สิ่งที่ควรรู้ยิ่งก็คือสภาพธรรมะแต่ละอย่างทั้งหมดที่ปรากฏให้รู้ตามความเป็นจริง
จากการสนทนาพระสูตรในอังคุตตรนิกาย เอกนิบาต ที่ มศพ. ๓ มิ.ย. ๖๐
ขณะไหนไม่เป็นสิ่งที่ไม่ควรรู้ยิ่ง ... ไม่มี ก็ตรงแล้วไง ... เบื่อไหม ถ้าเบื่อเมื่อไหร่ก็คือนั่นแหละที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเตือน เกียจคร้านในธรรมวินัยที่กล่าวไว้ดีแล้ว ... ไม่ได้เตือนใคร ... เตือนพุทธบริษัท
บางคนอาจศรัทธาฟังธรรมะบ้าง แต่ศรัทธาเกิดและดับ ก็มีความรู้สึกว่าพอแล้ว ... ฟังเยอะแล้ว ไปดูหนังดีกว่า เรื่องนี้ก็ฟังแล้ว เรื่องนั้นก็ฟังแล้ว แม้ขณะนั้นควรรู้ยิ่งหรือเปล่า!!! ขณะนั้นก็ควรรู้ยิ่งในความคิดนึกขณะนั้นว่าแม้ควรรู้ยิ่งแต่ก็เบื่อ อกุศลทำได้ถึงขนาดว่ามีความเป็นไปที่จะให้เบื่อตามความจริง ขณะนั้นก็ควรรู้ยิ่งในอกุศลที่เบื่อ ทั้งหมด ทุกอย่างควรรู้ยิ่ง ฟังอย่างนี้ไม่เดือดร้อนเลยใช่ไหม!!! ทุกอย่างควรรู้ยิ่งแต่ยังไม่ถึงเวลาจะรู้ไม่ใช่หรือ!!! แล้วไปเดือดร้อนอะไร ไม่ได้ไปห้าม ไม่ได้บอกให้ไปอยู่ที่ไหน ไปพยายามทำอะไร แต่ทั้งหมดควรรู้ยิ่งและไม่สามารถรู้ได้โดยการที่ไปทำสิ่งที่จะรู้ แต่ไม่รู้เลยว่านั่นไม่ใช่หนทาง พอรู้ว่าไม่สามารถบังคับบัญชาอะไรได้เลยทั้งสิ้น แม้เดี๋ยวนี้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดเป็นสิ่งที่ปัญญารู้ได้เมื่อสมควรแก่ความเข้าใจระดับนั้นจะเกิดขึ้น แต่ความเข้าใจระดับนั้นจะมาจากไหน ถ้าไม่มีการฟังว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง แล้วจะหนีไปไหน ฟังเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนใจว่าทำไมไม่รู้ เมื่อไหร่จะรู้ ต้องไปเพียรที่จะรู้ ให้รู้ว่าทั้งหมดนั้นไม่ถูกต้อง ไม่ใช่หนทางที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ กำลังเบื่อเป็นตัวตนที่เบื่อแล้วจะเข้าใจได้อย่างไร เป็นตัวตนที่จะหาหนทางอื่นที่จะพ้นไปจากสิ่งต่างๆ เหล่านี้เพราะไปหวังอย่างอื่น แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าไม่ใช่เรา ธรรมะเป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง ทุกอย่างหมดไม่เว้นเลยควรรู้ยิ่ง แต่ไม่ใช่เราไปเพียรทำให้รู้ แต่ต้องเป็นความเข้าใจธรรมะที่เกิดจากการค่อยๆ เข้าใจขึ้น ทั้งๆ ที่ความจริงเป็นอย่างนี้ วันไหนจะรู้ ... อีกนานไหม ... เพราะสะสมความไม่รู้มานานมาก ต้องไม่ลืม ... วันไหนจะรู้ก็คืออีกนานมากกว่าจะรู้
ทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสกับผู้ที่กำลังอยู่เฉพาะหน้า เหมือนเราเวลานี้มีพระบรมสารีริกธาตุส่วนหนึ่งของพระกายซึ่งครั้งหนึ่งประชุมรวมกัน แล้วก็ตรัสคำนี้ให้คนได้ฟังเหมือนอย่างนี้เลย คำนั้นยังคงมีอยู่และคำนั้นก็ต้องเป็นความจริงไปโดยตลอดที่จะทำให้คนฟังได้เป็นประโยชน์อย่างยิ่งของการฟัง แม้จะฟังซ้ำแล้วซ้ำอีกก็รู้ประโยชน์ว่าก็ยังไม่รู้ว่าเห็นขณะนี้เกิดแล้วดับแล้วจะไม่ฟังหรือ จะเว้นหรือ แล้วเมื่อไหร่จะรู้!!!
การฟังพระธรรมคือละความเป็นเราตามปกติว่าทุกอย่างเกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย จะคิดอย่างไรก็ตามเหตุตามปัจจัย เป็นธรรมะทั้งหมดจนกว่าจะไม่เหลือความเป็นเราในแต่ละหนึ่งของธรรมะ ทั้งขันธ์ ๕ หมายความถึงสภาพธรรมะทั้งหมดเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้เราทำประโยชน์กับตนเองหรือเปล่า!!! พระสูตรนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสกับพวกเรานี้แหละ เตือนผู้ที่กำลังฟังให้รู้ตามความเป็นจริง
กราบบูชาคุณท่านอ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพยิ่ง
ขณะไหนไม่เป็นสิ่งที่ไม่ควรรู้ยิ่ง...ไม่มี ก็ตรงแล้วไง...เบื่อไหม ถ้าเบื่อเมื่อไหร่ก็คือนั่นแหละที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเตือน เกียจคร้านในธรรมวินัยที่กล่าวไว้ดีแล้ว...ไม่ได้เตือนใคร...เตือนพุทธบริษัท
..กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ และขออนุโมทนาในกุศลวิริยะคุณหลาน Nattawan ด้วยค่ะ..
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้าที่ 92
๗. สัพพสูตร ว่าด้วยละสรรพธรรมทั้งปวงล่วงทุกข์ได้
[๑๘๕] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว พระสูตรนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้นข้าพเจ้าได้สดับมา
แล้วว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่รู้ยิ่งซึ่งธรรมที่ควรรู้ยิ่งทั้งปวง ไม่กำหนด
รู้ธรรมที่ควรกำหนดนั้น ยังละกิเลสวัฏฏ์ไม่ได้ เป็นผู้ไม่ควรเพื่อความสิ้นทุกข์
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ส่วนภิกษุรู้ยิ่งธรรมที่ควรรู้ยิ่งทั้งปวง กำหนดรู้ธรรมที่ควร
กำหนดรู้ทั้งปวง ยังจิตให้คลายกำหนัด ในธรรมที่ควรรู้ยิ่งและธรรมที่ควร
กำหนดรู้นั้น ละกิเลสวัฏฏ์ได้ เป็นผู้ควรเพื่อความสิ้นทุกข์.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า
ผู้ใดรู้ธรรมเป็นรูปในภูมิ ๓ ทั้งปวง
โดยส่วนทั้งปวง ย่อมไม่กำหนัดในสักกาย-
ธรรมทั้งปวง ผู้นั้นกำหนดรู้ธรรมเป็นไป
ในภูมิ ๓ ทั้งปวงแล้ว ล่วงทุกข์ทั้งปวงได้
โดยแท้.
เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้า
ได้สดับมาแล้ว ฉะนั้นแล.
จบสัพพสูตรที่ ๗
ขออนุโมทนาครับ
ยินดีในกุศลจิตค่ะ