[เล่มที่ 50] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 516
เถรคาถา เอกนิบาต
วรรคที่ ๑๒
๕. มหานามเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระมหานามเถระ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 50]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 516
๕. มหานามเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระมหานามเถระ
[๒๕๒] ได้ยินว่า พระมหานามเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
ดูก่อนมหานาม ท่านนี้จะเสื่อมจากภูเขา ชื่อ เนสาทกะ ที่สะพรั่งไปด้วยต้นโมกมัน และไม้อ้อยช้าง เป็นภูเขาที่สมบูรณ์ด้วยร่มเงา และน้ำเป็นอันมาก ประดับด้วยต้นไม้และเถาวัลย์ โดยรอบ.
อรรถกถามหานามเถรคาถา
คาถาของท่านพระมหานามเถระ เริ่มต้นว่า เอสาวหิยฺยเส ปพฺพเตน. เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร?
แม้พระเถระนี้ ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำแล้ว ในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ สั่งสมบุญไว้ในภพนั้นๆ บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ในกาลของ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า สุเมธะ ถึงความสำเร็จในวิชชาของ พราหมณ์ทั้งหลายแล้ว ละฆราวาสวิสัย สร้างอาศรมอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำแห่งหนึ่ง สอนมนต์ให้พวกพราหมณ์เป็นจำนวนมาก อยู่มาวันหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จไปยังอาศรมบทของเขา เพื่อจะทรงอนุเคราะห์เขา. เขาเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว มีจิตเลื่อมใส จัดแจงปูอาสนะถวาย เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับนั่งแล้ว เข้าไปถวายน้ำผึ้งที่มีรสหวานสนิทดี. พระผู้มีพระภาคเจ้าเสวยน้ำผึ้งนั้นแล้ว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 517
ทรงพยากรณ์อนาคตโดยนัยดังกล่าวไว้ในเรื่องของพระอธิมุตตเถระแล้ว.
ด้วยบุญกรรมนั้น เขาบังเกิดในเทวโลก ท่องเที่ยวไปๆ มาๆ อยู่แต่ในสุคติภพเท่านั้น เกิดในตระกูลพราหมณ์ พระนครสาวัตถี ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้นามว่า มหานามะ ถึงความเป็นผู้รู้เดียงสาแล้ว เข้าไปยังสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า ฟังธรรมแล้วได้มีจิตศรัทธา บวชแล้ว เรียนกรรมฐาน อยู่ที่ภูเขาชื่อว่า เนสาทกะ ไม่สามารถจะข่มความกลุ้มรุมของกิเลสได้ คิดว่า ชีวิตของเราผู้มีจิตอันเศร้าหมองแล้วนี้ จะมีประโยชน์อะไร แล้วเบื่อหน่ายอัตภาพ ปีนขึ้นสู่ยอดเขาสูง เมื่อจะแสดงตนให้เป็นเหมือนคนอื่นว่า เราจักให้เจ้าตกลง จากภูเขานี้ตาย ดังนี้ ได้กล่าวคาถาว่า
ดูก่อนมหานาม ท่านนี้จักเสื่อมจากภูเขา ชื่อว่า เนสาทกะ ที่สะพรั่งไปด้วยต้นโมกมัน และไม้อ้อยช้าง เป็นภูเขาที่สมบูรณ์ด้วยร่มเงา และน้ำเป็นอันมาก ประดับด้วยต้นไม้ และเถาวัลย์โดยรอบ ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอสาวหิยฺยเส ความว่า ดูก่อนมหานาม ท่านนั้น จะละ คือ จะเสื่อม.
บทว่า ปพฺพเตน ความว่า จากภูเขานี้ อันเป็นที่อยู่อาศัย.
บทว่า พหุกุฏชสลฺลริเกน ความว่า ประกอบด้วยไม้โมกมัน และ ไม้อ้อยช้าง หรือว่าด้วยไม้ช้างน้าว และไม้อ้อยช้างทั้งหลาย.
บทว่า เนสาทเกน ได้แก่ ภูเขาที่มีชื่ออย่างนี้.
บทว่า ครินา ได้แก่ ภูเขา. อธิบายว่า ภูเขาท่านเรียกว่า บรรพต เพราะตั้งอยู่ด้วยข้อ กล่าวคือที่ต่อ (ติดต่อกันเป็นชั้นเชิง) และเรียกว่า คิรี เพราะกลืนกินวัตถุทั้งหลายมียาเป็นต้นอันเป็นสาระ. แต่ในคาถานี้ ท่านเรียกว่า บรรพต และเรียกว่า คิรี เพราะมีความหมายทั้งสองอย่าง (รวมกัน).
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 518
บทว่า ยสสฺสินา ความว่า ปรากฏ คือ รู้ชัดด้วยคุณทั้งปวง.
บทว่า ปริจฺเฉเทน ได้แก่ ประดับประดาไปด้วยต้นไม้ พุ่มไม้ และเถาวัลย์หลากหลาย หรือได้แก่ เป็นขอบเขต เพราะความเป็นสถานที่อยู่ของท่าน. ก็ในคาถานี้มีอธิบายดังนี้ ดูก่อนมหานาม ถ้าท่านสละกรรมฐาน เป็นผู้มากไปด้วยวิตกไซร้ ท่านจะเสื่อมจากภูเขา ชื่อว่า เนสาทกะ อันเป็น สถานที่อยู่ สมบูรณ์ด้วยร่มเงาและน้ำ เป็นสัปปายะอย่างนี้ บัดนี้เราจักผลักท่าน ให้ตกจากภูเขานี้ตาย เพราะเหตุนั้น ท่านต้องไม่ตกอยู่ในอำนาจของวิตก ดังนี้.
พระเถระข่มขู่คุกคามตนอยู่อย่างนี้นั่นแล ขวนขวายวิปัสสนา บรรลุพระอรหัตแล้ว. สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
เราได้สร้างอาศรมสวยงามไว้ใกล้ฝั่งแม่น้ำ สินธุ เราบอกคัมภีร์ อิติหาสะ พร้อมทั้งตำราทายลักษณะ กะพวกศิษย์ที่อาศรมนั้น ศิษย์เหล่านั้นเป็นผู้ใคร่ธรรม อันเราแนะนำดีแล้ว เป็นผู้ใคร่สดับคำสั่งสอนที่ดี บรรลุถึงบารมีในองค์ ๖ ประการ อยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำสินธุ เป็นผู้ฉลาดในการทำนายการมาเกิดและในลักษณะทั้งหลาย แสวงหาประโยชน์อันสูงสุดอยู่ในป่าใหญ่ ในกาลนั้น ครั้งนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า สุเมธะ เสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระองค์เป็นผู้นำที่วิเศษ จะทรงอนุเคราะห์พวกเรา จึงเสด็จเข้ามา เราได้เห็นพระมหาวีระ พระนามว่า สุเมธะ ผู้เป็นนายกของโลก เสด็จมาถึง จึงได้ปูหญ้าลาดถวายแด่พระองค์ ผู้เป็นเชษฐบุรุษของโลก เราถือเอาน้ำผึ้งมาจากป่าใหญ่ ถวายแด่พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 519
พระสัมพุทธเจ้าเสวยแล้ว ได้ตรัสพระดำรัสนี้ว่า ผู้ใดมีความเลื่อมใส ได้ถวายน้ำผึ้งแก่เรา ด้วยมือทั้งสองของตน เราจักพยากรณ์ผู้นั้น ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าว ด้วยการถวายน้ำผึ้ง และด้วยการลาดหญ้าถวายนี้ ผู้นั้นจักรื่นรมย์ อยู่ในเทวโลกตลอดสามหมื่นกัป ในกัปที่สามหมื่น พระศาสดาพระนามว่า โคตมะ ทรงสมภพในวงศ์ พระเจ้าโอกากราช จักเสด็จอุบัติในโลก ผู้นั้นจักเป็นทายาทในธรรมของพระศาสดาพระองค์นั้น จักเป็นโอรสอันธรรมเนรมิต จักกำหนดรู้อาสวะทั้งปวงแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะ ปรินิพพาน เมื่อเราจากเทวโลกมา ในมนุษยโลกนี้ เข้าอยู่ในครรภ์มารดา เมล็ดฝนได้ตกลงมา ปกปิดแผ่นดินด้วยน้ำผึ้ง แม้ในขณะเมื่อเราออกจากครรภ์นั้น ฝนน้ำผึ้งก็ตกให้แก่เราเต็มเปี่ยมหม้อ ตลอดกาลเป็นนิตย์ เมื่อเราออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตแล้ว ย่อมได้ข้าวและน้ำ นี้เป็นผลแห่งการถวายน้ำผึ้ง เราเกิดเป็นเทวดาและมนุษย์ เป็นผู้บริบูรณ์ด้วยกามทั้งปวง ได้บรรลุความสิ้นอาสวะ เพราะการถวายน้ำผึ้งนั้นแล.
เมื่อฝนตกแล้ว หญ้างอกยาว ๔ นิ้ว เมื่อต้นไม้ในแถวฝั่งแม่น้ำมีดอกบานสะพรั่ง เราผู้ไม่มีอาสวะเป็น สุขอยู่เป็นนิตย์ ในเรือนว่างเปล่า ที่มณฑปและโคนไม้ เราก้าวล่วงภพที่ประณีต ปานกลาง และเลวได้ทั้งหมด อาสวะทั้งหลายของเราสิ้นแล้วในวันนี้ บัดนี้ ภพใหม่มิได้มีอีก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 520
ใน ๓๐,๐๐๐ กัป แต่ภัทรกัปนี้ เราได้ถวายทานใดในกาลนั้น ด้วยทานนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายน้ำผึ้ง. เราเผากิเลสทั้งหลาย แล้ว ฯลฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า เรากระทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
ก็คาถานี้แหละ ได้เป็นคาถาพยากรณ์พระอรหัตตผล ของพระเถระ ฉะนี้แล.
จบอรรถกถามหานามเถรคาถา