[เล่มที่ 71] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๒ - หน้า 92
เถราปทาน
สุภูติวรรคที่ ๓
ตีณิสรณาคมนิยเถราปทานที่ ๓ (๒๓)
ว่าด้วยผลแห่งการรับสรณะ ๓
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 71]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๒ - หน้า 92
ตีณิสรณาคมนิยเถราปทานที่ ๓ (๒๓)
ว่าด้วยผลแห่งการรับสรณะ ๓
[๒๕] เราเป็นคนบำรุงมารดาบิดา อยู่ในนครจันทวดีเวลานั้น เราเลี้ยงดูมารดาบิดาของเราผู้ตาบอด เรานั่งอยู่ในที่ลับ คิด อย่างนี้ในเวลานั้นว่า เราเลี้ยงดูมารดาบิดาอยู่ จึงไม่ได้บวช.
โลกทั้งหลายอันความมืดมนอนธการปิดแล้ว ย่อมถูก ไฟ ๓ กองเผา เมื่อเราเกิดแล้วในภพเช่นนี้ ไม่มีใครจะเป็นผู้ แนะนำ.
พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติแล้วในโลก บัดนี้พระพุทธศาสนา กำลังรุ่งเรือง สัตว์ผู้ใคร่บุญอาจรื้อถอนตนขึ้นได้ เราจะรับ สรณะ ๓ แล้วจะรักษาให้ บริบูรณ์ ด้วยกุศลกรรมที่ได้ทำแล้ว นั้น เราจะพ้นทุคติได้.
เราได้เข้าไปหาท่านพระสมณะชื่อนิสภะ อัครสาวกของ พระพุทธเจ้าแล้ว ตรัสรณคมน์.
ในครั้งนั้นเรามีอายุได้แสนปี ได้รักษาสรณคมน์ให้บริบูรณ์ ตลอด เวลาเท่านั้น เมื่อกาลที่สุดล่วงไป เราได้ระลึกถึงสรณคมน์ด้วยกุศลกรรมที่ได้ทำแล้วนั้น เราได้ไปสู่ภพดาวดึงส์.
เมื่อเรายังอยู่ในเทวโลก ประกอบแต่บุญกรรม เราอุบัติ ณ ประเทศใดๆ เราย่อมได้เหตุ ๘ ประการ คือในประเทศ นั้นๆ เราเป็นผู้อันเขาบูชาทุกทิศ ๑ เป็นผู้มีปัญญาคนกล้า ๑ เทวดาทั้งปวงย่อมประพฤติตามเรา ๑ เราย่อมได้โภคสมบัติ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๒ - หน้า 93
ไม่ขาดสาย ๑ เป็นผู้มีผิวพรรณดังทอง. เป็นผู้มีปฏิภาณใน ที่ทั้งปวง. เป็นผู้ไม่หวั่นไหวต่อมิตร ๑ ยศของเราสูงสุด ๑.
เราได้เป็นจอมเทวดาเสวยเทวรัชสมบัติอยู่ ๘๐ ครั้ง อัน นางอัปสรแวดล้อมเสวยสุขอันเป็นทิพย์.
เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๗๕ ครั้ง ได้เป็นพระเจ้า ประเทศราชอันไพบูลย์โดยคณนานับมิได้.
เมื่อถึงภพสุดท้าย เราประกอบด้วยบุญกรรม เกิดในสกุล พราหมณ์มหาศาล มั่งคั่งที่สุดในนครสาวัตถี.
เวลาเย็น (วันหนึ่ง) เราต้องการจะเล่น แวดล้อมด้วยพวก เด็ก ออกจากนครแล้ว เข้าไปสู่สังฆาราม ณ ที่นั้นเราได้เห็น พระสมณะผู้พ้นวิเศษแล้ว ไม่มีอุปธิ ท่านแสดงธรรมแก่เรา และได้ให้สรณะแก่เรา.
เรานั้นฟังสรณะแล้ว ระลึกถึงสรณะของเราได้ นั่งอยู่บน อาสนะอันหนึ่งได้บรรลุอรหัต เราได้บรรลุอรหัตนับแต่เกิดได้ เจ็ดปี พระพุทธเจ้าผู้มีพระจักษุ ทรงรู้คุณของเราแล้ว ทรง ประทานอุปสมบท ในกัปอันประมาณมิได้แต่กัปนี้ เราได้ถึง สรณะ กรรมที่เราทำดีแล้วเพียงนั้น ได้ให้ผลแก่เรา ณ ที่นี้.
สรณะเรารักษาดีแล้ว ความปรารถนาแห่งใจเราตั้งไว้ดี แล้ว เราได้เสวยยศทุกอย่างแล้ว ได้บรรลุบทอันไม่หวั่นไหว ท่านเหล่าใดมีความต้องการฟัง ท่านเหล่านั้นจงฟังเรากล่าว เราจักบอกความแห่งบทที่เราเห็นเองแก่ท่านทั้งหลาย.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๒ - หน้า 94
พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติแล้วในโลก ศาสนาของพระชินเจ้า เป็นไปอยู่ พระองค์ทรงตีกลองอมฤต อันเป็นเครื่องบรรเทา ลูกศร คือความโศกได้ ท่านทั้งหลายพึงทำสักการะอันยิ่งใน บุญเขตอันยอดเยี่ยม ตามกำลังของตน.
ท่านทั้งหลายจักพบนิพพาน ท่านทั้งหลายจงรับไตรสรณคมน์ จงรับศีล ๕ ยังจิตให้เลื่อมใสในพระพุทธเจ้าแล้ว จัก ทำที่สุดทุกข์ได้ ท่านทั้งหลายจงยกเราเป็นสาวกอย่าง รักษาศีล แล้ว แม้ทุกท่านก็จักได้บรรลุอรหัตโดยไม่นานเลย.
เราเป็นผู้มีวิชชา ๓ บรรลุอิทธิวิธี ฉลาดในเจโตปริยญาณ ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า ข้าพระองค์เป็นสาวกของพระองค์ ขอ ถวายบังคม จรณะของพระศาสดา ในกัปอันประมาณมิได้แต่ กัปนี้เราได้นับถือพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลในการถึงสรณคมน์.
คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมข์ ๘ และ อภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งขัดแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้า เราได้ทำเสร็จแล้ว ฉะนี้แล.
ทราบว่า ท่านพระตีณิสรณาคมนิเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วย ประการฉะนี้แล.
จบตีณิสรณาคมนิยเถราปทาน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๒ - หน้า 95
๒๓. อรรถกถาตีณิสรณคมนิยเถราปทาน (๑)
อปทานของท่านพระตีณิสรณคมนิยเถระ มีคำเริ่มต้นว่า นคเร พนฺธุมติยา ดังนี้.
พระเถระแม้นี้ ได้บำเพ็ญบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ สั่งสมบุญทั้งหลายอันเป็นอุปนิสัยในภพนั้นๆ ในกาลแห่งพระพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสี บังเกิดในเรือนมีตระกูล ในพันธุมดีนคร ได้อุปัฏฐาก มารดาและบิดาผู้บอด. วันหนึ่ง ท่านคิดว่า เราเมื่ออุปัฏฐากมารดาบิดาก็ จะไม่ได้บวช ถ้ากระไร เราจักยึดเอาสรณะ ๓ จักพ้นจากทุคติได้ด้วย ประการนี้ ดังนี้แล้ว จึงเข้าไปหาพระอัครสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่าวิปัสสี ชื่อว่านิสภะแล้วถือเอาสรณะ ๓. ท่านรักษาสรณะ๓นั้น ตลอดแสนปี ด้วยกรรมนั้นเองจึงบังเกิดในภพชั้นดาวดึงส์ เบื้องหน้าแต่ นั้นได้ท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เสวยสมบัติทั้งสอง ใน พุทธุปบาทกาลนี้บังเกิดในสกุลมหาศาลในกรุงสาวัตถี รู้เดียงสาแล้ว อายุ ๗ ขวบเท่านั้น แวดล้อมไปด้วยเด็กทั้งหลา ได้ไปยังสังฆารามแห่ง หนึ่ง. ในที่นั้นพระเถระผู้ขีณาสพรูปหนึ่ง แสดงธรรมแก่ท่านแล้วได้ให้ สรณะทั้งหลาย. ท่านถือเอาสรณะเหล่านั้น ระลึกถึงสรณะที่คนเคยรักษา มา เจริญวิปัสสนาบรรลุพระอรหัต แล้ว. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้เธอ ผู้บรรลุพระอรหัตแล้วอุปสมบท.
ท่านบรรลุพระอรหัตได้อุปสมบทแล้ว ระลึกถึงบุพกรรมของคน. เมื่อจะประกาศปุพพจริตาปทานด้วยอำนาจโสมนัส. จึงกล่าวคำมีอาทิว่า
๑. บาลี เป็น ตีณิสรณาคมนิยเถราปทาน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๒ - หน้า 96
นคเร พนฺธุมติยา ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มาตุปฏฺาโก อหุํ เชื่อมความว่า เราอุปัฏฐากเลี้ยงดูมารดาบิดาอยู่ในพันธุมดีนคร.
บทว่า ตมนฺธการปิหิตา ความว่า ผู้อันความมืดคือโมหะปิดบัง ไว้. บทว่า ติวิธคฺคีหิ ฑยฺหเร เชื่อมความว่า สัตว์ทั้งปวงถูกไฟ ๓ กอง คือ ไฟคือราคะ ๑ ไฟคือโทสะ ๑ ไฟคือโมหะ ๑ เผาผลาญแล้ว
บทว่า อฏฺ เหตู ลภามหํ ความว่า เราได้เหตุ ๘ ประการ คือ เหตุอันเป็นปัจจัยแห่งความสุข. คำที่เหลือรู้ได้ง่ายทั้งนั้นแล.
จบอรรถกถาตีณิสรณคมนิยเถราปทาน