ มีพระพุทธ อุปัฏฐาก ชื่อว่า พระเขมังกร.
มีพระอัครสาวิกา ชื่อว่าพระมขิลา และ พระ ปทุมาโพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เรียกว่า ต้นปุณฑรีกะ (มะม่วง).
มีอัครอุปัฏฐาก ชื่อว่าสิริวัฑฒะ และนันทะ มี อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่าจิตตา และ สุจิตตา.
พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น สูง ๗๐ ศอกเช่นเดียว กับรูปปฏิมาทอง มีพระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ.
พระรัศมีวาหนึ่ง แล่นออกจากพระวรกายของ พระองค์ไม่ว่างเว้น พระรัศมีทั้งหลายแล่นออกไปทั้ง ทิศใหญ่ทิศน้อย ๓ โยชน์.
พระชนมายุของพระสิขีพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่ง ใหญ่พระองค์นั้น เจ็ดหมื่นปี พระองค์ทรงมีพระชนม์ ยืนถึงเพียงนั้น จึงยังหมู่ชนเป็นอันมากให้ข้ามโอฆะ. พระองค์ทั้งพระสาวก ยังเมฆฝนคือธรรมให้ตกลงมา ยังสัตว์โลกทั้งเทวโลกให้ชุ่มแล้วให้ถึงความเกษมแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 613
พระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ พรั่งพร้อม ด้วยพระอนุพยัญชนะ ทั้งนั้น ก็อันตรธานไปสิ้น สังขารทั้งปวง ก็ว่างเปล่า แน่แท้.
พระสิขีพุทธเจ้า มุนีผู้ประเสริฐ ดับขันธปริ- นิพพาน ณ พระวิหารอัสสาราม พระสถูปอันประเสริฐ ของพระองค์ ณ พระวิหารนั้น สูง ๓ โยชน์.
จบวงศ์พระสิขีพุทธเจ้าที่ ๒๐
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 614
พรรณนาวงศ์พระสิขีพุทธเจ้าที่ ๒๐
ต่อมาภายหลังสมัยของ พระวิปัสสีพุทธเจ้า เมื่อกัปนั้นอันตรธาน ไปแล้ว ต่อจากนั้น พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ก็ไม่อุบัติขึ้นในโลก ๕๙ กัป มีแต่แสงสว่างที่ปราศจากพระพุทธเจ้า เอกราชของกิเลสมารและเทวปุตตมาร ก็ปราศจากเสี้ยนหนาม ในสามสิบเอ็ดกัปนับแต่กัปนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดขึ้นแล้วในโลกสองพระองค์คือ พระสิขี ผู้ดุจไฟอันสุมด้วยไม้แก่นแห้งสนิท ราดด้วยเนยใสมากๆ ไม่มีควัน และ พระเวสสภู. บรรดาพระพุทธเจ้าสอง พระองค์นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าสิขี ทรงบำเพ็ญบารมีทั้งหลายแล้วบังเกิดใน สวรรค์ชั้นดุสิต จุติจากนั้น ก็ทรงถือปฏิสนธิ ในพระครรภ์ของ พระนาง ปภาวดีเทวี ผู้มีพระรัศมีงามดังรูปทองสีแดง อัครมเหสีของ พระเจ้าอรุณ ผู้มีพระคุณอย่างยิ่ง กรุงอรุณวดี ซึ่งมีแต่ทำกุศล ล่วง ๑๐ เดือน ก็ประสูติจาก พระครรภ์พระชนนี ณ นิสภะราชอุทยาน ส่วนโหรผู้ทำนายนิมิต เมื่อเฉลิม พระนามของพระองค์ ก็เฉลิมพระนามว่า สิขี เพราะพระยอดกรอบพระพักตร์ พุ่งสูงขึ้นดุจยอดพระอุณหิส พระองค์ทรงครองฆราวาสวิสัยอยู่เจ็ดพันปี ทรง มีปราสาท ๓ หลังชื่อว่า๑ สุจันทกสิริ คิริยสะ และ นาริวสภะ ปรากฏ มีพระสนมกำนัลสองหมื่นสี่พัน มีพระนางสัพพกามาเทวี เป็นประมุข.
เมื่อพระโอรสพระนามว่า อตุละ ผู้ไม่มีผู้ชั่ง ผู้เทียบได้ด้วยหมู่แห่ง พระคุณของพระนางสัพพกามาเทวีทรงสมภพ พระมหาบุรุษนั้น ก็ทรงเห็นนิมิต ๔ ขึ้นทรงข้างต้น เสด็จออกมหาภิเนษกรณ์ด้วยยานคือช้าง ทรงผนวช บุรุษ หนึ่งแสนสามหมื่นเจ็ดพัน พากันบวชตามเสด็จ. พระองค์อันบรรพชิตเหล่า นั้นแวดล้อมแล้ว ทรงบำเพ็ญเพียร ๘ เดือน ในวันวิสาขบูรณมี ทรงละการ คลุกคลีด้วยหมู่ เสวยข้าวมธุปายาส ที่ ธิดาปิยเศรษฐี สุทัสสนนิคม ถวาย
๑. บาลีว่า สุวัฑฒกะ, คิริ, นารีวาหนะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 615
แล้วยับยั้งพักกลางวัน ณ ป่าตะเคียนหนุ่ม ทรงรับหญ้าคา ๘ กำ ที่ดาบสชื่อ อโนมทัสสีถวาย เสด็จเข้าไปยังโพธิพฤกษ์ ชื่อต้น บุณฑรีกะ คือมะม่วงป่า. เขาว่า แม้บุณฑรีกโพธิพฤกษ์นั้น ก็มีขนาดเท่าต้นแคฝอย วันนั้นนั่นเอง มะม่วงป่าต้นนั้น สูงชะลูดลำต้นขนาด ๕๐ ศอก แม้กิ่งก็ขนาด ๕๐ ศอก เหมือนกัน ดารดาษด้วยดอกหอมเป็นทิพย์ มิใช่ดารดาษด้วยดอกอย่างเดียว เท่านั้น ยังดารดาษแม้ด้วยผลทั้งหลาย. มะม่วงต้นนั้น แถบหนึ่งมีผลอ่อน แถบ หนึ่ง มีผลปานกลาง แถบหนึ่ง มีผลห่าม แถบหนึ่ง มีผลมีรสดี พรั่งพร้อม ด้วยสีกลิ่นและรส เหมือนทิพยโอชาที่เทวดาใส่ไว้ ห้อยย้อยแด่แถบนั้นๆ ต้น ไม้ดอกก็ประดับด้วยดอก ต้นไม้ผล ก็ประดับด้วยผล ในหมื่นจักรวาลเหมือน อย่างมะม่วงต้นนั้น.
พระองค์ทรงลาดสันถัตหญ้ากว้าง ๒๔ ศอก ประทับนั่งขัดสมาธิ อธิษฐานความเพียรมีองค์ ๔ ครั้นประทับอย่างนั้นแล้ว ก็ทรงกำจัดกอง กำลังมารพร้อมทั้งตัวมารซึ่งกว้างถึง ๓๖ โยชน์ ทรงบรรลุพระสัมโพธิญาณ ทรงเปล่งพระอุทานว่า อเนกชาติสํสารํฯ เปฯ ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา ดังนี้ ทรงยับยั้งใกล้ๆ โพธิพฤกษ์นั่นแล ๗ สัปดาห์ ทรงรับอาราธนาของท้าว มหาพรหม ทรงเห็นอุปนิสสัยสมบัติของภิกษุแสนเจ็ดหมื่นที่บวชกับพระองค์ จึงเสด็จไปทางอากาศ ลงที่ มิคาจิระราชอุทยาน ใกล้ กรุงอรุณวดีราช- ธานี ซึ่งมีรั้วกั้นชนิดต่างๆ อันหมู่มุนีเหล่านั้นแวดล้อมแล้ว ทรงประกาศ พระธรรมจักรท่ามกลางหมู่มุนีเหล่านั้น ครั้งนั้น อภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้มีแก่ ภิกษุแสนโกฏิ. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
ต่อจากสมัยของพระวิปัสสีพุทธเจ้า ก็มีพระชิน สัมพุทธเจ้า พระนามว่า สิขี ผู้สูงสุดแห่งสัตว์สองเท้า ไม่มีผู้เสมอ ไม่มีบุคคลเทียบ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 616
พระองค์ทรงย่ำยีกองทัพมาร ทรงบรรลุพระสัมโพธิญาณสุงสุด ทรงประกาศพระธรรมจักรอนุเคราะห์ สัตว์ทั้งหลาย.
เมื่อพระสิขีพุทธเจ้า จอมมุนี ทรงประกาศ พระธรรมจักร อภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้มีแก่สัตว์แสน โกฏิ.
ต่อมาอีก พระสิขีพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมโปรดพระราชโอรสสอง พระองค์คือ พระอภิภูราชโอรสและ พระสัมภวะราชโอรส พร้อมด้วย บริวาร ใกล้กรุงอรุณวดีราชธานี ทรงยังสัตว์เก้าหมื่นโกฏิให้ดื่มอมฤตธรรม. นั้นเป็นอภิสมัยครั้งที่ ๒. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
เมื่อพระสิขีพุทธเจ้า ผู้ประเสริฐสุดแห่งคณะ ผู้ สูงสุดในนรชน ทรงแสดงธรรมอีก อภิสมัยครั้งที่ ๒ ก็ได้มีแก่สัตว์เก้าหมื่นโกฏิ.
ส่วนครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทำยมกปาฏิหาริย์เพื่อหักรานความ เมาและมานะของเดียรถีย์ และเพื่อเปลื้องเครื่องผูกของชนทั้งปวง ใกล้ประตู สุริยวดีนคร ทรงแสดงธรรมโปรด อภิสมัยครั้งที่ ๓ ก็ได้มีแก่สัตว์แปด หมื่นโกฏิ. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
เมื่อพระสิขีพุทธเจ้า ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ ในโลก ทั้งเทวโลก อภิสมัยครั้งที่ ๓ ได้มีแก่สัตว์ แปดหมื่นโกฏิ.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับนั่งท่ามกลางพระอรหันต์หนึ่งแสนที่บวช พร้อมกับพระราชโอรส คือ พระอภิภู และ พระสัมภวะ ทรงยกปาติโมกข์ ขึ้นแสดง. นั้นเป็น สันนิบาตครั้งที่ ๑ ประทับนั่งท่ามกลางภิกษุแปดหมื่น ที่บวชในสมาคมพระญาติ กรุงอรุณวดีทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดง. นั้นเป็น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 617
สันนิบาตครั้งที่ ๒ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดง ท่ามกลาง ภิกษุเจ็ดหมื่นที่บวชในสมัยทรงฝึกพระยาช้างชื่อ ธนบาลกะในธนัศชัยนคร. นั้นเป็น สันนิบาตครั้งที่ ๓. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
แม้พระสิขีพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ ก็ทรงมี สันนิบาต ประชุมพระสาวกขีณาสพ ผู้ไร้มลทิน มี จิตสงบ คงที่ ๓ ครั้ง.
ประชุมภิกษุหนึ่งแสน เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๓ ประชุมภิกษุแปดหมื่น เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๒
ประชุมภิกษุเจ็ดหมื่น เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๓ ภิกษุสันนิบาต อันโลกธรรมไม่กำซาบแล้ว เหมือน ปทุมเกิดเติบโตในน้ำ น้ำก็ไม่กำขาบ ฉะนั้น.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนุปลิตฺโต ปทุมํว ความว่า ภิกษุ สันนิบาตแม้นั้น แม้เกิดในโลก โลกธรรมก็ซึมกำซาบไม่ได้เหมือนปทุมเกิด ในน้ำเติบโตในน้ำนั่นแล น้ำก็ซึมซาบไม่ได้ ฉะนั้น.
ได้ยินว่า ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ของเรา เป็นพระราชาพระนามว่า อรินทมะ ใน ปริภุตตนคร ไม่ทรงขัดข้องในที่ไหนๆ เมื่อพระสิขีศาสดา เสด็จถึงปริภุตตนคร พระราชาพร้อมทั้งราชบริพาร เสด็จออกไปรับเสด็จ มีพระหฤทัย พระเนตร และ พระโสตอันความเลื่อมใสให้เจริญแล้ว พร้อมราช บริพาร ถวายบังคมด้วยพระเศียร ที่พระยุคลบงกชบาทไม่มีมลทินของพระ ทศพล นิมนต์พระทศพล ถวายมหาทาน อันเหมาะสมแก่พระอิสริยะ สกุล สมบัติและศรัทธา ๗ วัน โปรดให้เปิดประตูคลังผ้า ถวายผ้ามีค่ามากแด่พระภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ถวายช้างต้นที่ป้องกันข้าศึกได้เหมือน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 618
ช้างเอราวัณ ซึ่งพรั่งพร้อมด้วยกำลังรูปลักษณะและฝีเท้า ประดับด้วยข่ายทอง และมาลัย งามระยับด้วยพัดจามรคู่งาสวมปลอกทองใหม่งาม มีหูใหญ่และอ่อน หน้างามระยับด้วยรอยดวงจันทร์ และถวายกัปปิยะภัณฑ์ มีขนาดเท่าช้างนั่นแหละ พระศาสดาแม้พระองค์นั้น ก็ทรงพยากรณ์ พระโพธิสัตว์นั้นว่า สามสิบเอ็ดกัป นับแต่กัปนี้ไป ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้า. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
สมัยนั้น เราเป็นกษัตริย์นามว่า อรินทมะ เลี้ยง ดูพระสงฆ์มีพระสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน ให้อิ่มหนำ สำราญ.
เราถวายผ้าอย่างดีเป็นอันมาก ไม่น้อยนับโกฏิ ผืน ถวายยานคือช้างที่ประดับแล้ว แด่พระสัมพุทธ - เจ้า.
เราชั่งกัปปิยภัณฑ์มีประมาณเท่ายานคือช้าง ยัง จิตของเราอันมั่นคง ให้เต็มด้วยปีติในทานเป็นนิตย์.
พระสิขีพุทธเจ้า ผู้นำเลิศแห่งโลก แม้พระองค์ นั้น ก็ทรงพยากรณ์เราว่า สามสิบเอ็ดกัปนับแต่กัปนี้ ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้า.
พระตถาคตออกอภิเนษกรมณ์ จากกรุงกบิลพัสดุ์ อันน่ารื่นรมย์ ฯลฯ จักอยู่ต่อหน้าของท่านผู้นี้.
เราฟังพระดำรัสของพระองค์แล้ว ก็ยิ่งมีจิต เลื่อมใส จึงอธิษฐานข้อวัตรยิ่งยวดขึ้นไปเพื่อบำเพ็ญ บารมี ๑๐ ให้บริบูรณ์.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นิมฺนินิตฺวา ได้แก่ ชั่งเท่าขนาดช้าง เชือกนั้น. บทว่า กปฺปิยํ ได้แก่ กัปปิยภัณฑ์. สิ่งที่ควรรับสำหรับภิกษุทั้ง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 619
หลาย ชื่อว่ากัปปิยภัณฑ์. บทว่า ปูรยึ มานสํ มยฺหํ ความว่า ยังจิตของ เราให้เต็มด้วยปีติในทาน ทำให้สามารถเกิดความร่าเริงแก่เรา. บทว่า นิจฺจํ ทฬฺหมุปฏฺิตํ ความว่า จิตอันตั้งมั่นคงโดยทานเจตนาว่าจะให้ทานเป็น นิตย์.
พระผู้มีพระภาคเจ้าองค์นั้น ทรงมีพระนครชื่อว่า อรุณวดี พระชนก พระนามว่า พระเจ้าอรุณวา พระชนนีพระนามว่า พระนางปภาวดี คู่ พระอัครสาวก ชื่อว่า พระอภิภู และ พระสัมภวะ พระพุทธอุปัฏฐาก ชื่อว่า พระเขมังกร คู่พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระสขิลา และ พระปทุมา โพธิ- พฤกษ์ชื่อว่า ต้นปุณฑรีกะ คือ มะม่วง พระสรีระสูง ๗๐ ศอก พระรัศมี แห่งสรีระแผ่ไป ๓ โยชน์เป็นนิตย์ พระชนมายุเจ็ดหมื่นปี พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนางสัพพกามา พระโอรสพระนามว่า อตุละ ออก อภิเนษกรณ์ด้วยานคือช้าง. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
พระสุขีพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ ทรงมีพระ นครชื่อ อรุณวดี พระชนก พระนามว่า พระเจ้าอรุณ พระชนนี พระนามว่า พระนางปภาวดี.
พระองค์ทรงครองฆราวาสวิสัยอยู่แสนปี ทรงมี ปราสาทชั้นเยี่ยม ๓ หลัง ชื่อว่า สุวัฑฒกะ คิริและ นารีวาหนะ
มีพระสนมกำนัลสองหมื่นสี่พันนาง ล้วนประดับ ประดางดงาม มีพระอัครมเหสีพระนามว่า พระนาง สัพพกามา พระโอรสพระนามว่า อตุละ.
พระผู้สูงสุดในบุรุษ ทรงเห็นนิมิต ๔ เสด็จ ออกอภิเนษกรมณ์ด้วยยานคือช้าง.
๑. บาลีเป็นอรุณ ๒. บาลีเป็นมขิลา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 620
พระมหาวีระ สิขี ผู้นำเลิศแห่งโลก สูงสุดใน นรชน อันท้าวมหาพรหมอาราธนาแล้ว ทรงประกาศ พระธรรมจักร ณ มิคทายวัน
พระสิขีพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ มีพระอัครสาวกชื่อว่าพระอภิภูและพระสัมภวะ มีพระพุทธอุปัฏ- ฐาก ชื่อว่าพระเขมังกร.
มีพระอัครสาวิกา ชื่อว่าพระสขิลา และพระปทุมา โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เรียก ต้นปุณฑรีกะ.
มีอัครอุปัฏฐากชื่อว่า สิริวัฑฒะ และนันทะ มี อัครอุปัฏฐายิกาชื่อว่า จิตตา และสุจิตตา.
พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นสูง ๗๐ ศอก เสมือนรูป ปฏิมาทอง มีมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ.
พระรัศมีวาหนึ่ง แล่นออกจากพระวรกายของ พระองค์ ทั้งกลางวันกลางคืนไม่ว่างเว้น พระรัศมีทั้ง หลาย แล่นไปทั้งทิศใหญ่ทิศน้อย ๓ โยชน์.
พระชนมายุของพระสิขีพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่ง ใหญ่เจ็ดหมื่นปี พระองค์มีพระชนม์ยืนถึงเพียงนั้น ทรงยังหมู่ชนเป็นอันมากให้ข้ามโอฆะ.
พระองค์ทั้งพระสาวก ทรงยังเมฆคือธรรมให้ ตกลง ยังโลกทั้งเทวโลกให้ชุ่มชื่น ให้ถึงถิ่นอันเกษม แล้วก็ดับขันธปรินิพพาน.
พระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ พรั่งพร้อม ด้วยพระอนุพยัญชนะทั้งนั้นก็อันตรธานไปสิ้น สังขาร ทั้งปวง ก็ว่างเปล่า แน่แท้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 621
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปุณฺฑรีโก ได้แก่ ต้นมะม่วง. บทว่า ตีณิ โยชนโส ปภา ความว่า พระรัศมีทั้งหลายแล่นไป ๓ โยชน์. บทว่า ธมฺมเมฆํ ได้แก่ ฝนคือธรรม. เมฆคือพระพุทธเจ้า ผู้ยังฝนคือธรรมให้ ตกลงมา. บทว่า เตมยิตฺวา ให้ชุ่ม อธิบายว่า รด ด้วยน้ำคือธรรมกถา. บทว่า เทวเก ได้แก่ ยังสัตว์โลกทั้งเทวโลก. บทว่า เขมนฺตํ ได้แก่ ถิ่นอันเกษม คือพระนิพพาน. บทว่า อนุพฺยญฺชนสมฺปนฺนํ ความว่า พระ สรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้า ประดับด้วยพระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ พรั่งพร้อมด้วยพระอนุพยัญชนะ ๘๐ มีพระนขาแดง พระนาสิกโด่ง และ พระอังคุลีกลมเป็นต้น. ได้ยินว่า พระสิขีสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จดับขันธ- ปรินิพพาน ณ พระวิหารอัสสาราม สีลวตีนคร.
สิขีว โลเก ตปสา ชลิตฺวา
สิขีว เมฆาคมเน นทิตฺวา
สิขีว มเหสินฺธนวิปฺปหีโน
สิขีว สนฺตึ สุคโต คโต โส.
พระสิขีพุทธเจ้า ทรงรุ่งโรจน์ในโลกเหมือนดวง ไฟ ทรงบันลือในนภากาศเหมือนนกยูง.
พระสิขีพุทธเจ้าทรงละพระมเหสี และทรัพย์ สมบัติ พระองค์ถึงความสงบ เสด็จไปดีแล้วเหมือนไฟ.
ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าสิขี มีพระบรมสารีริกธาตุ เป็นแท่ง เดียว จึงไม่กระจัดกระจายไป. แต่มนุษย์ชาวชมพูทวีป ช่วยกันสร้างพระสถูป สำเร็จด้วยรัตนะ ๗ งามเสมือนภูเขาหิมะ สูง ๓ โยชน์. คำที่เหลือในคาถา ทั้งหลายทุกแห่ง ชัดแล้วทั้งนั้นแล.
จบพรรณนาวงศ์พระสิขีพุทธเจ้า