สนทนาธรรมที่มูลนิธิ พื้นฐานพระอภิธรรม
อาทิตย์ที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๑
กุลวิไล ท่านอาจารย์กล่าวถึงว่า ขณะนี้คิดถึงอะไร ซึ่งจริงๆ แล้วถ้าเราเป็นผู้ที่ไม่พิจารณาธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เราก็จะนึกไม่ถึงว่าที่เราคิดอยู่นี้ เราคิดอะไร เราคิดเองหรือคิดตามการสะสม เพราะว่าจิตมีสภาพธรรมสั่งสมสันดานด้วยชวนวิถี เพราะฉะนั้น ถ้าเราไม่ได้ศึกษาธรรม ไม่ได้อบรมปัญญา ก็ย่อมสะสมในการที่จะคิดผิด เป็นไปในฝ่ายอกุศลและมีทั้งตัวตน มีเราตลอด ฟังเรื่องใดก็ขุ่นเคืองใจ เพราะว่าเราไม่รู้สภาพธรรมที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางกาย ทางใจ ตามความเป็นจริงในชีวิตประจำวัน
อาจารย์ ยังไม่ได้ตอบคำถามว่าคิดอะไร รู้สึกว่าจะมีหลายคำตอบ มีใครไหมที่จะตอบว่า คิดว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เห็นคุณอรวรรณ เห็นแล้วคิดเลยแต่ไม่รู้ว่าคิดยังไม่ต้องทันเป็นเรื่องราว กุศลหรืออกุศลอีกยาวมาก โดยข้ามการที่ไม่ได้เข้าใจว่า ทางตาก็เพียงปรากฏ แต่ที่จะเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะขณะนั้นคิดและฟังอย่างนี้ ฟังเรื่องวิถีจิต ฟังรูปมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ ขณะที่รูปปรากฏไม่ได้รู้เลยว่า จะเป็นอะไรได้ เพราะเป็นเพียงสิ่งที่กระทบปรากฏ แล้วหมดไป แต่เวลานี้ไม่ได้เป็นอย่างนั้น เพราะว่าคิด เห็นแล้วคิดว่าเป็นคนนั้น เป็นคนนี้ ถามว่าคิดอะไร อาจจะไปคิดเรื่องเมื่อเช้านี้ฟังธรรม ขณะนี้กำลังคิดถึงเพื่อน คิดถึงบ้าน คิดถึงอะไร ไกลไหม แม้จะฟังมาว่าเห็นแล้วก็คิด จึงสามารถที่จะรู้ได้ว่า สิ่งที่ปรากฏขณะนี้เป็นอะไร เพราะฉะนั้นการที่ศึกษาเพื่อที่จะเข้าใจสภาพธรรมจึงต้องละเอียดจริงๆ และมิใช่จะหมายความว่าพยายามที่จะให้รู้หรือคิดอย่างนี้ได้ แต่เพราะเหตุว่ามีความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยทำให้วันไหนที่เพิ่มความเข้าใจขึ้น สิ่งที่เข้าใจพร้อมกับสติสัมปชัญญะที่กำลังเข้าใจลักษณะที่ปรากฏ ด้วยความเข้าใจตรงตามที่ได้ยินได้ฟังทุกอย่าง นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ข้ามหรือละเลยสภาพธรรมที่ปรากฏเป็นแต่ละขันธ์ไม่ได้เลย ขณะนี้ความรู้สึกก็มี แต่ไม่ได้รู้ลักษณะของความรู้สึก สัญญาความจำมีแน่ ก็ไม่ได้รู้ว่าที่เรารู้ว่าเป็นใคร เพราะคิดด้วยความจำ ถ้าไม่จำไว้จะคิดได้ไหมว่าเป็นสิ่งนั้น สิ่งนี้
นี้คือความละเอียดของธรรมในหนึ่งขณะ ซึ่งเราเรียนเพื่อที่จะได้เข้าใจความจริงว่า ธรรมเป็นอนัตตาไม่ว่าสภาพธรรมใดปรากฏ ก็จะต้องเป็นสิ่งที่เกิดปรากฏ แล้วจะเกิดได้ก็ต้องมีปัจจัย อย่างที่ได้เรียนโดยละเอียดขึ้นๆ เป็นธรรมแต่ละอย่างเพื่อที่จะได้เห็นได้จริงๆ ว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลจนกว่าจะถึงวันนั้น หมายความว่าไม่ต้องไปคิดเรื่องแล้วเมื่อไหร่ละรู้มองเห็นก็เป็นคนนั้น คนนี้ไปตลอด พยายามที่จะไปทำให้ไม่เป็นคนนั้น คนนี้ นั่นคือตัวตน ไม่ใช่การคลายความไม่รู้โดยการที่ค่อยๆ มีความมั่นคงว่าขณะนี้ สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา เป็นเพียงขณะที่ปรากฏ ถ้าไม่เห็นสิ่งนี้ปรากฏไม่ได้เห็นแล้วดับแล้วก็มีการเกิดขึ้นของสภาพธรรมทั้งนามธรรมและรูปธรรม สืบต่อไปทุกๆ ขณะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
สาธุ ขออนุโมทนาครับ
สาธุ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนา
ขออนุโมทนาครับ