[เล่มที่ 25] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ ๓๙๑
อรรถกถาสูจิโลมสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในสูจิโลมสูตรที่ ๓ ต่อไปนี้ :-
บทว่า คยาย คือ ในบ้านคยา อธิบายว่า เข้าไปอาศัยบ้านที่ตั้งไม่ไกลจากคยา
บทว่า ฏงฺกิตมญฺเจ ความว่า เตียงที่เท้ายาวคือเตียงที่เขาเจาะในท่ามกลางสอดทำด้วยแม่แคร่ เตียงนั้นไม่มีคำว่า นี้ข้างบน นี้ข้างล่าง เตียงนั้นจะเปลี่ยนไปเป็นเช่นนั้นก็ได้ตามต้องการ เขาย่อมตั้งเตียงนั้นไว้ในเทวสถานโรงเรือนที่เขาปูลาดแผ่นหินไว้บนแผ่นหิน ๔ แผ่น เขาเรียกว่า เตียงซ้อนตั่ง
บทว่า สูจิโลมสฺส คือ มีชนเช่นหนามแข็ง ได้ยินว่า ยักษ์นั้น บวชในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า กัสสป มาแต่ที่ไกล มีเหงื่อไคลท่วมตัว ไม่ลาดเตียงของสงฆ์ที่เขาแต่งตั้งไว้ดีแล้ว นอนด้วยความไม่เอื้อเฟื้อ ภิกษุผู้มีศีลบริสุทธิ์นั้น ได้มีการกระทำนั้น เหมือนสีดำที่ผ้าขาว เธอไม่อาจยังคุณวิเศษให้เกิดขึ้นในอัตภาพนั้นได้ ทำกาละแล้วมาเกิดเป็นยักษ์ที่ทิ้งขยะ ใกล้ประตูบ้านคยา ก็เมื่อเขาเกิดมาแล้ว ก็มีขนแหลมแข็งทั่วตัวคล้ายขนวัว
ต่อมาวันหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแลดูโลกในเวลาใกล้รุ่ง ทรงเห็นยักษ์นั้นมาสู่ครองอาวัชชนจิตครั้งแรก จึงทรงดำริว่า ยักษ์นี้เสวยทุกข์ใหญ่ตลอดพุทธันดรหนึ่ง ความสวัสดีจะพึงมีแก่เขา เพราะอาศัยเราหรือไม่หนอ ทรงเห็นอุปนิสัยแห่งมรรคเบื้องต้น
ลำดับนั้น ทรงใคร่จะทำการสงเคราะห์ยักษ์นั้น ทรงนุ่งผ้า ๒ ชั้นที่ย้อมแล้ว ห่มจีวรใหญ่ขนาดสุคตประมาณละพระคันธกุฎีดุจวิมานเทวดา เสด็จไปสู่ที่ทิ้งขยะ เหม็นด้วยทรากศพช้าง วัว ม้า มนุษย์ และสุนัข เป็นต้น ประทับนั่งในที่นั้น เหมือนนั่งในพระคันธกุฎีใหญ่
ท่านหมายเอาความข้อนั้นจึงกล่าวว่า ในที่อยู่ของยักษ์สูจิโลมะ ดังนี้
บทว่า ขโร ความว่า มีรูปร่างแข็งทื่อเหมือนหลังจระเข้ เหมือนหลังคาไม่เรียบด้วยกระเบื้องมุงหลังคา ได้ยินว่า เขาเป็นอุบาสกผู้ประกอบด้วยศีลในสมัยพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ วันหนึ่ง ไม่ได้ปูผ้าห่มของตนบนที่ปูลาดของสงฆ์ นอนบนพื้นที่ปูลาดไว้ด้วยเครื่องปูลาดอันวิจิตรในวิหาร อาจารย์บางพวกกล่าวว่า แบ่งน้ำมันของสงฆ์ ทาสรีระด้วยมือของตน เขาไม่อาจเกิด ในสวรรค์ด้วยกรรมนั้น มาเกิดเป็นยักษ์ที่กองขยะใกล้ประตูบ้านแห่ง บ้านคยานั้น ก็แลสรีระทั้งสิ้นของเขาผู้เกิดแล้ว จึงมีประการดังกล่าวแล้ว เขาทั้ง ๒ เป็นสหายกัน ความแข็งทื่อของยักษ์นั้น พึงทราบด้วยประการฉะนั้นแล.
บทว่า อวิทูเร อติกฺกมนฺติ ความว่า ยักษ์ ๒ ตนนั้น แสวงหาอาหารหรือไปสู่ที่สมาคม ไปในที่ใกล้กัน ในยักษ์ ๒ ตนนั้น ยักษ์สูจิโลมะ ไม่เห็นพระศาสดา ยักษ์ขระเห็นก่อน จึงพูดกะยักษ์สูจิโลมะ ว่า นั่นสมณะ ยักษ์ สูจิโลมะจึงกล่าวว่า ดูก่อนสหาย สมณะนี้เข้ามายังที่อยู่ของท่านไปนั่งอยู่คนเดียว ยักษ์สูจิโลมะกล่าวว่า นั่นไม่ใช่สมณะ นั่นเป็นสมณะน้อย
ได้ยินว่า เขาสำคัญว่าผู้ใดเห็นเราแล้วกลัวหนีไป เขาเรียกผู้นั้นว่า สมณะน้อย ผู้ใดไม่กลัวเขาเรียกผู้นั้นว่า สมณะ เพราะฉะนั้น ยักษ์สูจิโลมะสำคัญว่า ผู้นี้เห็นเรา แล้วกลัวจักหนีไป ดังนี้ จึงกล่าวอย่างนี้
บทว่า กาย อุปนาเมสิ ความว่าเนรมิตรูปที่น่ากลัว อ้าปากกว้าง พองขนทั่วตัว น้อมเข้าไปหา
บทว่า อปนาเมสิ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าหลีกไปหน่อยหนึ่ง เหมือนทองอันมีค่าประกอบด้วยรัตนะร้อยอย่าง
บทว่า ปาปโก คือ เลว ไม่น่าชื่นใจ เขาควรจะถูกเว้นเหมือนคูถ เหมือนไฟ และเหมือนงูเห่า คือไม่ควรรับด้วยสรีระอันมีผิวพรรณดุจทองนี้ ก็เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสอย่างนี้ ยักษ์สูจิโลมะโกรธต่อ คำว่า ได้ยินว่า สัมผัสของเราเลว ดังนี้ จึงกล่าวคำว่า ปญฺห ต สมณ เป็นต้น
บทว่า จิตฺต วา เต ขิปิสฺสามิ ความว่าจริงอยู่ อมนุษย์ ต้องการจะซัดจิตของคนเหล่าใด มันก็เนรมิตอัตภาพที่น่ากลัวให้มีหน้าขาว ท้องเขียว มือและเท้าแดง ศีรษะโต นัยน์ตาถลน แสดงแก่คนเหล่านั้น ส่งเสียงที่น่ากลัว ยัดมือเข้าในปากของพวกคนกำลังพูด ขยี้หัวใจสัตว์เหล่านั้นย่อมเป็นบ้า มีจิตฟุ้งซ่าน ยักษ์สูจิโลมะ หมายถึง ความข้อนั้น จึงกล่าวอย่างนี้
บทว่า ปารคงฺคาย ความว่า เขากล่าวว่า หรือว่า เราจักจับเท้าทั้ง ๒ แห่งท่าน ขว้างข้ามฝั่งแม่น้ำคงคาไปอย่างที่จะกลับมาไม่ได้.
บทว่า สเทวเก เป็นต้น มีเนื้อความตามที่กล่าวแล้ว.
บทว่า ปจฺฉ ยทา กงฺขสิ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงปวารณาอย่างผู้รู้ว่า ท่านต้องการสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ก็จงถามได้ทั้งหมด เราจักชี้แจงแก่ท่านไม่ให้เหลือ.
บทว่า กุโต นิทานา ความว่า มีอะไรเป็นเค้ามูล มีอะไรเป็นปัจจัย.
บทว่า กุมารกา ธงฺกมิโวสฺสชฺชนฺติ ความว่าถามว่า พวกเด็กจับกา มาแล้วปล่อยขว้างไป ฉันใด บาปวิตกที่ตั้งขึ้นจากที่ไหนก็ปล่อยจิตไป ฉันนั้น.
บทว่า อิโตนิทานา ความว่า อัตภาพนี้ เป็นต้นเค้าของวิตกเหล่านั้น เหตุนั้น วิตกนั้นจึงชื่อว่าอิโตนิทานา (มีอัตภาพแป็นต้นเค้า) .
บทว่า อิโตชา แปลว่า เกิดจากอัตภาพนั้น
บทว่า อิโต สมุฏฺายมโนวิตกฺกา ความว่า พวกเด็กผูกเชือกที่ข้อขาของมันแล้วปล่อยกาที่ผูกไว้ด้วยเชือกยาว แม้มันไปได้ไกลก็ตกลงมาแทบเท้าของเด็กเหล่านั้นอีกฉันใดบาปวิตกที่ตั้งขึ้นจากอัตภาพนี้ ก็ปล่อยจิต ฉันนั้น
บทว่า เสฺนหชา ได้แก่ เกิดจากยางคือตัณหา.
บทว่า อตฺตสมฺภูตา แปลว่า เกิดในตน.
บทว่า นิโคฺรธสฺเสว ขนฺธชา คือ เหมือนรากที่เกิดจากต้นไทร.
บทว่า ปุถู คือ บาปวิตกและกิเลสที่ประกอบด้วยบาปวิตกนั้นมาก คือหลายประการ.
บทว่า วิสตฺตา ได้แก่ ติด เกี่ยว ข้อง.
บทว่า กาเมสุ ได้แก่ วัตถุกาม.
บทว่า มาลุวา วิตฺถตา วเน ความว่า เถาย่านไทรในป่าอาศัยต้นไม้ใดเกิดขึ้นมันพันต้นไม้นั้นทบไปมา ตั้งแต่โคนถึงยอด ตั้งแต่ยอดถึงโคน ปกคลุมห้อยย้อยขยายไปอยู่ฉันใด กิเลสกามเป็นอันมากข้องอยู่ในวัตถุกามหรือสัตว์เป็นอันมากข้องอยู่ในวัตถุกามด้วยกิเลสกามนั้น ฉันนั้น
บทว่า เย น ปชานนฺติ ความว่า ก็ผู้ใด ย่อมรู้อัตภาพตามที่กล่าวไว้ ในบทว่า อตฺตสมฺภูตา (เกิดในตน) นี้.
บทว่า ยโตนิทาน ความว่า ย่อมรู้สิ่งที่เป็นต้นเค้าของอัตภาพนั้น
บทว่า เต น วิโนเทนฺติ ความว่า ผู้นั้นย่อมบรรเทาคือนำออกซึ่งสมุทัยสัจอันเป็นต้นเค้าของทุกขสัจกล่าวคืออัตภาพ ด้วยมรรคสัจจ์ด้วยประการฉะนี้.
บทว่า เต ทุตฺตร ความว่า ผู้นั้น เมื่อนำสมุทัยสัจจ์ออกได้จึงข้ามโอฆะคือกิเลสที่ข้ามยากนี้ได้.
บทว่า อติณฺณปุพฺพ ความว่าไม่เคยข้ามสังสารวัฏฏ์ที่มีเบื้องปลายที่ใครๆ รู้ไม่ได้ แม้ในภายในแห่งความฝัน.
บทว่า อปุนพฺภวาย ความว่า เพื่อประโยชน์แก่นิโรธสัจคือความไม่เกิดอีก เพราะเหตุนี้ เพื่อจะทรงประกาศอริยสัจ ๔ ด้วยคาถานี้ จึงทรงยังพระธรรมเทศนาให้จบลงด้วยธรรมมีพระอรหัตเป็นยอด ในที่สุดแห่งเทศนายักษ์สูจิโลมะยืนอยู่ในที่นั้น เอง ส่งญาณไปตามกระแสพระธรรมเทศนาแล้วตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล ก็ชื่อว่า พระโสดาบันทั้งหลายย่อมไม่ตั้งอยู่ในอัตภาพที่เศร้าหมอง เพราะฉะนั้น หัวหูด ขนแหลมอย่างเข็มทั้งปวงที่ร่างกายของ ยักษ์สูจิโลมะ จึงร่วงไปพร้อมกับได้โสดาปัตติผล ยักษ์สูจิโลมะนั้นจึงนุ่งผ้าทิพย์ ห่มผ้าทิพย์ โพกผ้าทิพย์ ทรงเครื่องประดับของหอม และมาลัยทิพย์ มีผิวพรรณดังทอง ได้ปกครองภุมมเทวดา
จบอรรถกถาสูจิโลมสูตร ที่ ๓
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น