ขอกราบเรียนถามค่ะ
เคยฟังบางพระสูตรกล่าวว่า
ผู้ที่ยังทำผิดศีลอยู่ แต่เมื่อได้
ฟังพระธรรม ก็บรรลุเป็นพระ
อริยบุคคลได้ แล้วจึงละอกุศล
ตามลำดับขั้น
แล้วทำไมต้องไม่เป็นเราก่อน
จึงสามารถเห็นแจ้ง
ปุถุชนยังต้องเป็นเราก่อนไม่ใช่
หรือค่ะ ต่อเมื่อบรรลุขั้นแรก
จึงละสักกายทิฏฐิ
อันนี้ยังไม่เข้าใจค่ะ
ขอขอบพระคุณค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตามความเป็นจริงแล้ว ชีวิตของปุถุชนซึ่งเป็นผู้ที่หนาแน่นไปด้วยกิเลส ความเป็นเราเต็มเปี่ยมเลย เพราะไม่รู้ความจริง ยิ่งถ้าไม่ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรม จะเข้าใจความจริงได้อย่างไร ยิ่งเป็นเราเพิ่มขึ้น เป็นอกุศลเพิ่มขึ้น แล้วอกุศล จะละอกุศลได้อย่างไร ย่อมเป็นไปไม่ได้
ธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงๆ ไม่ใช่เรา กล่าวคือสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมและรูปธรรมนั่นเอง ซึ่งจะต้องอาศัยการอบรมเจริญปัญญา ด้วยการฟังธรรมสะสมความเข้าใจในสภาพธรรมที่มีจริง ย่อมเป็นประโยชน์ตั้งแต่ขั้นของการฟัง ว่า ธรรม มีจริงๆ เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตน
ไม่มีเรา แต่มีธรรม มีแต่ธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้นเป็นไป เพราะยังไม่มีความเข้าใจถูกเห็นถูกตั้งแต่ต้น จึงยังไม่สามารถขัดเกลา ละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเราได้เลย แต่เมื่ออาศัยการฟัง การศึกษาการพิจารณาไตร่ตรองตามพระธรรมที่ได้ยินได้ฟังว่า แต่ละขณะๆ นั้น มีแต่ธรรมเท่านั้นจริงๆ ที่เกิดขึ้นเป็นไปไม่มีเราแทรกอยู่ในธรรมเหล่านั้นเลย ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม จะไม่มีทางเข้าใจถูกเห็นถูกในสภาพธรรมที่มีจริงตามความเป็นจริงได้เลย ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง สามารถพิสูจน์ได้ทุกขณะว่าเป็นสิ่งที่มีจริง ไม่ว่าจะได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก ดีใจ เสียใจ ติดข้องยินดี พอใจ หงุดหงิดโกรธขุ่นเคือง ไม่พอใจ เป็นต้น ล้วนเป็นธรรมทั้งหมด เกิดแล้วดับแล้ว จะเป็นเรา หรือ เป็นของของเราได้อย่างไร และที่น่าพิจารณา คือธรรม ไม่ได้หมายถึงเพียงสภาพธรรมฝ่ายดีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่หมายรวมถึงสิ่งที่มีจริงทั้งหมด ชีวิตประจำวันที่ดำเนินไปนั้นไม่พ้นไปจากธรรมเลย ทุกขณะเป็นธรรม มีจิต เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต) และรูป เกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอดเวลา จิต เจตสิก รูปนั้น เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ที่ไม่เที่ยงนั้นเพราะเกิดแล้วดับไป สภาพธรรมที่เกิดแล้วดับไปนั้นเป็นทุกข์ เป็นทุกข์เพราะเหตุว่าตั้งอยู่ไม่ได้ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา และเป็นอนัตตา คือ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ปัญญาเท่านั้นที่จะทำกิจหน้าที่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง
ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด ยากที่จะเข้าใจ แต่ก็สามารถที่จะเข้าใจได้ การศึกษาธรรม เป็นการศึกษาถึงสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เพื่อเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง เนื่องจากคุ้นเคยกับความเป็นตัวตน คุ้นเคยกับความเป็นเรา พร้อมทั้งได้สะสมความไม่รู้มาอย่างเนิ่นนาน จึงหลงยึดถือสภาพธรรมที่กำลังปรากฏว่าเป็นต้วตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นเรา ดังนั้น ธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงนั้น จึงควรที่จะศึกษา เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกตามความเป็นจริง ซึ่งจะเป็นไปเพื่อละคลายความไม่รู้ ละความเห็นผิดในสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลได้ในที่สุด โดยเริ่มต้นสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกตั้งแต่ในขณะนี้ เมื่อไม่ขาดการฟังการศึกษาพระธรรมเป็นปกติในชีวิตประจำวันแล้ว ความเข้าใจถูกเห็นถูกก็จะค่อยๆ เจริญขึ้น เหมือนอย่างพระอริยบุคคลทั้งหลายในอดีตที่ท่านได้รู้แจ้งความจริง ล้วนแล้วแต่ได้ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ดีแล้ว เกิดปัญญาเป็นของตนเอง จากการอาศัยคำจริงที่พระองค์ทรงแสดง ครับ
...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
กราบเรียนถามค่ะ
นอกจากอนันตริยกรรมแล้ว
มีอกุศลกรรมใดอีกบ้าง
ที่เป็นเคริ่องกั้นต่อ
มรรคผลนิพพานค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
กราบเรียนถามค่ะ
นอกจากอนันตริยกรรมแล้ว
มีอกุศลกรรมใดอีกบ้าง
ที่เป็นเคริ่องกั้นต่อ
มรรคผลนิพพานค่ะ
เครื่องกั้นการบรรลุธรรม มี ๕ อย่าง คือ กรรม (อนันตริยกรรม) กิเลส (ความเห็นผิดที่ดิ่ง) วิบาก (เช่น เกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน เป็นต้น) การว่าร้ายพระอริยเจ้า และ การล่วงละเมิดพระวินัยของพระภิกษุ ตามข้อความในพระไตรปิฎกดังนี้ ครับ
อันตรายิกธรรม [ธรรมที่ทำอันตรายแก่สวรรค์และนิพพาน]
...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
สาธุ สาธุ สาธุ ค่ะ
ขออนุโมทนาครับ