ในสังคมปัจจุบัน จะพบแต่ความวุ่นวาย ที่ส่วนใหญ่ชอบเพ่งโทษคนอื่น โดยไม่เคยมาพิจารณาตัวเองเลย ว่ามีข้อผิดพลาดอะไรบ้าง ที่ต้องแก้ไข ผู้ที่จะแก้ไขได้ต้องศึกษาธรรมะ จึงจะแก้ไขได้ใช่หรือไม่
ถูกต้องครับ ผู้ที่จะแก้ไขหรือลดละการเพ่งโทษผู้อื่นได้ ต้องอาศัยการศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เพื่อรู้ตามเป็นจริงว่า กิจที่สำคัญที่ควรกระทำสำหรับทุกคนคือ การอบรมเจริญปัญญาเพื่อละอกุศลของตนเอง ไม่ใช่ของผู้อื่น เพราะขณะที่เพ่งโทษอกุศลของผู้อื่น ขณะนั้นอกุศลของเราเจริญ
ดังข้อความในธรรมบทว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔
ปรวชฺชานุปสฺสิสฺส นิจฺจํ อุชฺฌานสญฺญิโน
อาสวา ตสฺส วฑฺฒนฺติ อารา โส อาสวกฺขยา. " อาสวะทั้งหลายย่อมเจริญแก่บุคคลนั้น ผู้คอยดูโทษของบุคคลอื่น ผู้มีความมุ่งหมายในอันยกโทษเป็นนิตย์, บุคคลนั้น เป็นผู้ไกลจากความสิ้นไปแห่งอาสวะ."
ขอเชิญคลิกอ่านที่นี่
พึงดูกิจที่ทำแล้วและยังมิได้ทำของตน
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ควรเริ่มจากตัวเรา ขัดกลากิเลสของตนเองเป็นสำคัญ ถ้าเรายังไม่ดี ถ้าไปเตือนเขาก็บอกว่าตัวเองดีหรือยังได้ และสังเกตง่ายๆ คนที่เราจะเพ่งโทษด้วยอกุศลก็ต้องเป็นคนที่เราไม่ชอบคนนั้น คนที่เราชอบ ทำผิดก็ไม่ว่ากัน แสดงให้เห็นว่าการเพ่งโทษนั้น เมื่อมีเหตุปัจจัยเกิดก็ต้องเกิด เพราะยังเป็นปุถุชน แต่ถามว่าขัดเกลาได้ไหม ก็ได้ด้วยการฟังพระธรรมเห็นโทษของความโกรธ เพราะไม่ชอบคนนั้นนั่นแหละจึงเพ่งโทษคนนั้น ถ้าชอบคนนั้น เราก็จะไม่เพ่งโทษด้วยอกุศลเลยครับ อบรมที่จะมีเมตตามากขึ้น โดยขอแนะนำว่าให้อ่านเรื่องเมตตาและลองฟังเรื่อง บารมีในชีวิตประจำวันดูครับ ฟังดีมาก เมื่อเข้าใจจะช่วยขัดเกลากิเลสในชีวิตประจำวัน ควบคู่ไปกับความเข้าใจในเรื่องการเจริญสติปัฏฐาน จะเป็นคนดีขึ้นก็เพราะเข้าใจพระธรรมขึ้น
เรื่อง การชี้โทษหรือเพ่งโทษ มีทั้งที่เป็นกุศลและอกุศล
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้าที่ 290
วินิจฉัยในบทว่า วชฺชทสฺสิน ภิกษุผู้ชี้โทษมี ๒ จำพวก คือ
ภิกษุคอยแส่หาโทษ ด้วยคิดว่า "เราจักข่มภิกษุนั้นด้วยมารยาทอันไม่สมควร หรือด้วยความพลั้งพลาดอันนี้ในท่ามกลางสงฆ์" ดังนี้ จำพวก ๑,
ภิกษุผู้ดำรงอยู่แล้วตามสภาพ ด้วยสามารถแห่งการอุ้มชูด้วยการแลดูโทษนั้นๆ เพื่อประโยชน์จะให้รู้สิ่งที่ยังไม่รู้ เพื่อต้องการจะได้ตามถือเอาสิ่งที่รู้แล้ว เพราะความเป็นผู้ปรารถนาความเจริญแห่งคุณมีศีล เป็นต้น แก่นั้น จำพวก ๑
เรื่อง การจะเพ่งโทษใคร ควรประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ - หน้าที่ 145
ข้อความบางตอนจาก กุสินาราสูตร
ธรรม ๕ ประการ อันภิกษุผู้เป็นโจทก์พึงให้เข้าไปตั้งไว้ในตนเป็นไฉน คือ
จักกล่าวโดยกาลอันควร จักไม่กล่าวโดยกาลอันไม่ควร ๑
จักกล่าวด้วยคำจริง จักไม่กล่าวด้วยคำไม่จริง ๑
จักกล่าวด้วยคำอ่อนหวาน จักไม่กล่าวด้วยคำหยาบ ๑
จักกล่าวด้วยคำอันประกอบด้วยประโยชน์ จักไม่กล่าวด้วยคำอันไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ๑
จักมีเมตตาจิตกล่าว จักไม่เพ่งโทษกล่าว ๑
ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
เจตสิกดวงใดบ้างที่เป็นอาสวะ
อกุศลเจตสิก คือ โลภะ ทิฏฐิ โมหะ ทรงแสดงว่าเป็นอาสวะ
อาสวะเป็นกิเลสเป็นเครื่องหมักดองให้เราอยู่ในสังสารวัฏฏ์ อบรมสติปัฏฐานเพื่อสิ้นอาสวะกิเลสค่ะ
การที่คนอื่นมาเพ่งโทษเรา เพราะเราไม่ทำตามใจเขา จึงทำให้เขาโกรธ
และไม่พอใจ เราควรทำอย่างไร
ไม่ว่าท่านจะประสบกับบุคคลเช่นไร หรืออยู่ในสถานการณ์ใด ให้ยึดหลักธรรมเป็นใหญ่เพราะ " ธรรมแล ย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม "
ขอบคุณค่ะที่เตือนสติ จะนำไปปฏิบัติ เพราะอยู่ในชีวิตประจำวันถูกกระทบอยู่บ่อยๆ ทั้งเพ่งโทษคนอื่นและถูกผู้อื่นเพ่งโทษ
ยินดีในกุศลจิตค่ะ