สิ่งที่จัดเป็นสิ่งมีชีวิตหรือสัตว์ พิจารณาจากอะไรครับ ถ้าเกิดจากจิต เราจะสังเกตได้อย่างไรว่าสิ่งนี้เป็นสัตว์ สิ่งนี้ไม่เป็น ถ้าเราเห็นมด เรารู้ว่ามดเป็นสัตว์ แต่เชื้อโปรโตซัวที่ทำให้เกิดโรคมาลาเรีย และพยาธิจะจัดเป็นสัตว์ไหมครับ หากเราป่วยเป็นมาลาเรียหรือมีพยาธิ เรากินยาฆ่า เราจะล่วงปานาติบาตไหมครับ ขอบคุณครับ
เริงฤทธิ์ เพื่อนของแสงธรรมครับ
ขอเชิญคลิกอ่านกระทู้ที่มีเนื้อหาคล้ายกันที่
ถามว่าเชื้อโรคต่างๆ ในอบายภูมิ 4 คือ สัตว์ดิรัจฉาน ใช่หรือไม่
จากคำถามที่ว่า
ถ้าเราเห็นมด เรารู้ว่ามดเป็นสัตว์ แต่เชื้อโปรโตซัวที่ทำให้เกิดโรคมาลาเรีย และพยาธิจะจัดเป็นสัตว์ไหมครับ
ขอตอบเทียบเคียงพระไตรปิฎกครับ
พวกสัตว์ที่อยู่ในร่างกายคน เล่ม 65 หน้า 242
เหล่าสัตว์ต่างๆ ภายในจอมปลวก ย่อมเกิด ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะนอนเจ็บไข้
ตายตกไปในจอมปลวกนั้นเอง. จอมปลวกนั้น เป็นเรือนตลอด เป็นส้วม
เป็นโรงพยาบาล และเป็นสุสานของสัตว์เหล่านั้น
ด้วยประการฉะนี้ ฉันใด แม้ร่างกายของกษัตริย์มหาศาลเป็นต้น ก็ฉันนั้น มีกิมิชาติ (สัตว์เล็กๆ น้อยๆ ) ประมาณแปดหมื่นเหล่า
โดยการนับเหล่า อย่างนี้คือ เหล่าสัตว์ที่อาศัยผิว เหล่าสัตว์ที่อาศัยหนัง
เหล่าสัตว์ที่อาศัยเนื้อ เหล่าสัตว์ที่อาศัยเอ็น เหล่าสัตว์ที่อาศัยกระดูก
เหล่าสัตว์ที่อาศัยเยื่อในกระดูก ย่อมเกิดถ่ายอุจจาระปัสสาวะ
นอนกระสับกระส่ายด้วยความไข้ตายตกไปภายในกายนั่นแหละ
โดยไม่คิดนึกว่า นี้เป็นกายของผู้มีอานุภาพมาก ที่คุ้มครองรักษาแล้ว
ประดับตกแต่งแล้ว กายแม้นี้ย่อมเป็นเรือนตลอด เป็นส้วมเป็นโรงพยาบาล
และเป็นสุสานของสัตว์เหล่านั้น ด้วยประการฉะนี้
ดังนั้นจึงนับว่า จอมปลวก. (เปรียบร่างกายคนเหมือนจอมปลวก)
ในร่างกายมนุษย์ ก็มีสัตว์ต่างๆ แม้มันจะเล็กมากๆ ก็เป็นสัตว์และอาศัยอยู่มากมายครับ
เชื้อโรคต่างๆ ถ้ามีดวงจิตก็ถือเป็นสัตว์ครับ
การทำกิจกรรมประจำวันที่จะต้องทำของมนุษย์ทั้งหลายนั้นไม่ถือว่าผิดศีล
เพราะขอบเขตของศีลข้อนี้ ท่านหมายเอา สัตว์ที่สามารถมองเห็นตัวของมันได้ด้วยตาเนื้อของคนธรรมดานี้ และมีเจตนาที่จะฆ่่ามันด้วยและสัตว์นั้นมันก็ตายด้วยความพยายามนั้นด้วย แบบนี้ถึงจะผิดศีล
การฆ่าสัตว์ที่เป็นการผิดศีลต้องประกอบด้วยองค์ 5 คือ
1. สัตว์มีชีวิต
2. รู้ว่าสัตว์มีชีวิต * * *
3. จิตคิดจะฆ่า
4. พยายามที่จะฆ่า
5. สัตว์ตายด้วยความพยายามนั้น * * * หมายถึง 1. เห็นด้วยตา 2. ได้ยินด้วยหู หมายถึง ได้ยินเสียงของสัตว์นั้น 3. ทราบได้ด้วยสัมผัสทางกาย - ลิ้น - จมูก 4. รู้ด้วยใจ (ฤทธิ์ทางใจ)
คงเข้าใจเพิ่มเติมนะครับ
เป็นหัวข้อที่น่าสนใจ ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอเชิญคิลกอ่านที่ การฆ่าจุลินทรีย์บาปหรือไม่
อ้างอิงจาก : หัวข้อ 13730 ความคิดเห็นที่ 6 โดย wannee.s
ขอเชิญคิลกอ่านที่ การฆ่าจุลินทรีย์บาปหรือไม่
จากที่ได้อ่านความคิดของคุณ wannee.sที่ว่า
ฆ่าจุลินทรีย์ไม่บาป เพราะไม่ใช่สิ่งที่มีชีวิตแต่เป็นสิ่งที่เกิดจากอุตุเป็นปัจจัย จุลินทรีย์ไม่มีจิต เจตสิก
มีอะไรมาอ้างอิงไหมครับว่ามันไม่มีชีวิต เพราะผมคิดว่ามันมีชีวิต และเป็นสัตว์ที่ในตัวคนเรา อดีตท่านเรียกว่ากิมิชาติ ตามที่ได้อ้างอิงในพระไตรฯ ว่า สัตว์หลายพวกอาศัย
ร่างกายเราเป็นที่อยู่อาศัย ฯลฯ และเกิดจากอุตุเป็นปัจจัยคืออย่างไรครับ
ขอขอบคุณทุกท่านที่ตอบคำถามครับ ผมได้คลิกเข้าไปดูตามที่อ. แนะนำ ผมไม่สงสัยเกี่ยวกับแบคทีเรีย ไวรัส รา จุลินทรีย์ในนมเปรี้ยว เพราะมันเกิดจากอุตุแต่ยังติดที่ว่า จะทราบได้อย่างไรว่าสิ่งนั้นมีจิตหรือไม่ ถ้าเรามองด้วยตาเปล่าไม่เห็นจัดว่าสิ่งนั้นไม่มีจิต จึงไม่ใช่สัตว์ถูกไหมครับ
เริงฤทธิ์
เรียนความเห็นที่ 8
สิ่งใดมีชีวิต ไม่มีชีวิตนั้น ไม่ได้วัดที่เป็นสิ่งที่เห็นได้นะครับ หรือแม้สิ่งที่เห็นไม่ได้ก็
ไม่ได้หมายถึงว่าไม่มีชีวิต แต่ต้องเป็นสัตว์ที่เกิดจากกรรม ไม่ใช่เกิดจากอุตุ เป็นต้น ซึ่ง
ก็แล้วแต่ประเภท จะเห็นได้ ไม่ได้ ถ้าเป็นสัตว์ที่เกิดจากกรรมแล้วหละก็ เป็นสัตว์ที่มี
ชีวิต
เรียนความเห็นที่ 7
แน่นอนว่าในร่างกายมนุษย์มีสัตว์มีชีวิต แต่ก็ต้องมีบางประเภทที่ไม่มีชีวิตด้วย
ไม่ได้หมายความว่าเมื่อมีอะไรอยู่ในร่างกายมนุษย์แล้วสิ่งนั้นจะมีชีวิตทั้งหมด เพราะ
บางอย่างเกิดจากอุตุเป็นปัจจัยครับ ไม่ได้เกิดจากกรรมเป็นปัจจัย แต่บางอย่างก็เกิด
จากกรรมเป็นปัจจัย ไม่ใช่เกิดจากอุตุเป็นปัจจัย เช่น ตัวเล็น แม้จะเล็กก็มีชีวิต แต่เชื้อ
โรคไม่ได้เกิดจากกรรมเป็นปัจจัยจึงไม่มีชีวิต
เรียนความเห็นที่10
ผมเข้าใจครับที่ว่าในร่างกายมีทั้งสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต พวกที่มีชีวิตในร่างที่อดีตท่านเรียกว่า กิมิชาติ นั้นก็มีมากมายหลายเหล่า ที่ท่านว่าก็มีประมาณแปดหมื่นเหล่าเหล่าสัตว์ที่อาศัยผิว เหล่าสัตว์ที่อาศัยหนัง
เหล่าสัตว์ที่อาศัยเนื้อ เหล่าสัตว์ที่อาศัยเอ็น เหล่าสัตว์ที่อาศัยกระดูก
เหล่าสัตว์ที่อาศัยเยื่อในกระดูก
ซึ่งในปัจจุบันก็มีกล้องที่สามารถมองเห็นสิ่งเหล่านั้นในคน ที่ปัจจุบันเรียกว่า เชื้อโรค ไวรัส จุลินทรีย์ ฯลฯ
ถ้ามันมีดวงจิตก็จัดว่าเป็นสัตว์ครับ เป็นดังที่พระพุทธเจ้าบอกไว้ครับ
เรื่องเกิดจากอุตุเป็นปัจจัย เข้าใจแล้วครับ
เรียนความเห็นที่ 11 ดังนั้นสัตว์มีชีวิตไม่ได้วัดที่มองเห็นได้ จะด้วยอุปกรณ์อะไรก็ตามแต่เพราะเกิดจาก
กรรมเป็นปัจจัย สัตว์มีชีวิตเพราะมีรูปชีวิตินทรีย์ และอรูปชีวิตินทรีย์ เห็นได้ไม่จำเป็น
ต้องมีชีวิตก็ได้ครับ
มังคลัตถทีปนีแปล เล่ม ๒ - หน้าที่ 95
ก็ คำว่า ปาณะ ในบทว่า ปาณาติปาโต นี้ โดยโวหารได้แก่สัตว์, โดยปรมัตถ์ได้แก่ชีวิตตินทรีย์ ๒ ประการ. จริงอยู่ แม้ในอรรถกถา ตติยปาราชิก ท่านกล่าวไว้ว่า " รูปชีวิตินทรีย์ และอรูป-ชีวิตินทรีย์ ชื่อว่าชีวิตินทรีย์. เมื่อรูปชีวิตินทรีย์กำเริบแล้ว แม้อรูปชีวิตินทรีย์ก็ย่อมกำเริบ เพราะเนื่องกันกับรูปชีวิตินทรีย์นั้น.
ได้ความเข้าใจเพิ่มขึ้นว่า จะเป็นสัตว์หรือไม่ ไม่ได้พิจารณาจากการที่เรามองเห็นเขาหรือไม่ แต่พิจารณาว่าถ้าเกิดจากกรรมจะเป็นสัตว์ แล้วการจะพิจารณาว่าเกิดจากกรรมนี่ดูได้จากอะไรครับ
ขอบคุณครับ
เป็นเรื่องที่ตัดสินยากจริงๆ เลยครับ เพราะถ้าพิจารณาที่การเคลื่นที่ หรือการกินอาหาร ต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงก็กินอาหารได้ แต่ก็จัดเป็นพืช เพราะเกิดจากอุตุ ใบไม้หุบได้ก็เพราะอุตุ มันมีแรงจากภายนอกไปทำให้น้ำในต้นสั่นแล้วใบก็หุบ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยังไม่ค่อยจะเข้าใจ
ขออนุโมทนากับทุกท่านด้วยครับ
นโม ธมฺมสากจฺฉาย : ขอนอบน้อมการสนทนาธรรมตามกาลเทศะ
ผมขอเสนอความเห็นใน 2 แง่มุมอย่างนี้ ครับ.
1. แก้ความสงสัยเรื่องศีลข้อ ปาณาติบาต
ถ้ากำลังสนทนากันด้วยจุดมุ่งหมายนี้ ผมเสนอว่า การที่อนุญาตให้พระอุ่นอาหารที่สุกแล้วได้, อนุญาตให้อาบน้ำได้, อนาญาตให้แปรงฟันได้ เป็นต้น นั่นเป็นเครื่องบ่งชัดแล้วว่า ท่านไม่ได้เอาสัตว์ที่คนปกติไม่สามารถรู้ได้ว่ามันมีชีวิตหรือไม่ มาตัดสินในข้อปาณาติบาตนี้ ครับ.
2. ประดับความรู้ พอกพูนปฏิสัมภิทาญาณ
ถ้ามุ่งจุดนี้ ก็มีผู้ยกข้อความในคัมภีร์มาอ้างแล้ว ควรรับฟังตามนั้น, ถ้าไม่มั่นใจ ไม่เชื่อตำรา หรืออะไรก็ตาม ก็ควรทำฌาน อภิญญา ให้เกิด หรืออธิษฐานไว้ถามพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป. ต้องทำโดยประการนี้ จะได้ชัดเจนไม่สงสัย ครับ.