ขอความอนุเคราะห์ ช่วยอธิบาย ถึง ลำดับขั้นของหิริ โอตัปปะด้วยค่ะ
ขอบพระคุณค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
หิริและโอตตัปปะ เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ที่เป็นเจตสิก เป็นเจตสิกฝ่ายดี หิริ คือ ความละอายต่อบาป ส่วน โอตตัปปะ คือ ความเกรงกลัวต่อบาป หิริและโอตตัปปะเกิดกับจิตที่ดีทุกประเภทและเกิดกับจิตที่ดีทุกระดับ
ดังนั้น ขณะที่กุศลจิตเกิด จะต้องมีหิริและโอตตัปปะเกิดร่วมด้วยเสมอครับ และเกิดกับกุศลจิตทุกระดับด้วย ซึ่งขณะที่ให้ทาน รักษาศีล เจริญสมถภาวนาและเจริญวิปัสสนา และขณะที่มรรคจิต ผลจิตเกิด ก็ต้องมี หิริ โอตตัปปะเกิดร่วมด้วยครับ อันแสดงถึงว่า หิริและโอตตัปปะ นั้น มีหลายระดับ ตามระดับของจิต ตามระดับของกุศล
ซึ่งขณะที่ให้ทาน รักษาศีล เป็นกุศลเบื้องต้น มีหิริและโอตตัปปะเกิดร่วมด้วย คือ มีความละอายและเกรงกลัวต่อบาป แต่ไม่ได้มีกำลัง คือ ไม่ได้แสดงลักษณะของหิริและโอตตัปปะอย่างชัดเจน นั่นคือ ไม่เป็นหิริพละ และโอตตัปปพละ ที่แสดงถึงความมีกำลังของหิริและโอตตัปปะครับ แต่ขณะที่สติปัฏฐานเกิด ที่เป็นการเจริญวิปัสสนา หรือ ขณะที่วิปัสสนาญาณเกิด ขณะนั้นก็มีหิริและโอตตัปปะเกิดร่วมด้วยครับ และหิริและโอตตัปปะก็เป็นสภาพธรรมที่มีกำลังแล้ว เรียกว่า หิริพละ และ โอตตัปปพละ มีกำลังที่ละอาย เกรงกลัวต่อบาปจนถึงขนาดที่ระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา
ดังนั้น เมื่อใดสติปัฏฐานเกิด หิริและโอตตัปปะมีกำลังมากกว่า หิริและโอตตัปปะที่เป็นกุศลเบื้องต้นที่เป็นไปในทาน ศีล ครับ และขณะที่มรรคจิตเกิด ทำหน้าที่ดับกิเลส ก็มีหิริและโอตตัปปะเกิดร่วมด้วย มีกำลังมาก เป็นหิริพละและโอตตัปปพละ ละอายและเกรงกลัวต่อบาปด้วยในขณะนั้น จนดับกิเลสได้ครับ จึงแสดงให้เห็นว่า ระดับของหิริและโอตัปปะ แตกต่างกันไปตามระดับของจิต ตามระดับของกุศลจิตที่จะเป็นหิริพละ โอตตัปปพละ หรือไม่เป็นหิริพละและโอตตัปปพละ ซึ่ง หิริและโอตตัปปะจะมีกำลังหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับ ปัญญาที่เป็นเจตสิกฝ่ายดี เกิดขึ้นประกอบร่วมด้วยในระดับวิปัสสนาก็จะมีกำลัง ครับ แต่ถ้าไม่มีปัญญา หิริและโอตตัปปะก็ไม่มีกำลัง แต่ก็มีเกิดร่วมด้วยครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
หิริโอตตัปปะ เป็นเจตสิกฝ่ายดี ที่จะต้องเกิดร่วมกับจิตฝ่ายดีทุกประเภท ไม่มีเว้น เมื่อกล่าวอย่างกว้างๆ ตามระดับขั้นของจิต ที่เป็นกุศลจิตแล้ว มีทั้งหมด ๔ ระดับขั้น คือ กามาวจรกุศล หรือ มหากุศล ๑ กุศลที่เป็นระด้บขั้นรูปฌาน คือ รูปาวจรกุศลจิต ๑ กุศลที่เป็นระดับขั้นอรูปฌาน คือ อรูปาวจรกุศลจิต ๑ และกุศลที่เป็นขั้นโลกุตตระ สามารถดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น ๑
ดังนั้น เมื่อกุศลจิต มีหลายระดับขั้น หิริและโอตตัปปะ ก็ย่อมจะมีหลายระดับขั้นตามระดับขั้นของกุศลจิตนั้นๆ เพราะธรรมเป็นจริงอย่างไร ก็เป็นจริงอย่างนั้น ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงให้เป็นอย่างอื่นไปได้
สำหรับในชีวิตประจำวัน หิริโอตตัปปะ ก็ไม่ควรที่จะเป็นเฉพาะในระดับขั้นที่มีความละอาย มีความเกรงกลัวต่อกิเลสขั้นหยาบๆ ที่ล่วงเป็นทุจริตกรรมประการต่างๆ เท่านั้น ต้องละเอียดลึกลงไป ถึงเห็นโทษของกิเลส แม้ไม่ได้ล่วงออกมาเป็นทุจริตกรรมด้วย พร้อมทั้งไม่ประมาทในการอบรมเจริญปัญญา อันเป็นหนทางเดียวเท่านั้นที่จะเป็นไปเพื่อดับกิเลสได้ตามลำดับขั้นในที่สุด ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ความไม่ละอายต่อ อกุศลธรรม คือ อหิริกะ และความไม่เกรงกลัวต่อภัยของ อกุศลธรรม คือ อโนตตัปปะ นั้น เป็น อกุศลสาธารณเจตสิก ที่เกิดกับอกุศลจิตทุกประเภท
ถ้าเว้นจากอกุศลจิต ก็เว้นจากความไม่ละอายและความไม่เกรงกลัวต่อบาป
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
กุศลทุกอย่าง เกื้อกูลให้สติปัฏฐานเกิด ทำให้ไม่หลงลืมสติ จะได้รู้ว่า อันนี้ไม่ใช่กุศล อันนี้เป็นกุศล สมดังคำที่ว่า หิริโอตตัปปะ เป็นธรรมคุ้มครองโลกค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณค่ะ
ฟัง CD ชุดโสภณธรรม และจากความอนุเคราะห์คำตอบทำให้เข้าใจมากยิ่งขึ้น (หิริ โอตตัปปะ ก็มีลำดับขั้น ขึ้นอยู่กับปัญญา) ธรรมะนี่ละเอียดลึกซึ้งจริงๆ
อนุโมทนาทุกท่านที่แสดงความคิดเห็นค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
การศึกษาพระธรรมต้องเป็นผู้ละเอียด
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาในกุศลยิ่งค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ