ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๗๑
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง เป็นธรรมทั้งหมด และพระธรรมที่ทรงแสดงจากการตรัสรู้ จึงใช้คำว่าพระธรรม เพราะว่ากล่าวถึงสิ่งที่มีจริงให้คนอื่นได้เข้าใจ เพราะฉะนั้น ฟังธรรม ก็คือ ฟังสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ให้เข้าใจถูกต้องว่าเป็นธรรมซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเป็นธรรมดาและทั้งหมดไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง
~ ประโยชน์ของการฟังพระธรรมมีมากทีเดียว ในพระไตรปิฎกทั้ง ๓ ปิฎกนั้น ก็ควรค่าแก่การฟัง ควรค่าแก่การศึกษา ควรค่าแก่การอ่าน การค้นคว้า เพื่อให้ได้รับประโยชน์ให้เต็มที่ เพราะเหตุว่าที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระมหากรุณาแสดงพระธรรมถึง ๔๕ พรรษา ก็เพื่ออนุเคราะห์ให้ผู้ฟังได้เข้าใจสภาพธรรมชัดเจนถูกต้องตามความเป็นจริง เพราะเหตุว่าถ้าพระองค์ไม่ทรงแสดงไว้โดยละเอียดแล้ว ก็อาจจะทำให้เข้าใจผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปได้
~ กุศลจิตเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะหนึ่ง เป็นอนัตตา เป็นสภาพธรรมที่เป็นปรมัตถธรรม ไม่มีใครบันดาลให้นามธรรมคือกุศลจิตเกิดได้ เพราะถ้าบันดาลได้ก็มีแต่กุศล ย่อมไม่มีอกุศล และเวลาที่มีปัจจัยพร้อมที่จะให้กุศลจิตเกิด ก็ไม่มีใครบันดาลที่จะไม่ให้จิตนั้นเป็นกุศลได้
~ ถ้าไม่มีศรัทธาจะให้ทานไหม? ไม่มีศรัทธาจะรักษาศีลไหม? ไม่มีศรัทธาจะฟังพระธรรมไหม? ไม่มีศรัทธาจะอบรมเจริญปัญญาจนกระทั่งสามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมไหม? เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า ศรัทธาเป็นสภาพธรรมที่นำมาซึ่งกุศลธรรมอื่นๆ
~ เวลาที่โลภะเกิด มีความพอใจ ไม่ว่าจะเป็นความพอใจในสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม จะไม่สละสิ่งนั้น ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย จะเห็นได้ว่าวันหนึ่งๆ นี้ ช่างสละน้อยจริงๆ และที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะว่าขณะที่โลภะเกิดขึ้นขณะใด ขณะนั้นมีการไม่สละรอบ ทุกอย่างสละไม่ได้ในขณะที่พอใจ
~ ชาวพุทธมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นแบบอย่าง ในสมัยของพระองค์ก็มีผู้ที่กล่าวติเตียนพระองค์หลายคน แต่ไม่เดือดร้อนเลยเพราะสงบอย่างยิ่งจากอกุศล และก็มีความหวังดีเป็นยอดกัลยาณมิตร ไม่มีใครมีความหวังดีเป็นมิตรเสมอกับพระองค์ได้ เพราะให้ทุกอย่างที่จะเป็นประโยชน์กับคนฟัง
~ ความเสียหายของคนอื่น เขาอยากจะให้คนอื่นรู้ไหม? ไม่อยาก น่าเห็นใจไหม เมื่อเห็นใจในการกระทำที่พลั้งพลาด หรือในความผิดของบุคคลนั้น ก็ไม่ควรที่จะให้ล่วงรู้ถึงบุคคลอื่น แต่ควรที่จะช่วยให้เขาเห็นว่า ควรที่จะประพฤติในสิ่งที่ถูกในสิ่งที่ควรอย่างไร และไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงความเสียหายของบุคคลนั้นให้คนอื่นรู้ ถ้าเป็นอย่างนี้ ขณะนั้นเป็นความเมตตา เป็นความกรุณา เป็นความเห็นใจ เป็นกุศลจิต
~ ทำดีทำไม? ก็ต้องเป็นปัญญาที่รู้ว่าเพราะความไม่ดีไม่สามารถจะเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏได้ ความไม่ดีนี้เราใช้คำว่าอกุศลธรรม (ธรรมฝ่ายไม่ดี) โลภะความติดข้อง โทสะความขุ่นเคือง โมหะความไม่รู้ เพราะฉะนั้น ทั้ง ๓ อย่างและอกุศลอื่นๆ ไม่ทำให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะทุกครั้งที่เป็นความไม่ดีต้องมีอวิชชาความไม่รู้อยู่ด้วย
~ เสียเวลาไหม โกรธอะไร? เขาไม่เห็นเดือดร้อนเลย คนที่เราโกรธไม่เดือดร้อน แต่ผู้โกรธนั่นแหละเดือดร้อน เพราะฉะนั้น อะไรทำให้เดือดร้อน? ไม่มีใครทำให้ใครเดือดร้อนได้นอกจากกิเลสของตนเอง
~ ทั้งหมดตั้งแต่เกิดจนตายไม่ใช่เรา ไม่มีเรา แต่มีธรรมเท่านั้นที่เกิดดับสืบต่อไม่ขาดสายเลย ประโยชน์อยู่ตรงที่เริ่มเข้าใจว่าสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ต้องเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป จึงไม่ใช่ใครสักคน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง เป็นสิ่งที่มีจริง ชั่วขณะที่เกิดขึ้นปรากฏแล้วดับไป
~ แม้แต่ร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าที่เข้าใจว่าเป็นเรา ไม่มีอะไรที่จะเป็นของเราเลย ธรรมเป็นธรรม จิต (สภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เป็นจิต เจตสิก (สภาพที่เกิดประกอบพร้อมกับจิต) เป็นเจตสิก รูปเป็นรูป เราอยู่ที่ไหน?
~ มิตรที่ดี ก็จะให้สิ่งที่ดีต่อกัน เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะได้พบกันวันนี้หรืออีกกี่ครั้งหรือเมื่อไหร่ก็ตาม สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่จะให้ใครได้ ก็คือ ความหวังดีที่จะให้เขาเข้าใจถูก ไม่มีความเข้าใจผิดใดๆ เลย
~ เมตตาไม่เคยนำความเดือดร้อนมาให้เลย เพราะว่าเป็นความบริสุทธิ์จริงๆ ไม่ได้หวังอะไรตอบแทนเลยทั้งสิ้น และความเป็นมิตรความเป็นเพื่อน คิดดู โกรธก็ยังไม่โกรธ เพราะเหตุว่าจะไปโกรธเพื่อนได้อย่างไร ถ้ายังคงเป็นเพื่อนกับเขาจะโกรธเขาหรือ? จะทำร้ายเขาหรือ? ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น ปัญญาก็สามารถที่จะทำให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร และสิ่งที่เป็นอกุศล ปัญญาเห็นแล้วมีหรือที่จะไม่ละ?
~ ปกติแล้ว ปุถุชนมักจะเป็นผู้ที่ตกจากกุศล ใช้คำว่าตกจากกุศล บ่อยๆ เนืองๆ ไม่ใช่เป็นผู้ที่พร้อมด้วยกุศลที่จะเกิดสำหรับผู้ที่เป็นปุถุชน จะเห็นว่าวันหนึ่งๆ ตกไปในทางโลภะ อยากจะได้สิ่งที่ปรากฏทางตาบ้าง เสียงบ้าง กลิ่นบ้าง รสบ้าง โผฏฐัพพะ (สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย) บ้าง เพราะฉะนั้น ปุถุชนจะตกจากกุศลบ่อยเหลือเกิน
~ ถ้าไม่ฟังเพื่อรู้เพื่อละอกุศลก็ไม่มีการที่จะเข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในขณะนี้ได้ เพราะฉะนั้น หวังว่าทุกคนจะเห็นประโยชน์ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเพื่อละสิ่งที่ไม่ดีและไม่เป็นประโยชน์ เพราะฉะนั้น คำของพระองค์ทุกคำประโยชน์สูงสุด คือ สามารถเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ เห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่เข้าใจ ใช่ไหม?
~ ถ้าเป็นผู้ที่เข้าใจเรื่องกรรมและผลของกรรม จะไม่รีรอการทำกุศลทุกประการทุกขณะด้วย จะทำให้เราเจริญทางฝ่ายกุศลยิ่งขึ้น
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๗๐
... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...
แจ้งยิ่ง ขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ
ขอนอบน้อมแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบอนุโมทนากุศลค่ะท่านอาจารย์
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
กราบอนุโมทนากุศลค่ะท่านอาจารย์
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
กราบอนุโมทนาค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ถ้าเป็นผู้ที่เข้าใจเรื่องกรรมและผลของกรรม จะไม่รีรอการทำกุศลทุกประการทุกขณะด้วย จะทำให้เราเจริญทางฝ่ายกุศลยิ่งขึ้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและยินดีในกุศลวิริยะของ อ.คำปั่น ค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ
อนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมพระรัตนตรัย กราบเท้าบูขาคุณท่านอาจารย์ที่นำความจริงมายังผู้ฟัง และยินดีในกุศลจิตของอ.คำปั่นที่รวบรวมปันธรรม-ปัญญ์ธรรมค่ะ