ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ข้อความบางตอนจาก
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้าที่ 730
๔. โอกขาสูตร
ว่าด้วยการให้ทาน
[๖๖๗] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อราม
ของท่านอนาถบิณฑิตเศรษฐี กรุงสาวัตถี... พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดพึงให้ทานประมาณ ๑๐๐ หม้อใหญ่ในเวลาเช้า
ผู้ใดพึงให้ทานประมาณ ๑๐๐ หม้อใหญ่ในเวลาเที่ยง
ผู้ใดพึงให้ทานประมาณ ๑๐๐ หม้อใหญ่ในเวลาเย็น
ผู้ใดพึงเจริญเมตตาจิตในเวลาเช้า
โดยที่สุดแม้เพียงชั่วการหยดน้ำนมแห่งแม่โค
หรือผู้ใดพึงเจริญเมตตาจิตในเวลาเที่ยง
โดยที่สุดแม้เพียงชั่วการหยดน้ำนมห่งแม่โค หรือ
ผู้ใดพึงเจริญเมตตาจิตในเวลาเย็น
โดยที่สุดแม้เพียงชั่วการหยดน้ำนมห่งแม่โค
การเจริญเมตตาจิตนี้มีผลมากกว่าทานที่บุคคลให้แล้ว ๓ ครั้ง
ในวันหนึ่งนั้น
เพราะเหตุดังนี้นั้น เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า
เราจักเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ กระทำให้มาก กระทำให้เป็นประดุจยาน
กระทำให้เป็นที่ตั้งอาศัย ให้มั่นคง สั่งสม ปรารภด้วยดี
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แหละ.
จบโอกขาสูตรที่ ๔
อรรถกถาโอกขาสูตรที่ ๔
ในโอกขาสูตรที่ ๔ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า โอกฺขาสตํ ได้แก่ หม้อปากกว้าง ๑๐๐ หม้อ. บทว่า ทานํ
ทเทยฺย ความว่า พึงให้ทานหม้อใหญ่เต็มด้วยโภชนะประณีต ๑๐๐ หม้อ.
บาลีว่า อุกฺกาสตํ ดังนี้ก็มี. ความของบาลีนั้นว่า ประทีปด้าม ๑๐๐ ดวง
อธิบายว่า พึงถวายทานเต็มด้วยรัตนะ ๗ ตลอดสถานที่ร้อยเท่าจากสถานที่
ที่แสงสว่างของประทีปดวงหนึ่งแผ่ไปถึง. บทว่า คทฺทูหนมตฺตํ ได้แก่
เพียงการหยดน้ำนมแห่งแม่โค อธิบายว่า เพียงการบีบหัวนมแม่โคครั้งเดียว
. อีกอย่างหนึ่ง อธิบายว่า
เพียงสละกลิ่น คือเพียงใช้ ๒ นิ้วจับก้อนของหอมสูดดมครั้งเดียว
. ก็ตลอดกาลแม้เพียงนี้ ผู้ใดสามารถเจริญเมตตาจิต
แผ่ประโยชน์เกื้อกูลไปในสรรพสัตว์ในโลกธาตุทั้ง ๔ ซึ่งหาประมาณมิได้
โดยกำหนดเอาห้องบริเวณและอุปจารวิหาร หรือโดยกำหนดเอาจักรวาล
การเจริญเมตตาจิตของผู้นั้นนี้มีผลมากกว่านั้น
คือกว่าทานที่เขาให้วันละ ๓ ครั้ง.
จบอรรถกถาโอกขาสูตรที่ ๔
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กุศลที่ไม่ต้องมีแม้แต้สิ่งของ แต่ จิตใจที่หวังดี และ คิดช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เป็น
มิตรกันแม้ด้วยใจ ขณะใดที่มีเมตตาจิต ขณะนั้น ก็เป็นกุศลจิต ขณะนั้น แม้ไม่ได้ให้
สิ่งที่เป็นวัตถุ แต่ ให้ความเป็นมิตรกับบุคคลรอบข้าง กับ สัตว์อื่น ซึ่งมีผล มีอานิสงส์
มากกว่า ทานที่ให้ทั้งวัน เพราะ แม้ให้ทาน ก็เป็นเพียงการเสียสละวัตถุภายนอก แต่
การมีเมตตาจิต สละ ความเห็นแก่ตัว ด้วยการเห็นแก่บุคคลอื่นในขณะนั้น ครับ
ขออนุโมทนาคุณหมอ และ ทุกท่าน มาณ ที่นี้ ครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณครับ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาคุณหมอครับ
ขอบพระคุณและอนุโมทนาคุณผเดิม คุณผู้ร่วมเดินทาง และ ทุกท่านครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมตตา เป็นสภาพธรรมที่เป็นประโยชน์ในที่ทุกสถาน การที่จะมีเมตตา มีได้ทุก
ขณะเลยในขณะที่ไม่รู้สึกโกรธ หรือว่าไม่รู้สึกขุ่นเคืองใจ เพราะฉะนั้น วันหนึ่งๆ
ที่จะรู้ว่าตัวเองมีเมตตาเพิ่มขึ้นหรือไม่ ก็จะสังเกตได้ว่า ขณะใดที่โกรธ ขณะนั้นไม่มี
เมตตา ขณะใดที่ขุ่นเคืองใจ แม้เพียงเล็กน้อย ขณะนั้นก็ไม่มีเมตตาต่อผู้อื่นแล้ว
การที่จิตใจแต่ละบุคคล มีความรู้สึกเป็นเพื่อน เป็นมิตรกับผู้อื่น ทั้งต่อหน้าและ
ลับหลัง นี่คือ ความเป็นผู้มีเมตตา ใครก็ตามที่คิดจะเจริญเมตตาจริงๆ นั้น ไม่ยาก
เลย คือไม่ต้องท่องเมตตา เพราะเมตตา ไม่ใช่เรื่องท่อง แต่เป็นธรรมที่ควรอบรมให้
มีขึ้น โดยการช่วยเหลือคนอื่น มีความเป็นมิตร มีความเป็นเพื่อนกับคนอื่น แล้ว
ก็สังเกตจิตใจของตนเองเวลาที่เกิดความขุ่นเคืองใจในบุคคลใด ก็แสดงว่าขาด
เมตตาต่อบุคคลนั้นแล้ว เพราะฉะนั้น จึงแสดงให้เห็นตามความเป็นจริงว่า ประโยชน์
ของการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม คือ การน้อมประพฤติปฏิบัติตาม ด้วยความจริงใจ
เพื่อขัดเกลากิเลสของตนเองเป็นสำคัญ ครับ.
...ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณหมอ และทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณและอนุโมทนาคุณคำปั่นมากครับ
การที่จะอบรมเจริญเมตตาต้อง มีความพอใจที่จะเจริญเมตตา
พร้อมกับมีความเข้าใจเรื่องการเจริญเมตตาอย่างดีด้วย
ข้อความในอรรถคถา มีว่า
การเจริญขึ้นของเมตตานั้นเรี่มด้วย
"กัตตุกัมมะยะตา ฉันทะ"
คือความพอใจที่จะอบรมเจริญ เมตตา
นี่เป็นขั้นต้นครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ