ตัณหาละตัณหา
โดย kusala  14 มี.ค. 2550
หัวข้อหมายเลข 3055

ได้อ่านข้อความจากกระทู้ 2338 พบข้อความ ..

"อยากจะละความอยาก" ประโยคนี้คล้ายๆ กับที่พระอานนท์ท่านเคยสอนให้ใช้ตัณหาละตัณหา (ขออภัยที่จำไม่ได้ว่าเป็นสูตรใด) เช่น ใช้ความอยากบรรลุมรรคผล ละอกุศล เป็นต้น อยากให้ท่านช่วยตรวจสอบว่ามีที่มาจากพระไตรปิฎกหรือไม่ และหมายความว่าอย่างไร ที่ว่า .. ตัณหาละตัณหา เป็นไปได้อย่างไร



ความคิดเห็น 1    โดย study  วันที่ 14 มี.ค. 2550

คำกล่าวที่อ้างถึงมีในพระไตรปิฎกจริง คือ มาจาก ภิกขุนีสูตร แต่ควรเข้าใจตามความเป็นจริงว่าอกุศลจะละอกุศลไม่ได้ คือถ้าเพียงมีตัณหาอยากบรรลุมรรคผล ไม่สามารถบรรลุได้ด้วยความอยาก แต่ผู้ที่ยังละตัณหาไม่ได้ รู้ตัณหาที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริงด้วยปัญญา ปัญญาย่อมละตัณหาได้ และต้องเป็นปัญญาขั้นอรหัตตมรรคจึงละตัณหาได้เป็นสมุทเฉท


ความคิดเห็น 2    โดย study  วันที่ 14 มี.ค. 2550

เชิญคลิกอ่าน อาศัยตัณหาละตัณหา [ภิกขุนีสูตร]


ความคิดเห็น 3    โดย wannee.s  วันที่ 14 มี.ค. 2550

ขณะที่ตัณหาเกิดสติปัฏฐานเกิดระลึกรู้ลักษณะของโลภะว่าเป็นนามธรรมขนิดหนึ่งซึ่งเกิดแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้น อาศัยตัณหานั้นแหละที่ปัญญารู้แล้วละความไม่รู้ว่า ตัณหาคือ นามธรรมเท่านั้น


ความคิดเห็น 4    โดย devout  วันที่ 14 มี.ค. 2550

พระธรรมเป็นคำสอนของผู้ที่มีปัญญามาก การจะเข้าใจพระธรรมจึงต้องอาศัยการไตร่ตรองและพิจารณาโดยละเอียดรอบคอบ คือต้องเป็นผู้ที่มีความเข้าใจที่สมบูรณ์พร้อมทั้งอรรถและพยัญชนะ การที่ท่านกล่าวว่า "เธอพึงอาศัยตัณหาละตัณหา" ถ้าไม่พิจารณาให้ดี ก็คิดว่าตัณหานั้นละตัณหาได้ แต่ตามความเป็นจริงแล้ว สภาพธรรมอะไรที่ขัดเกลาอกุศล? ถ้าไม่ใช่กุศล โดยเฉพาะกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา เพราะความปรารถนาที่จะละอกุศลจึงเป็นเหตุให้เจริญกุศล แต่ขณะที่ละอกุศล จริงๆ นั้น จิตเป็นกุศลค่ะ ไม่ปะปนกันระหว่างกุศลจิตกับอกุศลจิต ที่เกิดดับสลับกันไปอย่างรวดเร็วมาก และโลภะนั้นจะดับได้เป็นสมุจเฉทก็ด้วยอรหัตตมรรคเท่านั้น พระเสขะบุคคลยังมีโลภะอยู่ค่ะ ท่านย่อมมีความยินดีพอใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความปรารถนาในการบรรลุคุณธรรมขั้นที่สูงยิ่งขึ้นไป


ความคิดเห็น 6    โดย TSP  วันที่ 14 มี.ค. 2550

ธรรมะทุกอย่างเป็นอนัตตา แม้แต่ตัณหาก็เป็นอนัตตา เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไปการเกิดดับของจิตเป็นไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่เป็นโลภะก็เป็นอกุศล คนละขณะกับที่เป็นกุศลคนละขณะกัน ไม่ปะปนกันเลย ขณะที่ธรรมะปรากฏ สติสามารถระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมได้เลย ซึ่งเป็นขณะปัจจุบันเท่านั้น ขณะที่คิดก็เป็นลักษณะสภาพธรรมชนิดหนึ่ง ซึ่งในวันหนึ่งๆ นั้นเราคิดไม่หยุดเลย ก็เป็นแต่เพียงลักษณะที่คิด เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ไม่ใช่ สัตว์ บุคคล ตัวตน ใดๆ ทั้งสิ้นเลย ขณะที่เห็นก็ไม่ได้คิดแล้ว แต่เห็นแล้วเราจำมาคิด ขณะที่ได้ยินก็ไม่ได้คิด แต่ได้ยินแล้วจำมาคิด เป็นเรื่องราวมากมายทั้งวันจนเสมือนว่า ในวันหนึ่งๆ เราคิดไม่รู้จบ


ความคิดเห็น 8    โดย จิต89หรือ121  วันที่ 15 มี.ค. 2550


ความคิดเห็น 9    โดย yu_da2554hotmail  วันที่ 30 ก.ย. 2567

ยินดีในกุศลจิตค่ะ