เมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม - ๑ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๘ ที่ผ่านมา คุณจักรกฤษณ์ คุณชฎาพร เจนเจษฎา และ ครอบครัว ได้กราบเรียนเชิญ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และ คณะอาจารย์ของมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ อรรณพ หอมจันทร์ อาจารย์กุลวิไล สุทธิลักษณวนิช อาจารย์ธีรพันธ์ ครองยุทธ อาจารย์วิชัย เฟื่องฟูนวกิจ อาจารย์คำปั่น อักษรวิลัย และ อาจารย์ณภัทร เรืองจันทฤทธิ์ เพื่อไปพักผ่อนที่ Maison Mystique เขาใหญ่ อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
เป็นโอกาสของข้าพเจ้า คุณภรรยา และคุณแอ๊ว (นภา จันทรางศุ) ที่ได้รับมอบหมายจากท่านเจ้าภาพ ให้รับ-ส่งท่านอาจารย์ไปเขาใหญ่ในครั้งนี้ ระหว่างที่อยู่ในรถขณะเดินทางถึงถนนธนรัชต์ บริเวณเขาใหญ่ ท่านอาจารย์ถามคุณแอ๊วว่า "เขาใหญ่อยู่ไหนคะคุณแอ๊ว" มีใครจะตอบคำถามท่านอาจารย์ไหมครับ?
ในวันแรกที่เขาใหญ่ ท่านเจ้าภาพมีความพิถีพิถันอย่างยิ่ง ในการเลือกร้านอาหาร และรายการอาหารมื้อกลางวัน ทั้งได้มีการจองที่นั่งบริเวณระเบียงด้านนอกซึ่งเป็นที่ๆ ดีที่สุด ที่ทุกท่านที่มารับประทานอาหารที่ร้านอาหารแห่งนี้ปรารถนาจะได้นั่งที่ระเบียงด้านนอก ซึ่งจะมีอากาศสดชื่น เย็นสบาย ตลอดปี มองเห็นทิวเขาสวยงามไกลสุดตา
เป็นความตั้งใจของท่านเจ้าภาพคือคุณจักรกฤษณ์ และคุณชฎาพร (คุณแอ๋ว) ที่กราบเรียนเชิญท่านอาจารย์ พร้อมด้วยคณะอาจารย์ ของ มศพ. ทุกท่าน เพื่อมาพักผ่อนยัง Maison Mystique ที่เขาใหญ่แห่งนี้ ซึ่งเป็นสถานที่ที่สวยงามมาก การมีโอกาสได้มาพักผ่อนที่นี่ เปรียบเหมือนการได้เดินทางไปพักผ่อนยังโรงแรมหรูในยุโรปเลยทีเดียว
ได้ทราบจากคุณจักรกฤษณ์ว่า เจ้าของโรงแรมที่สวยงามราวปราสาทในเทพนิยายแห่งนี้ คือ คุณวินัย ธาดาสีห์ และคุณมนัสวี ธาดาสีห์ ซึ่งมีบุตรสาวชื่อคุณแบม เป็นเพื่อนกับ น้องติณณ์ (เชฟติณณ์) ลูกชายของคุณจักรกฤษณ์ ซึ่งจากการที่ลูกๆ เป็นเพื่อนกัน ทำให้ทั้งสองครอบครัวได้รู้จักกัน เป็นเพื่อนกันด้วย
Maison Mystique แห่งนี้ บริหารโดย คุณวิภวิน (คุณบัน) ธาดาสีห์ และคุณแบม (เพื่อนของน้องติณณ์) ซึ่งเป็นบุตรชายและบุตรสาว ของคุณวินัย ธาดาสีห์ ออกแบบก่อสร้างและตกแต่งภายในทั้งหมด โดย คุณเฟิร์น (คุณเกศชนก จีระวัฒนา ธาดาสีห์ ภริยาของคุณวิภวิน ธาดาสีห์) โดยขณะนี้ยังไม่เปิดให้บริการ (จะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในเดือนมีนาคม นี้)
Maison Mystique มีห้องพักเพียง ๒๓ ห้อง มีชื่อแตกต่างไปในแต่ละห้อง ทั้งหมดได้รับการก่อสร้างและตกแต่งอย่างวิจิตรอลังการด้วยเฟอร์นิเจอร์ที่ท่านเจ้าของเก็บสะสมและนำเข้าจากประเทศฝรั่งเศส
(ภาพจากเฟซบุ๊คคุณชฎาพร เจนเจษฎา)
มีห้องสมุดซึ่งซ่อนห้อง gentleman แบบทางยุโรปโบราณ มีห้องเก็บไวน์ใต้ดิน มีลิฟท์แบบโบราณที่ให้ความรู้สึกประทับใจย้อนยุคแก่แขกที่เข้าพัก
สำหรับอาหารมื้อค่ำสไตล์อิตาเลี่ยน ณ โรงแรมที่พัก เป็นอีกมื้อหนึ่งที่เป็นที่ประทับอย่างยิ่งสำหรับทุกคน ด้วยอาหารและการบริการจากพนักงานของโรงแรมที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีเยี่ยม ทำให้รู้สึกเหมือนกับได้รับประทานมื้อค่ำในภัตตาคารสุดหรูในยุโรปจริงๆ
แม้ว่า ความตั้งใจของท่านเจ้าภาพในการกราบเรียนเชิญท่านอาจารย์และคณะอาจารย์ มศพ. เพื่อมาพักผ่อน ตามความตั้งใจที่ว่า อยากจะให้ทุกท่านที่ทำงานเพื่อพระศาสนาอย่างเต็มกำลังมาต่อเนื่องยาวนาน ได้มีโอกาสเดินทางมาพักผ่อนร่วมกันเป็นการส่วนตัว ซึ่งเป็นเวลาที่หายากที่จะเป็นได้ แม้ในคราวนี้ที่ท่านเจ้าภาพตั้งใจกราบเรียนเชิญอาจารย์ มศพ.ทุกท่าน ซึ่งแต่เดิมทุกท่านมีการตอบรับที่สามารถจะเดินทางมาได้ แต่ในที่สุด หลายท่านก็มีภารกิจที่ไม่สามารถเดินทางมาตามความตั้งใจได้
อีกประการหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นการกราบเรียนเชิญท่านอาจารย์ และอาจารย์ มศพ. เพื่อมาพักผ่อน แต่ทุกท่านก็ทราบดีว่า ไม่มีที่ไหนที่ท่านอาจารย์ไปแล้ว ท่านจะไม่พูดธรรม และ การพูดธรรมของท่านในเวลาเช่นนี้ ควรจะได้ถูกบันทึกไว้เพื่อเผยแพร่ให้ผู้อื่นได้รับฟังด้วย เพราะเป็นสิ่งที่มีค่าและเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง แก่ทุกท่านที่สนใจในปัจจุบันและในอนาคต ที่จะสามารถฟังแล้วฟังอีก สะสมความเข้าใจไปตราบเท่ากาลนาน
อันดับต่อไป จึงจะขออนุญาตนำความการสนทนาในครั้งนี้ มาประกอบกับภาพที่ได้บันทึกไว้ เพื่อเป็นที่ระลึก ใน ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ได้พบกับสรรพสิ่งที่สวยสดงดงามโอฬาร และธรรมอันเลิศ ทั้งหมดเกิดขึ้นและหมดไปแล้ว และจะไม่หวนกลับมาอีกเลยในสังสารวัฏ เพื่อประโยชน์แก่การพิจารณา ต่อไป ดังนี้
คุณจักรกฤษณ์ : กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพอย่างยิ่งครับ และกราบท่านอาจารย์วิทยากรทุกท่าน และผู้ที่เข้าร่วมสนทนาธรรมในวันนี้
เริ่มต้น ขออนุญาติเกริ่นนิดหนึ่งครับท่านอาจารย์ เดิมผมกับแอ๋วตั้งใจไว้หลายปีว่า ถ้ามีโอกาสก็อยากจะเรียนเชิญท่านอาจารย์กับท่านอาจารย์วิทยากรทุกท่านได้มีเวลามาพักผ่อนสบายๆ ซึ่งตอนนั้น สถานที่จริงๆ ก็มีอยู่ แต่ว่าไกลหน่อย เดินทางอาจจะลำบาก
(ภาพจากเฟซบุ๊ค คุณชฎาพร เจนเจษฎา เมื่อครั้งรับเชิญไปพักผ่อนที่นี่)
แต่เมื่อประมาณปลายปีที่แล้ว ก็ได้มาเจอพี่ท่านหนึ่งที่เป็นคนที่เคารพรักมาก ชื่อพี่วินัย ธาดาสีห์ ซึ่งภรรยาของพี่วินัยก็คือพี่ตุ้ม เรารู้จักกันก็เพราะว่าลูกของท่านทั้งสองเป็นเพื่อนของ ติณณ์ ซึ่งก็รู้จักกันเป็นสิบกว่าปี
(ภาพจากเฟซบุ๊ค คุณชฎาพร เจนเจษฎา)
เมื่อปีที่แล้ว ท่านก็บอกว่า ท่านได้สร้างสถานที่ที่เป็นแบบพักผ่อน เราไม่เรียกว่าโรงแรมเพราะว่าที่นี่ดูเป็นมากกว่าโรงแรม เป็นสถานที่ๆ ดีมากๆ ท่านก็เชิญครอบครัวผมมาพักผ่อน ก็ได้โอกาสที่จะมาดูสถานที่ ที่ท่านได้สร้างเอาไว้ ซึ่งสร้างไว้หลายปี จากที่ได้คุยกับพี่วินัยก็ได้มาดูสถานที่ ก็ดูดีมากๆ ซึ่งพี่วินัยก็จะมีคุณบัน (Bun) ที่ท่านอาจารย์ได้สนทนาเมื่อสักครู่ กับคุณเฟิร์น ซึ่งเป็นภรรยาของคุณบัน เป็นผู้บริหารโรงแรมนี้
(ภาพจากเฟซบุ๊ค คุณชฎาพร เจนเจษฎา)
ที่มาดูเมื่อปลายปีที่แล้วก็รู้สึกว่าตื่นตาตื่นใจมาก เพราะว่าเป็นโรงแรมที่สวย แล้วก็ทั้งคุณบัน คุณเฟิร์น และพี่วินัยก็ทุ่มเทในการสร้างโรงแรมนี้ ดูแล้วเหมาะที่จะเรียนเชิญท่านอาจารย์และท่านอาจารย์วิทยากรมาพักผ่อน ก็เลยได้เป็นโอกาสที่ดีที่จะได้เรียนเชิญท่านอาจารย์และท่านอาจารย์วิทยากรมา
ซึ่งก็ดีใจว่า โครงการนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี แล้วก็เป็นโอกาสที่ดีที่ทางครอบครัวของผมได้มีโอกาสตอบแทนพระคุณท่านอาจารย์และท่านอาจารย์วิทยากรทุกท่าน ที่ให้เวลาและทุ่มเททุกอย่าง เพื่อพระพุทธศาสนา
(ภาพจากคุณนภา จันทรางศุ)
ในวันนี้ ก็จะมีคุณบัน ซึ่งอยากจะให้อยู่ด้วย เพราะว่าคุณบัน นี้ ตั้งแต่รู้จักกับคุณแม่ คุณแม่คือพี่ตุ้ม ตอนนี้ท่านเสียไปแล้วหลายปี ท่านสนใจธรรมเป็นอย่างมาก และท่านก็พยายามศึกษาหาความรู้ต่างๆ ซึ่งก็เป็นประโยชน์มาก และวันนี้ถือได้ว่าเป็นโอกาสที่ดีก็ว่าได้ เพราะว่า พี่วินัยเอง แล้วก็คุณบันและภรรยา ก็ยินดีต้อนรับคณะ ซึ่งถือว่าเป็นคณะแรกเลย คือโรงแรมที่พักนี้ยังไม่ได้เปิดเป็นทางการ แต่ว่าวันนี้เป็นโอกาสอันดีที่จะได้รับรองท่านอาจารย์และคณะ เป็นกลุ่มแรก ก็มีความรู้สึกดีใจที่พี่วินัยกับคุณบันได้ให้โอกาสนี้ด้วย
ซึ่งถ้าเปิดจริงๆ เนื่องจากว่าที่พักที่นี่ เปิดจริงๆ นี่ ผมว่าเราคงจะไม่ค่อยมีโอกาสที่จะมาพัก เพราะว่าราคาคงจะแบบ (หัวเราะ) ต่างจากที่ทั่วๆ ไปมาก ก็ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีมาก ก็เลยอยากจะขออนุญาตให้ข้อมูลตรงนี้กับท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์วิทยากรไว้ในเบื้องต้น ในฐานะที่ท่านเจ้าของโรงแรมท่านก็มีความปลื้มใจที่ได้มีโอกาสได้จัดงานนี้ด้วย
สำหรับในการที่มาพักผ่อนนี้ ก็ได้ปรึกษากับอาจารย์คำปั่นว่า ถ้าพักผ่อนของเราก็ต้องมีการสนทนาธรรมกันด้วย ถือว่าเป็นการพักผ่อนกันน่าจะเป็นการพักผ่อนที่แท้จริง จริงๆ (หัวเราะ) คือถ้าจะไปทำอย่างอื่นก็อาจจะไม่ใช่ ก็เลยมีช่วงบ่ายเป็นเวลาสักประมาณชั่วโมง ชั่วโมงเศษๆ มีโอกาสที่จะได้กราบเรียนท่านอาจารย์เรื่องธรรม
ซึ่งเรื่องแรกเลยก็อยากจะสนทนากับทางคุณบันเองซึ่งมีความสนใจตรงนี้ ให้ได้เข้าใจจริงๆ ว่าปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับคำสอนของพระพุทธองค์ กับการทำธุรกิจอะไรต่างๆ ที่ดูเหมือนว่าไม่สอดคล้องหรือว่าตรงข้ามกันนี่ เราจะมีความเข้าใจอย่างไรบ้าง ซึ่งตรงนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญ เพราะว่า การที่เราเพียงแต่ว่านับถือพระพุทธศาสนา แล้วก็ฟังธรรมมาบ้าง ไม่น่าจะพอที่จะทำให้เราเข้าใจในการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องได้ ตรงตามคำสอน ตรงนี้เป็นเรื่องที่สำคัญ
ดังนั้น เรื่องที่สนทนาในหัวข้อแรกเลย อยากจะให้คุณบัน ได้มีโอกาสได้สนทนาสบายๆ กับท่านอาจารย์ ว่าปัญหาของเราที่คาใจอยู่ในเรื่องนี้ มีอะไรบ้าง และท่านก็จะได้มีโอกาสร่วมกันพิจารณาและซักถามให้กระจ่างขึ้น ในเรื่องนี้
คุณบัน : ครับ ก็ขอกราบสวัสดีทุกท่านด้วยนะครับ พอดีไม่ได้เตรียมตัว แต่ว่า พอที่อาจารย์ถามมาว่าสนใจธรรมไหม ก็กราบเรียนว่าสนใจ แต่ว่า ปัญหาที่เราทำธุรกิจอย่างนี้ มันขัดแย้งกัน คือ มันมีนกพิราบเข้ามาอาศัยอยู่ในโรงแรมเยอะมาก
ซึ่งถ้าเราทำธุรกิจโรงแรม นกพิราบมีเชื้อโรค มีมูล มีอะไร แล้วก็เกาะตามตึกต่างๆ ตามห้องพัก สร้างความสกปรกให้กับทางโรงแรม แล้วก็น่าจะไม่สะดวกสำหรับลูกค้าที่จะมาพัก
ซึ่งผมเองในฐานะผู้บริหารต้องตัดสินใจ ซึ่งมันก็จะขัดหลักธรรม หรือพูดง่ายๆ ผิดศีลแน่นอน คือ แทบจะหาวิธีไม่ได้ คือ เราทำทุกทางแล้ว เปิดคลื่นเสียง ทำกริ่ง พ่นกลิ่นให้เขาไม่อยู่ แต่สุดท้ายเขาก็กลับมา ตอนนี้มันไปถึงปลายทางที่ต้องตัดสินใจแล้วว่า เราจะจ้างบริษัทเหยี่ยวมากำจัดเลยไหม
มันก็จะขัดแย้ง คนที่ต้องเคาะมันเป็นผม ซึ่งมันก็เหมือนกับเราต้องทำบาปโดยปริยาย ซึ่งผมก็ไม่ได้อยากจะทำ แต่ว่า มันเกิดถูกบังคับด้วยหน้าที่ ครับ
ท่านอาจารย์ : วันนี้ ถ้าคุณแม่คุณบันทราบคงจะปีติยินดี ที่ท่านได้สนใจธรรม และตอนนี้คุณบันก็สนใจธรรม สนใจที่จะประพฤติตาม แต่มีใครที่จะประพฤติตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า?
เพราะฉะนั้น ทุกคนก็เกิดมาแล้วก็มีปัญหาเยอะ เต็มโลก แล้วใครจะเป็นคนแก้ปัญหา? ซึ่งทุกคนมี ทุกคนก็วิ่งไปหาคนโน้น คนนี้ คนนั้น ขอคำปรึกษาต่างๆ แต่เราลืม ไม่ทราบคุณบัน คิดถึงพระรัตนตรัยหรือเปล่า รัตนที่ประเสริฐสุด ๓ อย่าง บางคนก็พูดเสมอเลย แต่ว่า "รู้จัก" จริงๆ หรือเปล่า?
รัตนะเป็นสิ่งที่ประเสริฐสูงสุด คิดว่าอะไรสูงสุดที่สุด? เห็นไหม ต้องไตร่ตรอง ตั้งแต่เริ่มต้น ไม่อย่างนั้นเราจะไม่เห็นค่าเลย เขาบอกกันว่า ไม่มีผู้ใด มีพระปัญญา และพระมหากรุณา เสมอเท่ากับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ยิน แต่ก็ยังไม่มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ว่า พระปัญญาคืออะไร แก้ปัญหาของโลก ทุกโลก เทวโลก พรหมโลก
ขณะอยู่บนสวรรค์ ยังมีปัญหามาทูลถาม แล้วเราเป็นมนุษย์ ปัญหาจะเยอะสักแค่ไหน เพราะว่าชีวิตความเป็นอยู่ก็ต่างกัน ทุกคนมีปัญหาทั้งนั้น!! แม่ครัวมีปัญหาไหม? คนขายของที่ตลาด ปลาสดพวกนี้ มีปัญหาไหม? หรือแม้แต่ขายหมู ที่ฆ่าแล้ว ก็ตามแต่ เพราะฉะนั้น ปัญหาทั้งหมด ไม่จบ ประจำโลก เพราะความไม่รู้!!
เพราะฉะนั้น ทุกคน อยากจะเป็นคนดี ถ้ารู้ว่าความดี ดีกว่าความไม่ดีมากมายมหาศาล ตรงกันข้าม ฟ้ากับดิน แต่ทำไมไม่เป็นอย่างนั้น? เพราะว่า ไม่สามารถจะเป็นได้ ด้วยความไม่รู้!! (ติดตามการสนทนาช่วงต่อไปได้ในบันทึกการสนทนาช่วงบ่ายวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๘ ทางยูทูป)
ท่านอาจารย์ : (ช่วงต้นของการสนทนาธรรมในวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘) ก่อนอื่น ขอตอบปัญหาที่ค้างของคุณบัน เพราะว่าฟังแล้วก็คงจะมีปัญหาที่ต้องคิด ว่าแล้วเราจะทำอย่างไร? แล้วเราจะอยู่อย่างไร? ข้อสำคัญก็คือว่า ไม่มีเรา!! แต่มี "การไตร่ตรอง" ซึ่งเป็นธรรม
เพราะฉะนั้น เมื่อวานนี้ เราพูดถึงสิ่งที่มีจริงๆ ไม่ว่าอะไรทั้งหมด "เป็นธรรม" เพราะเหตุว่า มีจริง เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า "ทรงตรัสรู้ความจริง" ของ "สิ่งที่มีจริงๆ "
แต่ละคำ ไม่เผินเลย!! เดี๋ยวนี้ไม่ใช่ปัญหาเรื่องปลวก ไม่ใช่ปัญหาเรื่องนกพิราบ แต่เป็นเรื่อง "เห็น" ที่กำลังเห็น ไม่ว่าจะคิดอะไร ขณะนั้น ถ้าไม่ใช่ตาบอด ก็จะต้องมี "เห็น" ซึ่ง "เกิดแล้ว!!" เราไม่เคยคิดเลย ว่า "เห็นเกิดแล้ว!!" แต่เป็น "เราเห็น" ตลอด
แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงทุกๆ อย่าง โดยประการทั้งปวง ชัดเจน ประจักษ์แจ้ง จึงทรงพระนามว่า "พุทธะ" พระอรหันต์ ดับกิเลสหมด เพราะความรู้ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้สิ่งที่มีจริง ตามความเป็นจริง
นี่แสดงว่า ถ้าเราไม่ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า "เราคิดเอง" เยอะมาก!! เพียงได้ยินคำของพระองค์ ข้ามแล้ว รู้จักธรรมจริงๆ หรือเปล่า? ว่าธรรมอะไร? เดี๋ยวนี้มีไหม? ถ้าไม่มีสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้อะไร?
ถ้าใช้คำว่า "ตรัสรู้" คือ รู้ความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้!! แสดงว่า เดี๋ยวนี้ไม่ได้ปรากฏความจริงให้ใครๆ รู้ จนกว่า ปัญญาจะเริ่มเข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ประมาท แม้คำเดียว!! เพราะ "เป็นเบื้องต้น" ของการที่จะรู้ความจริง ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดง ไม่มีใครรู้เลย ๔๕ ปี ได้ยินคำไหนก็คิดเองหมด!! จะบรรลุ บรรลุอะไรก็ไม่รู้?
เพราะฉะนั้น ปัญหาอย่างนี้จะต้องมีตลอดไป เพราะว่าจะต้องมีเรื่องการจะฆ่าสัตว์ หรือไม่ฆ่าสัตว์ แต่ว่า ถ้าเรามีความมั่นคง การฆ่า ไม่ว่าอะไรทั้งหมด ไม่ว่าจะคนหรือสัตว์ ในสิ่งที่มีชีวิตจึงใช้คำว่าฆ่า ถ้าเราตัดต้นไม้ เราไม่ได้ฆ่าต้นไม้
แต่ถ้าเราทำร้ายสภาพที่รู้ ให้หมดสิ้นไป ฆ่าเขาตาย หรือแม้ว่าจะเป็นไม่ใช่เขา เป็นมด เป็นจิ้งจก เป็นแมลงหวี่ แมลงวัน อะไรก็ตาม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า ธรรมอย่างหนึ่ง ที่มีจริง คือ "ความจงใจ ความตั้งใจ"
พระองค์ทรงประจักษ์แจ้ง "ลักษณะธรรม" ทั้งหมด แม้แต่ "ความจงใจ" ไม่ใช่ผิวเผิน แต่สามารถจะรู้ได้ เราตั้งใจทำอะไร? ทั้งหมด เป็นสภาพธรรมที่จงใจหรือตั้งใจ ลึกยิ่งกว่านั้น!! สภาพนี้เกิดขึ้นกับจิตทุกขณะ พูดว่าจิต ยังไม่ชัดเจน จนกว่าจะรู้ว่า จิตคืออะไร เพราะฉะนั้น ทุกคำ จากการที่ได้ทรงตรัสรู้ทั้งหมด ลึกซึ้งอย่างยิ่ง
ด้วยเหตุนี้ ตราบใดที่มีสิ่งที่มีชีวิต ทั้งโลก ไม่ว่าที่ไหน เจตนาที่จะเบียดเบียน ทำร้าย ไม่มีใครเห็นว่าดีเลย ใช่ไหม ทำร้ายคนอื่น หารู้ไม่ว่าขณะนั้น ทำร้ายใจของตัวเองก่อน คือ ใจร้าย!! ถูกต้องไหม? คิดร้ายเมื่อไหร่ ใจไม่ดี ใจร้าย!!
เพราะฉะนั้น เราไม่สามารถที่จะเว้นการฆ่าของคนทั้งโลกได้!! แต่เราเป็นคนหนึ่ง ที่เริ่มมีความเข้าใจถูก แม้ไม่ละเอียด แม้ไม่ถ่องแท้ แต่ก็เริ่มรู้ว่า ใจร้าย เมื่อคิดร้าย!!
เพราะฉะนั้น เราไม่มีเจตนาที่จะฆ่าปลวก ฆ่ามด ฆ่ายุง แน่นอน!! แต่ทุกคนก็ตาย โดยเราไม่ได้ไปฆ่า ตามกรรมที่ได้กระทำแล้ว จะตายแบบไหนก็เลือกไม่ได้ด้วย เพราะฉะนั้น หนทางสำหรับผู้ที่ครองเรือน ก็คือว่า จะต้องมีการที่จะทำลายยุงบ้าง แมลงบ้าง หรืออะไรบ้าง ก็แล้วแต่ว่าจะเป็นอาชีพอะไร
แต่ถ้าเรามีความเข้าใจที่มั่นคง "เราไม่มีเจตนา!!" จะทำนา เราก็ตั้งใจที่จะปลูกข้าว ไม่ได้เจตนาที่จะไปประทุษร้าย สัตว์เล็ก สัตว์น้อย ที่อยู่ใต้ดินหรืออะไรก็ตามแต่ เพราะฉะนั้น "เจตนา" สำคัญมาก พระอรหันต์ตาบอด เดินออกกำลัง เหยียบมด ไม่มีเจตนาเลย เพราะว่าหมดกิเลส
เพราะฉะนั้น สำคัญที่สุดคือ เราจะต้องรู้ความละเอียดอย่างยิ่ง ของสิ่งที่ไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง เพราะเหตุว่า ปรากฏตามความเป็นจริงกับพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วทรงแสดงให้เรารู้ความละเอียดอย่างยิ่ง
ไม่ใช่เชื่อทันที พิจารณา ไตร่ตรอง จริงหรือเปล่า ถ้าเราเองพิจารณาไตร่ตรอง คนอื่นจะบอกว่าไม่จริง นั่นเรื่องเขา แต่ "เห็น" เดี๋ยวนี้ จริง ความจงใจ ความตั้งใจ แม้จะเดินมานั่งที่นี่ ก็ต้องมี ทุกขณะ ละเอียดมาก
เพราะฉะนั้น เมื่อเราไม่มีเจตนา จงใจ ที่จะฆ่าสัตว์ แต่เราสามารถป้องกันได้ จะโดยวิธีใดก็ตามแต่ อย่างที่เคยเล่าให้ฟังว่า นั่งอยู่ในรถ แล้วก็ฝนตกหนัก แมลงสาปก็ออกมาเพ่นพ่าน รถก็วิ่งไปขวักไขว่ ไม่มีตัวใดตายเลยสักตัว
เพราะฉะนั้น เราไม่ได้มีเจตนาจะฆ่า แต่มีเจตนาจะป้องกัน อาจจะใช้บริการบริษัทไหนก็ได้ ใช่ไหม ดูแล โดยเขามีหน้าที่ ที่จะดูแล ขณะที่ป้องกัน ไม่ได้ฆ่า เพราะเหตุว่า เหมือนแมลงสาปบนถนน รถวิ่งขวักไขว่ แต่ยานั้นก็ไม่สามารถไปทำอะไรได้ และ ถ้าศึกษาต่อไป จะยิ่งเห็นความละเอียดอย่างยิ่ง
นี่คือการบูชาคุณ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยการฟังคำของพระองค์ ด้วยการพิจารณาไตร่ตรอง " เข้าใจเมื่อไหร่ เริ่มรู้คุณ" ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า!!
ถ้าไม่เข้าใจ นับถือพระพุทธศาสนา ศาสนาคืออะไร? คำสอนของผู้ที่ตรัสรู้ พุทธะ คำนี้เป็นปัญญาที่ประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรม ไม่ใช่ปัญญาธรรมดา เป็นอภิสมัย ในสังสารวัฏ ไม่เคยเกิดเลย ก็สามารถที่จะมีปัญญา ถึงระดับ ดับกิเลส แต่ไม่ใช่อย่างนั้น ว่าดับหมดทีเดียว ตามระดับขั้น
เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรม ถ้าเคารพเมื่อไหร่ ศึกษาโดยความละเอียดยิ่งเมื่อนั้น แต่ถ้าศึกษานิดๆ หน่อยๆ ไม่สามารถจะเข้าถึงความลึกซึ้งได้ ก็มีปัญหาอย่างที่เราคิด จะทำอย่างไรดี อย่างนั้น อย่างนี้
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลอันละเอียดประณีตอย่างยิ่งของคุณจักรกฤษณ์ คุณชฎาพร เจนเจษฎา และครอบครัว มา ณ ที่นี้ ด้วยครับ
และขอขอบพระคุณ คุณวิภวิน ธาดาสีห์ คุณเกศชนก จีระวัฒนา ธาดาสีห์ และพนักงานทุกท่านของ Maison Mystique ที่ให้การดูแลต้อนรับอย่างดียิ่ง
ขอเชิญติดตามบันทึกการสนทนาธรรมในครั้งนี้ ได้ที่ลิงก์ด้านล่าง :
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
แต่ละคำองค์พระศาสดา จักศึกษาจนเข้าใจ หนักแน่นไม่หวั่นไหว ด้วยมั่นใจในอนัตตา กราบอาจารย์สุจินต์ให้ เมตตาได้ทุกเวลา อีกเปี่ยมความกรุณา น้อมศรัทธาอาจารย์เทอญฯ
สนทนาธรรมเกิดขึ้น กุศลมี ฟังธรรมะในดิถี ถูกต้อง อาจารย์สุจินต์ศรี เป็นหลัก จิตเจตสิกเดินสอดคล้อง มั่นแฟ้นคำจริง
กราบบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ