ทันทีที่ลืมตา ก็เห็นนิมิตของสภาพธรรม ที่เกิดขึ้นและดับไปสืบต่ออย่างรวดเร็วมาก ทันทีที่เห็น ก็เห็นเป็นสัตว์ บุคคล และสิ่งของต่างๆ ทั้งๆ ที่ฟังพระธรรมก็รู้ว่า
สภาพธรรมมีอยู่ตลอดเวลา แต่ทำไมถึงไม่รู้สิ่งที่มีอยู่จริงที่กำลังปรากฎสักที เพราะ
เหตุว่าความเข้าใจยังไม่พอ ปัญญาเป็นสิ่งที่ต้องค่อยๆ อบรมขึ้น ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ก็เพราะว่า.....ไม่รู้สิ่งที่มีอยู่จริงที่กำลังปรากฎสักที
เห็นนิมิตก็ไม่ได้รู้ว่าเป็นนิมิต
ไม่ได้รู้จริงๆ ว่าเกิดขึ้นและดับไปสืบต่ออย่างรวดเร็วมาก
เพี่ยงแค่เคยได้ยินเรื่องราวมาว่าเป็นอย่างนั้น
รู้เรื่องราว...ยังไม่รู้ลักษณะเพราะ..."ความเข้าใจเรื่องราว"...ของสภาพธรรมแต่......ยังไม่ "เข้าใจลักษณะ"...ของสภาพธรรมซึ่ง...ต้องอาศัย "การศึกษา" อย่างมาก.
ขออนุโมทนาค่ะ
สาธุ
ถ้าเป็นปัญญาจริงๆ ก็จะไม่หนีไปไม่ให้รู้นิมิต เพราะตามเป็นจริง หลังเห็น ก็จะต้องรู้นิมิตของสิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นปกติ เป็นธรรมดา เพียงแต่จะต้องอาศัยความเข้าใจถูก เห็นถูกที่เจริญขึ้น ที่จะสามารถรู้ได้ว่า ...เพราะมีนามธรรมที่รู้นิมิต การรู้นิมิตจึงมีได้เป็นสิ่งที่สติสัมปชัญญะ ควรจะระลึกได้ว่าเป็นแต่เพียงสภาพธรรมประเภทหนึ่ง เป็นแต่เพียงเครื่องอาศัยระลึกชั่วขณะที่สภาพธรรมนั้นปรากฏอยู่เท่านั้น บ่อยๆ เนืองๆ จนกว่าจะรู้ถูกต้องเพิ่มขึ้นตามลำดับ ...ที่สำคัญคือรู้แล้วละ..เบื้องแรกคือละความไม่รู้ในสภาพธรรมที่ปรากฏ ละความติดข้อง ยินดีในความเห็นผิด ...ที่ยึดถือสภาพธรรมที่ปรากฏว่าเป็นเรา เป็นตัวตนครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขณะที่กำลังอ่านอยู่นี่ มีใครรู้บ้างค่ะว่า.........ไม่ใช่เรา?
สะสมความไม่รู้มานานเท่าไหร่?
แล้วฟังมานานเท่าไหร่?
เหตุยังต่างไกลกันลิบลับค่ะ
ต้องไม่ใช่เราถึงจะรู้ว่าไม่ใช่เรา ก็เรากำลังอ่านจะรู้ได้อย่างไร
สะสมความไม่รู้มานาน แต่ก็มีเราอยากจะรู้เร็วๆ ไม่อยากรอ
ฟังมาไม่นานเท่าไหร่ แต่เราก็รู้สึกว่านานแล้ว ความหวังครอบงำ
เหตุมีแล้ว เหตุมีเสมอ แต่ไม่ใช่หนทาง เป็นจริงดังนี้