ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ประมวลสาระสำคัญ
จากการสนทนาพิเศษ
เรื่อง
"พุทธบริษัทกับการดำรงพระพุทธศาสนา"
ที่บ้านคุณทักษพล - คุณจริยา เจียมวิจิตร
วันศุกร์ที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๑
[ภาพขณะสนทนา]
[ทีมงานอาสาสมัครบันทึกวีดีโอการสนทนาพิเศษในครั้งนี้]
~ พุทธบริษัท คือ ผู้ที่รู้จักคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งก็ได้แก่ พระภิกษุ และนอกจากนั้นก็มีภิกษุณี แต่ในครั้งนี้ก็ไม่มีภิกษุณีแล้ว แต่ถ้าจะมีเฉพาะแต่ภิกษุเท่านั้น ก็คงจะไม่เป็นประโยชน์เท่ากับไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามจะเป็นภิกษุหรือไม่ใช่ภิกษุแต่สามารถที่จะเข้าใจพระธรรม เมื่อมีความเข้าใจพระธรรมแล้วก็พร้อมเพรียงกันช่วยกันทะนุบำรุงคำสอน คือ พระศาสนาให้ดำรงมั่นคง ด้วยเหตุนี้ นอกจากจะมีพระภิกษุแล้วก็มีอุบาสกอุบาสิกาด้วย อุบาสก คือ ผู้ชายที่มีความเข้าใจธรรม สนใจธรรม ประพฤติตามธรรมและช่วยกันทะนุบำรุงพระพุทธศาสนา อุบาสิกา คือ ผู้หญิง ไม่ได้ปฏิเสธว่าผู้หญิงศึกษาธรรมไม่ได้ รู้แจ้งอริยสัจจธรรมไม่ได้ ทำกิจของพระศาสนาไม่ได้ แต่เมื่อเป็นบริษัท ก็ต้องมีส่วนร่วมในการที่จะดำรงรักษาพระพุทธศาสนาซึ่งพระพุทธศาสนาจะดำรงอยู่ได้ ไม่ใช่ด้วยเหตุอื่นเลยทั้งสิ้น นอกจากคำสอนที่มีผู้เข้าใจถูกต้องมั่นคงไม่ลบเลือนจึงสามารถที่จะดำรงอยู่ได้ เพราะเหตุว่า สถานที่ไม่สามารถที่จะดำรงพระพุทธศาสนาไว้ได้ เช่น พระเชตวัน ขณะนี้ไม่มีพระภิกษุ แต่พระศาสนาก็ยังดำรงอยู่เมื่อมีผู้ที่เข้าใจธรรม
~ ถ้าไม่มีหลักธรรม ความเข้าใจความถูกต้อง ความเข้าใจความจริง ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ชีวิตของผู้นั้น ไม่มีทางที่จะดำเนินไปในทางที่เป็นประโยชน์
~ พระภิกษุจริงๆ จะต้องประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ถ้าชาวบ้านไม่เข้าใจพระธรรมวินัยจะรู้จักพระภิกษุได้อย่างไร ว่า ใครคือพระภิกษุในพระธรรมวินัย ใครไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัย
~ อุบาสกอุบาสิกา ฟังธรรมแล้วเข้าใจ แล้วก็รู้อัธยาศัยของตนเองว่า จะคงเป็นคฤหัสถ์ที่ฟังพระธรรมด้วยความเคารพอย่างยิ่งให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องและขัดเกลากิเลส (เครื่องเศร้าหมองของจิต) ในเพศของคฤหัสถ์ต่อไป เพราะไม่ได้สะสมอัธยาศัยถึงกับที่จะสละอาคารบ้านเรือน สละวงศาคณาญาติ สละทรัพย์สมบัติทั้งหมดสู่เพศบรรพชิต
~ บวชเป็นพระภิกษุ เพื่อจะประพฤติตามใคร? ประพฤติตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ประพฤติตามใจชอบเหมือนเดิม เพราะว่า หลายคน แค่อยากบวช เห็นเพศบรรพชิตครองจีวรมา ก็อยากบวช แต่ว่าไม่ได้เข้าใจธรรม เพราะฉะนั้น การบวชอย่างนั้น ไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัย แต่ถ้าจะเป็นภิกษุจริงๆ ต้องเข้าใจธรรมก่อนแล้วก็รู้จักตนเองด้วยว่าจะศึกษาธรรม เข้าใจธรรม ขัดเกลากิเลสในเพศไหน เมื่อตัดสินใจที่จะสละอาคารบ้านเรือนแล้ว ก็คือ สละจริงๆ เพื่อศึกษาธรรม จุดประสงค์ของชีวิต ไม่มีอะไรที่จะยิ่งกว่าการที่จะได้เข้าใจธรรม ซึ่งก็จะต้องศึกษาพระธรรมด้วยความเคารพอย่างยิ่งเหนือกว่าเพศคฤหัสถ์ เพราะเหตุว่ารู้ความต่างกันว่าไม่ใช่คฤหัสถ์อีกต่อไป จะทำอย่างคฤหัสถ์อีกต่อไปไม่ได้ ถ้าจะมีชีวิตคล้ายคฤหัสถ์ อย่างคฤหัสถ์ เหมือนคฤหัสถ์ ก็ต้องเป็นคฤหัสถ์
~ พระภิกษุ ไม่มีเงินทอง ไม่มีอาคารบ้านเรือนเหมือนอย่างที่เคยมีในเพศคฤหัสถ์ มีแต่การรู้คุณของพระธรรมและอุทิศชีวิตเพื่อที่จะขัดเกลากิเลสโดยการที่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติด้วยพระองค์เอง
~ คฤหัสถ์ที่เข้าใจธรรม มีความเคารพอย่างยิ่งต่อพระภิกษุในพระธรรมวินัย เพราะฉะนั้น คฤหัสถ์ก็จะต้องเข้าใจธรรมวินัยด้วย มิฉะนั้น ก็ไม่สามารถที่จะเป็นพุทธบริษัทได้ เพราะเหตุว่าพุทธบริษัท เป็นผู้ที่มีส่วนร่วมในการที่จะดำรงพระพุทธศาสนา เพราะฉะนั้น ผู้ที่เป็นพุทธบริษัท ต้องเข้าใจธรรม ไม่ว่าจะเป็นภิกษุ อุบาสก อุบาสิกา ถ้าไม่เข้าใจธรรม จะเป็นพุทธบริษัทได้อย่างไร เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เมื่อเกิดมาแล้วก็เข้าใจว่าตัวเองนับถือพุทธ เป็นชาวพุทธ แต่ก็ไม่ใช่พุทธบริษัท ถ้าไม่ใช่เป็นผู้ที่เข้าใจธรรม
~ ถ้าเข้าใจธรรมแล้ว มีหรือที่ใครจะละเลยทอดทิ้งภาระที่จะต้องให้คนอื่นได้มีความเข้าใจที่ถูกต้องในพระธรรมวินัยสืบต่อไปด้วย เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นภิกษุหรืออุบาสกอุบาสิกาที่เข้าใจธรรมแล้ว จะไม่ละเลยการที่จะดำรงรักษาพระพุทธศาสนา แล้วก็เกื้อกูลกัน
~ ภิกษุที่มีความประพฤติที่ไม่เหมาะไม่ควร อุบาสกอุบาสิกา เพ่งโทษ ถ้าไม่รู้ว่าเป็นโทษ จะเพ่งได้ไหม เพราะไม่รู้ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าชาวบ้านไม่รู้ว่าภิกษุ รับเงินรับทองไม่ได้ ก็ให้เงินทองพระภิกษุ แต่ในครั้งนั้น อุบาสกอุบาสิกาเห็นภิกษุใดไม่ประพฤติตามพระธรรมวินัย เขารู้ เขาเข้าใจทั้งพระธรรมและพระวินัย จึงเพ่งโทษ ให้รู้ว่านั่นเป็นโทษ ภิกษุทำอย่างนั้นไม่ได้ แล้วก็ติเตียนด้วยว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ แล้วก็โพนทะนา คือ กระจายข่าวให้รู้ทั่วกัน เพื่อประโยชน์ในการดำรงรักษาพระพุทธศาสนาให้คนได้เข้าใจถูกต้องว่าอะไรเป็นสิ่งที่ถูก อะไรเป็นสิ่งที่ผิด นี่คือ (หน้าที่ของ) พุทธบริษัท อุบาสกอุบาสิกา ก็เป็นพุทธบริษัท ที่จะต้องศึกษาธรรม ขัดเกลากิเลส แล้วก็ดำรงพระพุทธศาสนา ตามฐานะ ตามควรแก่เพศของอุบาสกอุบาสิกา
~ อุบาสกอุบาสิกา มีเงินมีทอง รับเงินรับทอง ทำมาหากิน ทำกิจต่างๆ ของคฤหัสถ์ เพราะว่าไม่ได้สละอาคารบ้านเรือนออกบวชเป็นบรรพชิต
~ ถ้าคิดว่า ภิกษุผู้รับเงินรับทองได้ เพียงเท่านี้รู้จักพระธรรมวินัยหรือเปล่า?
~ มีการสร้างวัด แล้วก็ยังมีการสร้างกันอยู่ แล้วก็มีการส่งเสริมสนับสนุนให้มีการบวชเป็นพระภิกษุ มีวัด มีผู้บวช แต่ความเข้าใจพระธรรมวินัยมีหรือเปล่า?
~ พระพุทธศาสนาจะดำรงอยู่ต่อไปได้ ก็อยู่ที่การมีผู้ที่เข้าใจพระธรรมวินัย พระพุทธศาสนาไม่ได้ดำรงอยู่ด้วยความเห็นผิดความเข้าใจผิด
~ พระภิกษุเป็นเพศที่ขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต ด้วยความสมัครใจของผู้นั้นที่จะประพฤติตามพระธรรมวินัย จึงขออุปสมบท (ขอบวช) ถ้าไม่ประพฤติตามพระธรรมวินัย ก็ไม่ถูกต้อง ในเมื่อไม่ได้ประพฤติตาม พระธรรมวินัย ก็เป็นคฤหัสถ์ดีกว่าการที่จะทำลายพระพุทธศาสนา
~ สิ่งที่ถูกต้อง ต้องเป็นประโยชน์ นำมาซึ่งประโยชน์ แต่สิ่งที่ไม่ถูกต้อง จะไม่นำมาซึ่งประโยชน์เลย มีแต่จะเป็นโทษเท่านั้น
~ การเป็นพระภิกษุ เพื่อขัดเกลากิเลส คำว่า ขัดเกลากิเลส นี้ ก็ชัดเจนแล้วว่า สละชีวิตของความเป็นคฤหัสถ์แล้วขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ศึกษาธรรม จะขัดเกลากิเลสได้อย่างไร
~ บางคน บวชจริง แต่ว่าไม่ได้ศึกษาธรรม จะทำให้มีการดำรงพระพุทธศาสนาได้อย่างไร และเมื่อทำผิดพระวินัยโดยการรับเงินและทอง เป็นต้น ก็ยังไม่รู้เลยว่า นั่นคือ ไม่ได้ขัดเกลากิเลส
~ ที่เกิดความวุ่นวาย เกิดความเดือดร้อน ก็เพราะความประพฤติที่ไม่ดี ความประพฤติที่ไม่ถูกต้อง แต่ถ้าเป็นพระภิกษุที่ตระหนักในการขัดเกลากิเลส จบปัญหาเรื่องเงินทองทั้งหมดเลย ไม่มีการที่จะไปคิดถึงพินัยกรรม เพราะใครให้ ก็ไม่รับ เพราะว่า พระภิกษุ ไม่รับและไม่ยินดีในเงินและทอง ไม่ต้องมีเรื่องยุ่งยากแต่อย่างใดที่เกี่ยวกับเรื่องเงินทองเลยทั้งสิ้น สบาย ปลอดโปร่ง ผาสุก อยู่ด้วยความเข้าใจธรรม และไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ถ้ากฎหมายจะสอดคล้องกับพระธรรมวินัย ก็คือว่า ถ้ามีกรณีที่พระภิกษุท่านไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย กฎหมาย ก็บัญญัติว่า พระภิกษุรับมรดกไม่ได้ ทำพินัยกรรมก็ไม่ได้ คือ ไม่ได้ทั้งหมดที่เป็นกิจที่จะกระทำไม่ได้ในฐานะของบรรพชิตหรือพระภิกษุ
~ การบวชเป็นพระภิกษุ คือ การสละสิทธิ์ของการเป็นคฤหัสถ์ ชัดเจน แล้วได้สิทธิ์ที่จะประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย
~ พระพุทธศาสนาเป็นเรื่องที่ละเอียดและลึกซึ้งอย่างยิ่ง คุณประโยชน์มหาศาล
~ วัดเป็นของพระภิกษุหรือเปล่า? ไม่ใช่ เป็นของเจ้าอาวาสหรือเปล่า? ไม่ใช่ แต่วัดเป็นของสงฆ์ พระภิกษุทุกรูปสามารถอยู่อาศัยที่จะศึกษาและประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย เพราะวัด ไม่ได้เป็นของใครเลยทั้งสิ้น
~ วัดวาอารามสร้างกันไม่หยุดเลยจริงๆ แต่เข้าใจพระธรรมวินัยหรือเปล่า เพราะฉะนั้น มีวัด แต่ไม่มีพระธรรมวินัย มีผู้อยากบวชแล้วก็บวช แต่ว่าไม่ประพฤติตามพระธรรมวินัย แล้วจะดำรงรักษาพระพุทธศาสนาไว้ได้อย่างไร
~ ถ้าพระภิกษุไม่ปลงอาบัติให้ถูกต้องแล้วก็มรณภาพ (เสียชีวิต) ในระหว่างที่เป็นพระภิกษุ ก็ไปสู่อบายภูมิแน่นอน เพราะฉะนั้น จะตายวันไหน เวลาไหน ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้
~ ส่วนใหญ่ทุกคน อย่างใครต้องการเงินทองเพื่ออย่างหนึ่งอย่างใด หรือการที่ใครมีความคิดที่จะทำอย่างหนึ่งอย่างใด ก็มีโครงการระยะสั้น ระยะยาว แต่ว่าทำไมไม่คิดถึงโครงการที่จะอยู่ต่อไปในสังสารวัฏฏ์ ซึ่งยาวมาก แล้วก็มาจากทุกวันนี้ที่มีชีวิตอยู่ แล้วเมื่อเกิดเป็นมนุษย์สามารถที่จะได้ฟังธรรม ได้รู้สิ่งที่มีค่าที่สุดที่จะขัดเกลากิเลสซึ่งถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือว่าไม่ได้ยินคำของพระองค์เลย ไม่มีทางที่จะรู้ความจริงได้ ด้วยเหตุนี้ สิ่งนี้มีค่าที่สุดที่จะต้องดำรงไว้ และเพื่อประโยชน์ของผู้ที่เห็นค่าอย่างนั้นจึงสามารถที่จะดำรงไว้ได้ เพราะรู้ความละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่งของพระธรรมและพระวินัย
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ