นรก-สวรรค์
โดย Chameza007  1 พ.ค. 2554
หัวข้อหมายเลข 18281

นรก-สวรรค์มีจริงหรือเปล่าครับ?



ความคิดเห็น 1    โดย paderm  วันที่ 1 พ.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

นรก สวรรค์มีจริงหรือไม่ พระพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่องสวรรค์และนรก เพื่อให้เห็นว่า

กรรมมี ผลของกรรมก็ย่อมมี กรรมดีเมื่อได้ทำ ผลก็ย่อมมี กรรมชั่วเมื่อได้ทำลงไป ผลก็

ย่อมมีจากผลของการทำชั่ว หากเราจะตัดสินสิ่งที่มีจริง ด้วยการเห็นเท่านั้น หาก

ไม่ได้เห็นก็บอกว่าไม่มีจริง คงตัดสินแค่นั้นไม่ได้ครับ สิ่งที่ไม่เห็นแต่มีจริงก็ได้ ดังนั้น

จึงเป็นเรื่องของเหตุ ผล และเมื่อบุคคลเห็นด้วยตาตัวเองแล้วจึงเชื่อ แต่สำหรับผู้มี

ปัญญาแล้ว ย่อมเชื่อในสิ่งที่แม้ไม่ได้เห็น เพราะเป็นเรื่องของเหตุและผลที่เป็นไปตาม

ความเป็นจริง ในโลกมนุษย์ที่เห็นๆ กันอยู่ ทำไม บางคนถึงได้รับความสุข เกิดมาพบ

สิ่งดีๆ เป็นส่วนมาก ทำไมบางคนถึงได้รับความทุกข์ทรมาน ทางกายมากกว่าคนอื่น

ทุกอย่างต้องมีเหตุ ไม่ใช่เกิด ขึ้นมาลอยๆ ครับ ในการได้รับสุข ได้รับ ทุกข์ ผู้ทีได้รับ

ความสุขทางกายที่ดี ก็ย่อมเกิดจากเหตุ ที่ดีคือการกระทำ กุศลกรรม ทำสิ่งที่ดี ผู้ที่ได้

รับสิ่งที่ไม่ดีทางกาย หรือทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็ย่อมเกิดจากเหตุที่ไม่ดี เกิดจากการ

กระทำที่ไม่ดีที่เป็นอกุศลกรรมนั่นเอง เพราะฉะนั้น จึงเป็นเรื่องของเหตุและผล ทำ

กรรมดีก็ย่อม ได้รับสิ่งที่ดี ทำกรรมชั่วก็ย่อมได้รับสิ่งที่ไม่ดีครับ


ความคิดเห็น 2    โดย paderm  วันที่ 1 พ.ค. 2554

บนโลกเราทำไมบางคนอาจโดนไฟไหม้ตัวเอง แต่ระยะเวลาไม่นาน แล้วจะมี

สถานที่อื่นไหมที่ถูกไฟเผาตัวเองเป็นเวลานาน ทำไมคนอื่นไม่ถูกไฟไหม้แต่ทำไม

ต้องเป็นคนนี้เพราะกรรมที่ไม่ดีของคนนั้นให้ผล แล้วถ้ากรรมที่ไม่ดีที่มีมาก มีกำลัง

ผลก็ย่อมรุนแรงกว่านี้ ย่อมจะมีสถานที่ที่ได้รับการถูกเผาด้วยไฟนานกว่านั้น นี่เราพูด

ถึงเรื่องของเหตุและผล ว่ากรรมที่ทำที่เป็นกรรมไม่ดี ก็มีตั้งแต่มีกำลังน้อยก็ให้ผลไม่

มาก จนถึงกรรมไม่ดีที่มีกำลังมาก การให้ผลก็ย่อมให้ผลในทางที่ไม่ดีมาก อันมีสถาน

ที่ที่สมควรแก่การรับผลในทางที่ไม่ดี มี นรก เป็นต้น สัตว์เดรัจฉานบางประเภทก็ถูก

ฆ่าอย่างทารุณ แต่ระยะเวลาไม่นาน นี่เราพอจะเห็นได้ เป็นนรกของสัตว์หรือเปล่า

ซึ่งก็ต้องเป็นเพราะผลของกรรมที่ไม่ดี แต่จะมีสถานที่อื่นไหมที่จะต้องได้รับการฆ่า

ทรมานมากกว่านั้นเพราะกรรมชั่วที่ทำนั้นมีกำลังมากจึงต้องมีสถานที่ที่เหมาะสมในการ

รับผลของกรรม ตามกำลังของกรรมชั่วที่ทำไว้

โดยนัยเดียวกับเรื่องของสวรรค์ ในโลกมนุษย์ก็มีผู้ที่ได้รับความสุข ได้พบสิ่งที่ดี

นั่นเป็นผลของกุศลกรรมที่เขาทำไว้ให้ผล แต่หากเป็นกุศลกรรมที่มีกำลัง ประณีต ผล

ของกุศลนั้นก็ย่อมให้สิ่งที่ดีมากกว่านี้ ได้เห็นสิ่งที่ดี ได้ยินสิ่งที่ดี เป็นต้น อันมีสถานที่

ที่เหมาะสมกับการได้รับผลของกรรมที่เป็นกรรมที่ดี ประณีต มีกำลัง มีสวรรค์ เป็นต้น

จะเห็นได้ว่า เป็นเรื่องของเหตุและผล เป็นเรื่องของกรรมและผลของกรรม กรรมดีมี

กรรมที่ดี ประณีตมากๆ ก็ย่อมมีสถานที่ที่เหมาะสมในการรับผลของกรรมที่ทำดี กรรมไม่ดี

มีจริง และถ้าเป็นกรรมชั่วที่มีกำลังมาก ก็ย่อมมีสถานที่เหมาะสมในการับผลของกรรมที่

เป็นกรรมดี มีสวรรค์ เป็นต้น


ความคิดเห็น 3    โดย paderm  วันที่ 1 พ.ค. 2554

ส่วนในความเป็นจริงใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อนั้นจึงเป็นไปตามความคิดนึก ความเข้าใจ

ของแต่ละบุคคล ไม่เห็นจะกล่าวว่าสิ่งนั้นไม่มีไม่ได้แต่การจะรู้ว่ามีหรือไม่มีนั้นจึงเป็น

การเห็นด้วยปัญญา เข้าใจตามโดยไม่ได้เชื่อตามตำรา แต่เพราะพิจารณาเหตุผลตามที่

พระพุทธองค์ทรงแสดง ย่อมเข้าใจความจริงว่า เมื่อเหตุมีผลก็ย่อมมี เมื่อทำกรรมดีที่มี

กำลังก็ย่อมมีสถานที่ที่เหมาะสมในการับผลของกรรม เช่นเดียวกับกรรมชั่วที่มีกำลังเมื่อ

ให้ผลก็ย่อมมีสถานที่ที่เหมาะสมในการรับผลของกรรมครับ พระพุทธองค์ทรงแสดง

เรื่องนรก-สวรรค์ เพื่อให้สัตว์ทั้งหลายเห็นโทษของอกุศลกรรมและเห็นประโยชน์ของ

กุศลกรรม พระธรรมของพระพุทธเจ้าจึงเป็นเรื่องของเหตุผลครับ

ในพระไตรปิฎก ได้มีการซักถามและการพูดคุยในเรื่องของภพภูมิข้างหน้าที่เป็นนรก

และสวรรค์ว่ามีจริงหรือไม่ ในปายาสิราัชัญญสูตร พระเจ้าปายาสิ ไม่เชื่อในเรื่องโลก

หน้า ไม่เชื่อในเรื่องนรก สวรรค์ พระกุมารกัสสปะ ผู้เป็นเลิศในการกล่าวธรรมวิจิตร ได้

แก้ข้อสงสัยและความเชื่อผิดของพระเจ้าปายาสิที่เชื่อว่าไม่มีโลกหน้า ไม่มีนรก สวรรค์

ซึ่งท่านพระกุมารกัสสปะ ได้แก้ความเข้าใจผิดที่พระเจ้าปายาสิกล่าวแย้งได้เป็นอย่างดี

เมื่อได้อ่านแล้วจะทำใ้เข้าใจเรื่อง นรก สวรรค์มีจริงหรือไม่ครับ ขออนุโมทนาครับ

เชิญคลิกอ่านที่นี่........นรก-สวรรค์มีจริงหรือไม่ ตอนที่ 1 [ปายาสิราชัญญสูตร]

นรก-สวรรค์มีจริงหรือไม่ ตอนที่ 2 [ปายาสิราชัญญสูตร]

นรก-สวรรค์มีจริงหรือไม่ ตอนที่ 3 [ปายาสิราชัญญสูตร]

นรก-สวรรค์มีจริงหรือไม่ ตอนที่ 4 [ปายาสิราชัญญสูตร]

เชิญคลิกอ่านกระทู้เพิ่มเติมครับ

นรก และเหตุที่ทรงแสดงภูมิต่างๆ

จะพิสูจน์อย่างไรว่านรก สวรรค์มีอยู่จริงหรือไม่

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์


ความคิดเห็น 4    โดย khampan.a  วันที่ 1 พ.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น เมื่อพูดถึงสวรรค์ และ นรก บุคคลบางคนอาจจะไม่เชื่อว่าเป็นภพภูมิที่มีจริง หรือ บางคนอาจจะเข้าใจว่า ไม่มีจริง เป็นเพียงเรื่องราวที่แต่งขึ้นเพื่อเป็นเครื่องเตือนให้ละอายชั่วกลัวบาป เท่านั้น เป็นต้น แต่เมื่อได้ศึกษาพระธรรมคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ได้รับความกระจ่างชัดในเรื่องนี้มากทีเดียว จึงขออนุญาตร่วมอธิบายเพื่อให้เข้าใจพอสังเขป (โดยย่อ) ดังต่อไปนี้ สวรรค์ และ นรก เป็นภพภูมิที่มีจริง เช่นเดียวกับโลกนี้ซึ่งเป็นโลกๆ หนึ่ง เมื่อเกิดในโลกนี้ ก็รู้ว่าโลกนี้มีจริง เมื่อยังอยู่ในโลกนี้ก็ยังไม่เห็นสวรรค์ ไม่เห็นนรก (แต่ก็เคยไปเกิดมาแล้วทั้งนั้น เพราะสังสารวัฏฏ์ยาวนาน เราเกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน เป็นมาแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง และยังจะต้องเกิดอีกต่อไป ตราบใดที่ยังไม่สามารถดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด) แต่เมื่อละจากโลกนี้ไปแล้ว ไปเกิดในสวรรค์ หรือ เกิดในนรก เมื่อนั้นก็จะรู้ได้ว่า สวรรค์ หรือ นรก นั้น มีจริงๆ เมื่อได้กระทำกรรมดีสมควรแก่การเกิดในสวรรค์ชั้นต่างๆ กรรมนั้นก็ให้ผลทำให้เกิดในสวรรค์ชั้นนั้นๆ และเมื่อนั้นก็จะรู้ว่า สวรรค์ก็คือโลกๆ หนึ่ง เป็นภพภูมิหนึ่ง ซึ่งก็เหมือนโลกนี้ แต่รูป เสียง กลิ่น รส และสิ่งที่กระทบสัมผัสกาย ประณีตกว่าโลกมนุษย์ จึงชื่อว่า สรรค์ ในทางตรงกันข้าม นรก ก็เป็นอีกภพภูมิหนึ่ง เป็นภพภูมิที่มีจริง แต่เป็นอบายภูมิ ซึ่งเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานประการต่างๆ เป็นภพภูมิที่ปราศจากความเจริญหมดโอกาสที่จะได้เจริญกุศลทุกประการ ไม่มีใครอยากไปเกิดในนรก แต่ก็ไม่สามารถเป็นไปตามที่ใจต้องการ ได้ ถึงแม้จะบอกว่าไม่อยากไปเกิดในนรก ก็ไปเกิดได้ทั้งนั้นทุกเพศ ทุกวัย ทุกสาขาอาชีพ ถ้าเป็นผู้ประมาทมัวมัว กระทำอกุศลกรรมประการต่างๆ มีฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ เป็นต้น ซึ่งเป็นไปตามกรรมที่ตนได้กระทำแล้ว ไม่มีใครหยิบยื่นความทุกข์ทรมานให้ได้เลย นอกจากตนเองเท่านั้นที่ได้กระทำกรรมชั่วลงไป เมื่อถึงคราวที่กรรมชั่วให้ผล จึงทำให้ได้รับผลที่ไม่น่าปรารถนา เหล่านั้น เพราะฉะนั้น จึงแสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าจะไปเกิดในภพภูมิใด ก็เป็นเพียงที่พักชั่วคราวเท่านั้น แม้แต่มนุษย์โลกนี้เอง ก็เป็นเพียงที่พักชั่วคราวจริงๆ ไม่รู้ว่าเราจะละจากโลกนี้ไปเมื่อใด ทางที่ดีที่สุด คือ ไม่ประมาทในการเจริญกุศลทุกประการ และ ไม่ประมาทกำลังของอกุศล ด้วย ทุจริตแม้เล็กๆ น้อยๆ ถึงแม้ว่าคนอื่นจะไม่เห็น ก็ไม่ควรทำ เพราะความชั่ว แม้จะเล็กน้อย ก็เป็นความชั่ว เป็นโทษ เป็นภัยทั้งนั้น ทุจริตนั้น เมื่อได้กระทำลงไปแล้ว ย่อมตามเผาผลาญในภายหลัง คิดถึงเมื่อใด ก็ไม่สบายใจเมื่อนั้น และเมื่อถึงคราวที่อกุศลกรรมให้ผล ก็ทำให้เป็นทุกข์เดือดร้อนส่วน สุจริต ความดีทั้งหลาย แม้จะไม่มีใครเห็น ก็ควรทำ เพราะความดีทั้งหลายนำมาซึ่งความปราโมทย์อย่างเดียว ไม่นำความทุกข์ใดๆ มาให้เลย และความดีที่สำคัญที่สุด ที่ขาดไม่ได้เลย นั้น ก็คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ยิ่งๆ ขึ้นไป ความดีทั้งหลายในชีวิตประจำวัน จะค่อยๆ เจริญขึ้น เมื่อได้เป็นผู้เข้าใจพระธรรม อันเนื่องมาจากการได้ฟังพระธรรม นั่นเอง ครับ ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ เกิดในสวรรค์ เป็นผลของกุศลกรรม [วิมานวัตถุ] ความทรมานของสัตว์ในนรก [เทวทูตสูตร] ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


ความคิดเห็น 5    โดย เซจาน้อย  วันที่ 1 พ.ค. 2554
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

ความคิดเห็น 6    โดย จักรกฤษณ์  วันที่ 2 พ.ค. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 7    โดย wannee.s  วันที่ 2 พ.ค. 2554

พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม เรื่องทาน ศีล สวรรค์ โทษของกาม แสดงหนทาง

ที่ให้ออกจากกามคุณ จนถึงที่สุดบรรลุมรรค ผล นิพพาน ฯลฯ ธรรมทั้งหมด

เกิดจากเหตุ เกิดจากปัจจัย เมื่อรู้ตามการศึกษาว่านรก สวรรค์ มีจริง จุดประสงค์

เพื่อให้เห็นโทษของอกุศลกรรมที่เป็นเหตุไม่ดี และเห็นประโยชน์ของการเจริญกุศล

และน้อมประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสอน เพื่อวันหนึ่งจะได้พ้นทุกข์จากวัฏฏะค่ะ


ความคิดเห็น 8    โดย ธนฤทธิ์  วันที่ 2 พ.ค. 2554
ขอขอบคุณและขออนุโมทนาครับ

ความคิดเห็น 9    โดย Sensory  วันที่ 2 พ.ค. 2554

พระพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่องนรกสวรรค์ภพภูมิต่างๆ

เท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทราบว่านรกสวรรค์มีจริง ผลของกรรมมีจริง

เพราะพระพุทธองค์ทรงเป็นผู้ตรัสแต่คำจริง

เป็นบุคคลเดียวในโลกที่ค้นพบวิถีทางหลุดพ้น

สรรพวิชามากมาย หลายศาสตร์หลายแขนง

แต่แขนงที่บอกความจริงของชีวิต การเวียนว่ายตายเกิด

แนวทางที่จะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด

ก็มีแต่พระพุทธศาสนา

ไม่ใช่เรื่องของวิทยาศาสตร์หรือศาสตร์ทางโลก

เพราะเป็นศาสตร์ที่เป็นไปเพื่อการละ


ความคิดเห็น 10    โดย JANYAPINPARD  วันที่ 3 พ.ค. 2554

ในพระไตรปิฏกกล่าวว่านรก-สวรรค์มีจริง.ความเชือบางอย่างพิสูจน์ได้บางอย่างพิสูจน์ไม่ได้..ข้อที่ควรพิจารณาคือพระธรรมมีคำไหนบ้างที่ไม่จริง...ข้อความจากพระไตรปิฎก...... ดูก่อนจุนทะ ตถาคตตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิ-

ญาณ ณ ราตรีใด ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพาน-

ธาตุ ณ ราตรีใด ในระหว่างนี้ตถาคตภาษิตกล่าว ชี้แจง

คำใดไว้ คำนั้นทั้งหมด เป็นคำแท้จริงอย่างเดียว ไม่

เป็นอย่างอื่น เพราะฉะนั้นจึงเรียกกันว่า ตถาคต. เชิญคลิกอ่าน.... ตถาคต เพราะตรัสแต่คำจริงเป็นอย่างไร

ขออนุโมทนาคะ


ความคิดเห็น 11    โดย ไตรสรณคมน์  วันที่ 3 พ.ค. 2554

นรกและสวรรค์เป็นเพียงบัญญัติของ....การเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรสและกระทบสัมผัส

เมื่อมีการปฏิสนธิเพื่อให้ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรสและกระทบสัมผัสแต่สิ่งที่ประณีต

งดงามเป็นระยะเวลาอันยาวนาน เราจึงบัญญัติหรือเรียกชื่อการปฏิสนธิในภพภูมินั้นว่า

"สวรรค์"

ส่วนนรก....ก็โดยนัยตรงกันข้าม แบบจัดหนัก

สำหรับภูมิมนุษย์ ก็มีเคล้าคละปะปนกันไปทั้งเลวและประณีตปานกลาง แต่ในระยะ

เวลาที่สั้นกว่า ทั้งนี้ก็เป็นผลที่มาจากเหตุที่สัตว์ทั้งหลายได้กระทำไว้ในอดีต

ดังนั้นโลกที่แท้จริง (ที่รู้อารมณ์ได้) จึงมีเพียง ๖โลก แต่ทางที่จะรับผลของกรรมมี

เพียง ๕ ทาง (ตา หู จมูก ลิ้น กาย) ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อยู่ที่ภพภูมิใด.....ก็ไม่พ้นไป

จากนี้ ไม่ว่าเราจะบัญญัติใช้คำเรียกชื่อว่านรก สวรรค์ ฯลฯ หรืออะไรก็ตามแต่ค่ะ


ความคิดเห็น 12    โดย ไรท์แจกแล้วไง  วันที่ 3 พ.ค. 2554

โลกนี้ยังมีได้ แล้วทำไมโลกอื่นจะมีไม่ได้


ความคิดเห็น 13    โดย ponglanna  วันที่ 4 พ.ค. 2554
ขออนุโมทนาครับ

ความคิดเห็น 14    โดย Chameza007  วันที่ 4 พ.ค. 2554
ขออนุโมทนาครับ

ความคิดเห็น 15    โดย ธรรมะหน้าเดียว  วันที่ 23 พ.ค. 2554

พระพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่องภพภูมินรกในพระไตรปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาชย์ เล่ม ๓ ภาค ๒ เทวทูตรสูตร หน้า 197 เป็นต้นไป

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 16    โดย ตุ้ย  วันที่ 29 ส.ค. 2554
พระพุทธเจ้าทรงแสดงโปรดพระมารดาที่สวรรค์ชั้นดาวดึง พระเทวทัศถูกแผ่นดินสูบลงสู่อเวจีมหานรก นรกกับสวรรค์ผมเชื่อว่ามีแน่นอนครับ

ความคิดเห็น 17    โดย pavee  วันที่ 28 ส.ค. 2556

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 18    โดย dawhan  วันที่ 28 ส.ค. 2556

ขอขอบคุณและอนุโมทนาคะ