[เล่มที่ 43] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้า 281
๒. เรื่องนางลูกสุกร [๒๔๑]
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 43]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้า 281
๒. เรื่องนางลูกสุกร [๒๔๑]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภนางลูกสุกร กินคูถตัวหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "ยถาปิ มูเล" เป็นต้น.
พระศาสดาตรัสบุรพกรรมของนางลูกสุกร
ได้ยินว่า วันหนึ่ง พระศาสดาเสด็จเข้าไปยังกรุงราชคฤห์ เพื่อบิณฑบาต ทอดพระเนตรเห็นนางลูกสุกรตัวหนึ่ง จึงได้ทรงทำการแย้ม (พระโอษฐ์) ให้ปรากฏ. เมื่อพระองค์ทรงทำการแย้ม (พระโอษฐ์) อยู่ พระอานนทเถระได้เห็นมณฑลแห่งทัสสโนภาส ซึ่งเปล่งออกจากช่องพระโอษฐ์ จึงทูลถามเหตุแห่งการแย้ม (พระโอษฐ์) ว่า "พระเจ้าข้า อะไรหนอแลเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัยแห่งการทำการแย้มให้ปรากฏ."
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะพระอานนท์นั้นว่า "อานนท์ เธอเห็นนางลูกสุกรนั่นไหม"
พระอานนท์. เห็น พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. นางลูกสุกรนั้น ได้เกิดเป็นแม่ไก่อยู่ในที่ใกล้โรงฉันแห่งหนึ่ง ในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากกุสันธะ, นางไก่นั้น ฟังเสียงประกาศธรรมของภิกษุผู้เป็นโยคาวจรรูปหนึ่ง สาธยายวิปัสสนากัมมัฏฐานอยู่ จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ได้เกิดในราชตระกูล เป็นราชธิดาพระนามว่า อุพพรี, ในกาลต่อมา พระนางเสด็จเข้าไปยังสถาน เป็นที่ถ่ายอุจจาระ ทอดพระเนตรเห็นหมู่หนอนแล้วยังปุฬวกสัญญา ให้เกิดขึ้นในที่นั้น ได้ปฐมฌานแล้ว, พระนางดำรงอยู่ในอัตภาพนั้นจนสิ้นอายุ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้า 282
จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว เกิดในพรหมโลก, ก็แลพระนางครั้นจุติจากอัตภาพนั้นแล้ว สับสนอยู่ด้วยอำนาจคติ จึงเกิดแล้วในกำเนิดสุกรในบัดนี้, เราเห็นเหตุนี้ จึงได้ทำการแย้มให้ปรากฏ.
ภิกษุทั้งหลายมีพระอานนทเถระเป็นประมุข สดับเรื่องนั้นแล้วได้ความสังเวชเป็นอันมาก.
ราคตัณหาให้โทษมาก
พระศาสดา ทรงยังความสังเวชให้เกิดแก่ภิกษุเหล่านั้นแล้ว เมื่อจะทรงประกาศโทษแห่งราคตัณหา ประทับยืนอยู่ระหว่างถนนนั่นเอง ได้ทรงภาษิตพระคาถาเหล่านี้ว่า :-
๒. ยถาปิ มูเล อนุปทฺทเว ทเฬฺห ฉินฺโนปิ รุกฺโข ปุนเรว รูหติ เอวมฺปิ ตณฺหานุสเย อนูหเต นิพฺพตฺตติ ทุกฺขมิทํ ปุนปฺปุนํ.
ยสฺส ฉตฺติํสตีโสตา มนาปสฺสวนา ภุสา
มหา วหนฺติ ทุทฺทิฏฺิํ สงฺกปฺปา ราคนิสฺสิตา.
สวนฺติ สพฺพธี โสตา ลตา อุพฺภิชฺช ติฏฺติ
ตญฺจ ทิสฺวา ลตํ ชาตํ มูลํ ปญฺญาย ฉินฺทถ.
สริตานิ สิเนหิตานิ จ โสมนสฺสานิ ภวนฺติ ชนฺตุโน เต สาตสิตา สุเขสิโน เต เว ชาติชรูปคา นรา. ตสิณาย ปุรกฺขตา ปชา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้า 283
ปริสปฺปนฺติ สโสว พาธิโต สํโยชนสงฺคสตฺตา ทุกฺขมุเปนฺติ ปุนปฺปุนํ จิราย. ตสิณาย ปุรกฺขตา ปชา ปริสปฺปนฺติ สโสว พาธิโต ตสฺมา ตสิณํ วิโนทเย ภิกฺขุ อากงฺขํ วิราคมตฺตโน.
"ต้นไม้ เมื่อรากไม่มีอันตราย ยังมั่นคง ถึงบุคคลตัดแล้ว ย่อมงอกขึ้นได้อีกทีเดียว แม้ฉันใด, ทุกข์นี้ เมื่อตัณหานุสัย อันบุคคลยังขจัดไม่ได้แล้ว ย่อมเกิดขึ้นร่ำไป แม้ฉันนั้น. กระแส (แห่งตัณหา) ๓๖ อันไหลไปในอารมณ์เป็นที่พอใจ เป็นธรรมชาติกล้า ย่อมมีแก่บุคคลใด, ความดำริทั้งหลายอันใหญ่ อาศัยราคะย่อมนำฉุดบุคคลนั้น ผู้มีทิฏฐิชั่วไป. กระแส (แห่งตัณหาทั้งหลาย) ย่อมไหลไปในอารมณ์ทั้งปวง ตัณหาดุจเถาวัลย์แตกขึ้นแล้วย่อมตั้งอยู่, ก็ท่านทั้งหลายเห็นตัณหานั้น เป็นดังเถาวัลย์เกิดแล้ว จงตัดรากเสียด้วยปัญญาเถิด. โสมนัสทั้งหลายที่ซ่านไปและเปื้อนตัณหาดุจยางเหนียว (๑) ย่อมมีแก่สัตว์, สัตว์ทั้งหลายนั้น อาศัยความสำราญ จึงเป็นผู้แสวงหาความสุข, นระเหล่านั้นแล ย่อมเป็นผู้เข้าถึงซึ่งชาติ
(๑) โดยพยัญชนะแปลว่า เป็นไปแล้วกับด้วยตัณหาดุจยางเหนียว.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้า 284
ชรา. หมู่สัตว์อันตัณหาผู้ทำความดิ้นรนล้อมไว้แล้ว ย่อมกระเสือกกระสน เหมือนกระต่ายอันนายพรานดักได้แล้วฉะนั้น, หมู่สัตว์ผู้ข้องอยู่ในสังโยชน์และกิเลสเครื่องข้อง ย่อมเข้าถึงทุกข์บ่อยๆ อยู่ช้านาน. หมู่สัตว์อันตัณหาผู้ทำความดิ้นรนล้อมไว้แล้ว ย่อมกระเสือกกระสนเหมือนกระต่ายที่นายพรานดักได้แล้ว ฉะนั้น. เพราะเหตุนั้น ภิกษุหวังธรรมเป็นที่สำรอกกิเลสแก่ตน พึงบรรเทาตัณหาผู้ทำควานดิ้นรนเสีย."
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มูเล เป็นต้น ความว่า เมื่อรากทั้ง ๕ (ของต้นไม้ใด) ซึ่งทอดตรงแน่วไปใน ๔ ทิศ และในภายใต้ ชื่อว่าไม่มีอันตราย เพราะอันตรายชนิดใดชนิดหนึ่ง บรรดาอันตรายมีการตัด การผ่า และการเจาะเป็นต้น ชื่อว่ามั่นคง เพราะถึงความเป็นของมั่นคงต้นไม้ (นั้น) แม้ถูกบุคคลรานแล้ว ณ เบื้องบน ย่อมงอกขึ้นได้อีกทีเดียว ด้วยอำนาจกิ่งใหญ่น้อย ฉันใด. ทุกข์นี้ ที่ต่างด้วยทุกข์มีชาติทุกข์เป็นต้น เมื่ออนุสัยคือความนอนเนื่องแห่งตัณหาอันเป็นไปทางทวาร ๖ อันพระอรหัตตมรรคญาณยังไม่ขจัด คือยังตัดไม่ขาดแล้ว ย่อมเกิดร่ำไปในภพนั้นๆ จนได้ ฉันนั้นนั่นแล.
บทว่า ยสฺส เป็นต้น ความว่า ตัณหาประกอบด้วยกระแส ๓๖ ด้วยสามารถแห่งตัณหาวิจริตเหล่านี้ คือตัณหาวิจริตอิงอายตนะภายใน ๑๘ (๑) ตัณหาวิจริตอิงอายตนะภายนอก ๑๘ (๒) ด้วยประการฉะนี้ ชื่อว่าไหลไปใน
(๑), (๒) ดูความพิสดารใน อภิ. วิ. ๓๕/๕๓๐.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้า 285
อารมณ์เป็นที่ชอบใจ เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า ย่อมไหลไป คือเป็นไปในอารมณ์มีรูปเป็นต้น อันเป็นที่ชอบใจ เป็นธรรมชาติกล้าคือมีกำลัง ย่อมมีแก่บุคคลใด, ความดำริทั้งหลาย ชื่อว่าเป็นธรรมชาติใหญ่ เพราะความเป็นของใหญ่ โดยอันเกิดขึ้นบ่อยๆ ไม่อาศัยฌานหรือวิปัสสนา อาศัยราคะ ย่อมนำบุคคลนั้นผู้ชื่อว่ามีทิฏฐิชั่ว เพราะความเป็นผู้มีญาณวิบัติไป.
บาทพระคาถาว่า สวนฺติ สพฺพธี โสตา ความว่า กระแสตัณหาเหล่านี้ ชื่อว่าย่อมไหลไปในอารมณ์ทั้งปวง เพราะไหลไปในอารมณ์ทั้งปวงมีรูปเป็นต้น ด้วยอำนาจแห่งทวารมีจักษุทวารเป็นต้น หรือเพราะตัณหาทั้งหมด คือรูปตัณหา สัททตัณหา คันธตัณหา รสตัณหา โผฏฐัพพตัณหา ธรรมตัณหา ไหลไปในภพทั้งปวง.
บทว่า ลตา ความว่า ตัณหาได้ชื่อว่า ลตา เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า เป็นเหมือนเครือเถา โดยอรรถว่า เป็นเครื่องพัวพัน และโดยอรรถว่า เป็นเครื่องรึงรัดไว้.
สองบทว่า อุพฺภิชฺช ติฏฺติ ความว่า ตัณหาดุจเถาวัลย์เกิดขึ้นโดยทวาร ๖ แล้ว ย่อมตั้งอยู่ในอารมณ์ทั้งหลายมีรูปเป็นต้น.
สองบทว่า ตญฺจ ทิสฺวา ความว่า ก็ท่านเห็นตัณหาดังเครือเถานั้น ด้วยอำนาจแห่งที่มันเกิดแล้วว่า "ตัณหานี้ เมื่อจะเกิดย่อมเกิดขึ้นในปิยรูปและสาตรูปนี้."
บทว่า ปญฺาย ความว่า ท่านทั้งหลายจงตัดที่ราก ด้วยมรรคปัญญา ดุจบุคคลตัดซึ่งเครือเถาที่เกิดในป่าด้วยมีดฉะนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้า 286
บทว่า สริตานิ คือแผ่ซ่านไป ได้แก่ซึมซาบไป.
บทว่า สิเนหิตานิ จ ความว่า และเปื้อนตัณหาเพียงดังยางเหนียว ด้วยอำนาจตัณหาเพียงดังยางเหนียว อันเป็นไปในบริขาร มีจีวรเป็นต้น, อธิบายว่า อันยางเหนียวคือตัณหาฉาบทาแล้ว.
บทว่า โสมนสฺสานิ ความว่า โสมนัสทั้งหลายเห็นปานนั้น ย่อมมีแก่สัตว์ผู้เป็นไปในอำนาจตัณหา.
สองบทว่า เต สาตสิตา ความว่า บุคคลเหล่านั้น คือผู้เป็นไปในอำนาจแห่งตัณหา เป็นผู้อาศัยความสำราญ คืออาศัยความสุขนั่นเอง จึงเป็นผู้แสวงหาความสุข คือเป็นผู้เสาะหาความสุข.
บทว่า เต เว เป็นต้น ความว่า เหล่านระผู้เห็นปานนี้ย่อมเข้าถึงความเกิด ความแก่ ความเจ็บ และความตายแท้ ฉะนั้นจึงเป็นผู้ชื่อว่าเข้าถึงชาติและชรา.
บทว่า ปชา เป็นต้น ความว่า สัตว์เหล่านี้เป็นผู้อันตัณหาที่ถึงซึ่งอันนับว่า "ตสิณา" (ความดิ้นรน) เพราะทำซึ่งความสะดุ้งแวดล้อม คือห้อมล้อมแล้ว.
บทว่า พาธิโต ความว่า (สัตว์เหล่านั้น) ย่อมกระเสือกกระสน คือ หวาดกลัว ดุจกระต่ายตัวที่นายพรานดักได้ในป่าฉะนั้น.
บทว่า สํโยชนสงฺคตฺตา ความว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้อันสังโยชน์ ๑๐ อย่าง และกิเลสเครื่องข้องคือราคะเป็นต้นผูกไว้แล้ว หรือเป็นผู้ติดแล้วในสังโยชน์เป็นต้นนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้า 287
บทว่า จิราย ความว่า สัตว์ทั้งหลายย่อมเข้าถึงทุกข์มีชาติเป็นต้น ร่ำไปสิ้นกาลนาน คือตลอดระยะกาลยืดยาว.
บทว่า ตสฺมา เป็นต้น ความว่า เพราะสัตว์ทั้งหลายผู้อันตัณหา ซึ่งทำความสะดุ้งล้อมไว้ คือรึงรัดไว้แล้ว, ฉะนั้น เมื่อภิกษุปรารถนาหวังอยู่ซึ่งธรรมที่สิ้นกำหนัด คือพระนิพพาน อันเป็นที่ไปปราศกิเลส มีราคะเป็นต้นเพื่อตน พึงบรรเทา คือพึงขับไล่นำออกทิ้งเสียซึ่งตัณหาผู้ทำความสะดุ้งนั้น ด้วยพระอรหัตตมรรคนั่นเทียว.
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.
นางลูกสุกรแม้นั้นแล จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว เกิดในราชตระกูลในสุวรรณภูมิ, จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว เกิดในกรุงพาราณสีเหมือนอย่างนั้นแหละ, จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว เกิดในเรือนพ่อค้าม้าที่ท่าสุปปารกะ, จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว เกิดในเรือนของนายเรือที่ท่าคาวิระ, จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว เกิดในเรือนของอิสรชน ในเมืองอนุราธบุรี, จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว เกิดเป็นธิดาในเรือนของกุฏุมพีชื่อสุมนะ ในเภกกันตคาม ในทิศทักษิณของเมืองนั้นแล้ว ชื่อสุมนา ตามชื่อ (ของกุฎุมพีนั้น). ต่อมาบิดาของนาง เมื่อชนทั้งหลายทิ้งบ้านนั้นแล้ว ได้ไปสู่แคว้นทีฆวาปีอยู่ในบ้านชื่อมหามุนีคาม. อำมาตย์ของพระเจ้าทุฏฐคามณีนามว่าลกุณฏกอติมพระ ไปที่บ้านนั้นด้วยกรณียกิจบางอย่าง เห็นนางแล้ว ทำการมงคลอย่างใหญ่ พานางไปสู่บ้านมหาปุณณคามแล้ว. ครั้งนั้น พระมหาอตุลเถระผู้อยู่ในมหาวิหารชื่อโกฏิบรรพต เที่ยวไปในบ้านนั้น เพื่อบิณฑบาต
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้า 288
ยืนอยู่ที่ประตูเรือนของนาง เห็นนางแล้ว จึงกล่าวกะภิกษุทั้งหลายว่า "ผู้มีอายุทั้งหลาย ชื่อว่านางลูกสุกร ถึงความเป็นภรรยาของมหาอำมาตย์ ชื่อลกุณฏกอติมพระแล้ว, โอ! น่าอัศจรรย์จริง." นางฟังคำนั้นแล้วเพิกภพในอดีตขึ้นได้ กลับได้ญาณอันเป็นเหตุระลึกชาติ. ในขณะนั้นนั่นเอง นางมีความสังเวชเกิดขึ้นแล้ว อ้อนวอนสามีบวชในสำนักพระเถรีผู้ประกอบด้วยพละ ๕ ด้วยอิสริยยศอย่างใหญ่ ได้ฟังกถาพรรณนามหาสติปัฏฐานสูตร ในติสสมหาวิหารแล้ว ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล, ภายหลัง เมื่อพระเจ้าทุฏฐคามณีทรงปราบทมิฬได้แล้ว พระสุมนาเถรีไปสู่บ้านเภกกันตคาม ซึ่งเป็นที่อยู่ของมารดาบิดานั่นเทียว อยู่ในบ้านนั้น ฟังอาสีวิสูปมสูตรในกัลลกมหาวิหาร บรรลุพระอรหัตแล้ว.
ในวันปรินิพพาน นางถูกพวกภิกษุณีซักถามแล้ว ได้เล่าประวัติทั้งหมดนี้อย่างละเอียด (๑) แก่ภิกษุณีสงฆ์ แล้วสนทนากับพระมหาติสสเถระ ผู้กล่าวบทแห่งธรรม ผู้มีปกติอยู่ในมณฑลาราม ณ ท่ามกลางภิกษุสงฆ์ผู้ประชุมกันแล้ว กล่าวว่า "ในกาลก่อน ข้าพเจ้าจุติจากกำเนิดมนุษย์แล้ว เป็นแม่ไก่ ถึงการตัดศีรษะจากสำนักเหยี่ยวในอัตภาพนั้นแล้ว (ไป) เกิด ในกรุงราชคฤห์ แล้วบวชในสำนักนางปริพาชิกาทั้งหลาย แล้วเกิดในภูมิปฐมฌาน จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว เกิดในตระกูลเศรษฐี ต่อกาลไม่นานนัก จุติแล้วไปสู่กำเนิดสุกร จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ไปสู่สุวรรณภูมิ จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ไปสู่เมืองพาราณสี จุติจากอัตภาพนั้นแล้วไปสู่ ท่าสุปปารกะ จุติจากอัตภาพนั้นแล้วไปสู่ท่าคาวิระ จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ไปสู่เมืองอนุราธบุรี จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ไปสู่บ้านเภกกันตคาม, ข้าพเจ้า
(๑) นิรนฺตรํ แปลว่า หาระหว่างมิได้ ถือความแปลตามนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ - หน้า 289
ได้ถึงอัตภาพ ๑๓ อันสูงๆ ต่ำๆ อย่างนั้น ด้วยประการฉะนี้ บัดนี้ เกิดในอัตภาพอันอุกฤษฏ์แล้ว ขอให้ท่านทั้งหลายแม้ทั้งหมด จงยังธรรมเป็นกุศลทั้งหลายให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด." ดังนี้แล้ว ยังบริษัท ๔ ให้สังเวชแล้วปรินิพพาน ดังนี้แล.
เรื่องนางลูกสุกร จบ.