[เล่มที่ 68] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 919
ทัสนวิสุทธิญาณนิทเทส
๔๐. อรรถกถาทัสนวิสุทธิญาณนิทเทส
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 68]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 919
ทัสนวิสุทธิญาณนิทเทส
[๒๐๒] ปัญญาในความสงเคราะห์ธรรมทั้งปวงเป็นหมวดเดียวกัน และการแทงตลอดธรรมต่างกัน และธรรมหมวดเดียวกัน เป็นทัสนวิสุทธิญาณอย่างไร?
คำว่า ธรรมทั้งปวง ได้แก่ ขันธ์ ๕ ฯลฯ โลกุตรธรรม
คำว่า ความสงเคราะห์เป็นหมวดเดียวกัน ความว่า ธรรมทั้งปวงท่านสงเคราะห์เป็นหมวดเดียวกันโดยอาการ ๑๒ คือ โดยสภาพถ่องแท้ ๑ โดยสภาพมิใช่ตัวตน ๑ โดยสภาพจริง ๑ โดยสภาพควรแทงตลอด ๑ โดยสภาพที่ควรรู้ยิ่ง ๑ โดยสภาพที่ควรกำหนดรู้ ๑ โดยสภาพที่เป็นธรรม ๑ โดยสภาพที่เป็นธาตุ ๑ โดยสภาพที่อาจรู้ ๑ โดยสภาพที่ควรทำให้แจ้ง ๑ โดยสภาพที่ควรถูกต้อง ๑ โดยสภาพที่ควรตรัสรู้ ๑ ธรรมทั้งปวงท่านสงเคราะห์เป็นหมวดเดียวกัน โดยอาการ ๑๒ นี้.
คำว่า ความต่างและความเป็นอันเดียวกัน ความว่า กามฉันทะเป็นความต่างๆ เนกขัมมะเป็นอันเดียวกัน ฯลฯ กิเลสทั้งปวงเป็นความต่างๆ อรหัตตมรรคเป็นอันเดียวกัน.
คำว่า ในการแทงตลอด ความว่า พระโยคาวจรย่อมแทงตลอดทุกขสัจ เป็นการแทงตลอดด้วยการกำหนดรู้ แทงตลอดสมุทย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 920
สัจ เป็นการแทงตลอดด้วยการละ แทงตลอดนิโรธสัจ เป็นการแทงตลอดด้วยการทำให้แจ้ง แทงตลอดมรรคสัจ เป็นการแทงตลอดด้วยการเจริญ.
คำว่า ทัสนวิสุทธิ ความว่า ในขณะโสดาปัตติมรรค ทัสนะย่อมหมดจด ในขณะโสดาปัตติผล หมดจดแล้ว ในขณะสกทาคามิมรรค ย่อมหมดจด ในขณะสกทาคามิผล หมดจดแล้ว ในขณะอนาคามิมรรค ย่อมหมดจด ในขณะอนาคามิผล หมดจดแล้ว ในขณะอรหัตตมรรค ย่อมหมดจด ในขณะอรหัตตผล หมดจดแล้ว.
ชื่อว่าญาณ เพราะอรรถว่ารู้ธรรมนั้น ชื่อว่าปัญญา เพราะอรรถว่ารู้ชัด เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ปัญญาในการสงเคราะห์ธรรมทั้งปวงเป็นหมวดเดียวกัน และการแทงตลอดธรรมต่างกัน และธรรมหมวดเดียวกัน เป็นทัสนวิสุทธิญาณ.
๔๐. อรรถกถาทัสนวิสุทธิญาณนิทเทส
[๒๔๒] พึงทราบวินิจฉัยในทัสนวิสุทธิญาณนิทเทส ดังต่อไปนี้
บทว่า สพฺเพ ธมฺมา เอกสงฺคหิตา - ธรรมทั้งปวงท่าน สงเคราะห์เป็นหมวดเดียวกัน ได้แก่ ธรรมที่เป็นสังขตะและอสังขตะ ทั้งหมดท่านสงเคราะห์ คือ กำหนดด้วยหมวดเดียวกัน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 921
บทว่า ตถฏฺเน - โดยสภาพถ่องแท้ คือ โดยสภาพเป็นจริง. อธิบายว่า โดยมีอยู่ตามสภาพของตนๆ.
บทว่า อนตฺตฏฺเน - โดยสภาพมิใช่ตัวตน คือ โดยสภาพเว้นจากตัวตนอันได้แก่ ผู้กระทำและผู้เสวย.
บทว่า สจฺจฏฺเน - โดยสภาพจริง คือ โดยสภาพที่ไม่ผิดจากความจริง. อธิบายว่า โดยความเป็นสภาพของตนไม่เป็นอย่างอื่น.
บทว่า ปฏิเวธฏฺเน - โดยสภาพควรแทงตลอด คือ ควรแทงตลอดด้วยญาณ. ในบทนี้พึงทราบการแทงตลอด โดยความไม่ลุ่มหลง และโดยอารมณ์ด้วยญาณอันเป็นโลกุตระ.
บทว่า อภิชานนฏฺเน - โดยสภาพที่ควรรู้ยิ่ง คือ โดยสภาพที่ควรรู้ยิ่งธรรมนั้นๆ โดยอารมณ์ด้วยญาณอันเป็นโลกิยะ โดยความไม่หลง และโดยอารมณ์ด้วยญาณอันเป็นโลกุตระ. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า สพฺพํ ภิกฺขเุว อภิญฺเญยฺย (๑) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งทั้งปวงควรรู้ยิ่ง.
บทว่า ปริชานนฏฺเน - โดยสภาพที่ควรกำหนดรู้ คือ โดยสภาพที่ควรกำหนดรู้ธรรมทั้งหลายที่รู้ยิ่งแล้วโดยสภาวะด้วยญาณอันเป็นโลกิยะ และโลกุตระโดยนัยที่กล่าวแล้วนั่นแหละ โดยความไม่เที่ยงเป็นต้น และโดยการออกไปเป็นต้น เหมือนที่ตรัสไว้ว่า สพฺพํ ภิกฺขเว ปริญฺเยฺยํ (๒) ดูก่อนภิกษุทั้งปวง สิ่งทั้งปวงควรกำหนดรู้.
๑. สํ. สฬา. ๑๘/๔๙.
๒. สํ. สฬา. ๑๘/๕๐.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 922
บทว่า ธมฺมฏฺเน - โดยสภาพที่เป็นธรรม คือ โดยสภาพที่เป็นธรรมมีการทรงไว้ซึ่งสภาพเป็นต้น.
บทว่า ธาตุฏฺเน - โดยสภาพที่เป็นธาตุ คือ โดยสภาพที่เป็นธาตุมีความไม่มีชีวะเป็นต้น.
บทว่า าตฏฺเน - โดยสภาพที่อาจรู้ คือ โดยสภาพที่อาจรู้ด้วยญาณอันเป็นโลกิยะและโลกุตระ. พึงทราบว่ามีสภาพอาจรู้แม้ในบทนี้เหมือนอย่างที่ท่านกล่าวไว้ว่า ทิฏฺํ - รูปที่เห็น สุตํ - เสียงที่ได้ยิน มุตํ - อารมณ์ ๓ ที่รู้ วิญฺาตํ - ธรรมที่รู้แล้วเป็นรูป โดยอรรถมีสภาพที่อาจเห็นได้เป็นต้น ฉะนั้น.
บทว่า สจฺฉิกิริยฏฺเน - โดยสภาพที่ควรทำให้แจ้ง คือ โดยสภาพที่ควรทำให้ประจักษ์โดยอารมณ์.
บทว่า ผุสนฏฺเน - โดยสภาพที่ควรถูกต้อง ถือ โดยสภาพที่ควรถูกต้องบ่อยๆ โดยอารมณ์ของสภาพที่ทำให้ประจักษ์แล้ว.
บทว่า อภิสมยฏฺเน - โดยสภาพที่ควรตรัสรู้ คือ โดยสภาพที่ควรตรัสรู้ด้วยญาณอันเป็นโลกิยะ. ถึงแม้ท่านกล่าวญาณหนึ่งๆ ว่า ปัญญาในสภาพถ่องแท้เป็นญาณในวิวัฏฏะ คือ นิพพาน จริง. ปัญญาที่ควรรู้ยิ่งเป็นญาณในสภาพที่ควรรู้. ปัญญาที่ควรทำให้แจ้งเป็นญาณในสภาพที่ควรถูกต้อง. อนึ่ง ท่านกล่าวไว้ในอรรถกถาว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 923
สมวาเย ขเณ กาเล สมูเห เหตุทิฏฺิสุ
ปฏิลาเภ ปหาเน จ ปฏิเวเธ จ ทิสฺสติ.
พระโยคาวจรย่อมปรากฏในหมู่ ขณะ กาล ที่ประชุม เหตุ ทิฏฐิ การได้ การละ และในการแทงตลอด.
ในการพรรณนาคาถา ท่านกล่าวอรรถแห่งปฏิเวธ แห่งอภิสมยศัพท์. แต่ถึงดังนั้นในที่นี้พึงทราบสภาพต่างๆ แห่งธรรมเหล่านั้นด้วยอรรถตามที่กล่าวแล้ว. เพราะในอรรถกานั่นแหละท่านกล่าวถึงการตรัสรู้ธรรมด้วยสามารถแห่งญาณอันเป็นโลกิยะ.
บทว่า กามจฺฉนฺโท นานตฺตํ - กามฉันทะเป็นความต่างๆ ความว่า กามฉันทะเป็นสภาพต่างๆ เพราะมีอารมณ์ต่างๆ โดยมีความฟุ้งซ่าน. พึงทราบกิเลสทั้งหมด ด้วยประการฉะนี้.
บทว่า เนกฺขมฺมํ เอกตฺตํ - เนกขัมมะเป็นอันเดียวกัน ความว่า เนกขัมมะมีสภาพเป็นอันเดียวกันโดยมีจิตเป็นเอกกัคตา และโดยไม่มีความฟุ้งซ่านของอารมณ์ต่างๆ. พึงทราบกุศลทั้งปวงด้วยประการฉะนี้. ในที่นี้พึงทราบความต่างแห่งอกุศลทั้งหลายมีพยาบาทเป็นต้น ที่ท่านย่อไว้โดยไปยาลด้วยอรรถตามที่กล่าวแล้ว. อนึ่ง พึงทราบความต่างของธรรมเบื้องต่ำๆ มีวิตกวิจารเป็นต้น โดยเป็นสภาพหยาบกว่าธรรมเบื้องสูงๆ. เพราะการแทงตลอดความต่างๆ และความเป็นอันเดียวกัน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 924
ท่านสงเคราะห์เป็นอันเดียวกัน ย่อมสำเร็จด้วยการแทงตลอดสัจจะในขณะแห่งมรรค. ฉะนั้น พระสารีบุตรเถระจึงยกบทว่า ปฏิเวโธ ขึ้น แล้วแสดงถึงการตรัสรู้สัจจะ.
บทว่า ปริญฺา ปฏิเวธํ ปฏิวิชฺฌติ - พระโยคาวจรย่อมแทงตลอดทุกขสัจ เป็นการแทงตลอดด้วยการกำหนดรู้ คือ ตรัสรู้ด้วยปริญญาภิสมยะ. ในบทที่เหลือมีนัยนี้. จริงอยู่ ในกาลตรัสรู้สัจจะในขณะมรรคเป็นอันเดียวกันแห่งมรรคญาณ ย่อมมีกิจ ๔ อย่าง คือ ปริญญา ๑ ปหานะ ๑ สัจฉิกิริยา ๑ ภาวนา ๑. เหมือนอย่างเรือ ทำกิจ ๔ อย่างในขณะเดียวกัน ไม่ก่อน ไม่หลัง คือ ละฝั่งใน ๑ ตัตกระแสน้ำ ๑ นำสินค้าไป ๑ ถึงฝั่งนอก ๑ ฉันใด. พระโยคาวจรย่อมตรัสรู้สัจจะ ๔ ในขณะเดียวกัน ไม่ก่อน ไม่หลัง คือ ตรัสรู้ทุกข์ด้วยการกำหนดรู้ ๑ ตรัสรู้สมุทัยด้วยการละ ๑ ตรัสรู้มรรคด้วยการเจริญ ๑ ตรัสรู้นิโรธด้วยการทำให้แจ้ง ๑ ฉันนั้น. ท่านอธิบายไว้ อย่างไร. อธิบายไว้ว่า พระโยคาวจรกระทำนิโรธให้เป็นอารมณ์ ย่อมบรรลุ ย่อมเห็น ย่อมแทงตลอดสัจจะ ๔ ด้วยสามารถกิจ. เหมือนอย่างว่า เรือละฝั่งใน ฉันใด. พระโยคาวจรกำหนดรู้ทุกข์อันเป็นมรรคญาณฉันนั้น. เรือตัดกระแสน้ำ ฉันใด. พระโยคาวจรละสมุทัย ฉันนั้น. เรือนำสินค้าไป ฉันใด. พระโยคาวจรเจริญมรรค เพราะ เป็นปัจจัยมีเกิดร่วมกันเป็นต้น ฉันนั้น. เรือถึงฝั่งนอก ฉันใด. พระ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 925
โยคาวจรทำให้แจ้งนิโรธอันเป็นฝั่งนอก ฉันนั้น. พึงทราบข้ออุปมาอุปมัย ด้วยประการฉะนี้.
บทว่า ทสฺสนํ วิสุชฺฌติ - ทัสนะย่อมหมดจด คือ ญาณทัสนะย่อมถึงความหมดจดด้วยการละกิเลสอันทำลายมรรคนั้นๆ.
บทว่า ทสฺสนํ วิสุทฺธํ - ทัสสนะหมดจดแล้ว คือ ญาณทัสนะถึงความหมดจดแล้ว โดยถึงความหมดจดแห่งกิจของมรรคญาณนั้นในขณะเกิดผลนั้นๆ. ท่านกล่าวมรรคผลญาณในที่สุด โดยสำเร็จด้วยมรรคผลญาณแห่งปัญญา แทงตลอดความต่าง และความเป็นอันเดียวกัน ซึ่งท่านสงเคราะห์ธรรมทั้งปวงเป็นอันเดียวกัน.
จบ อรรถกถาทัสนวิสุทธิญาณนิทเทส