[เล่มที่ 54] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 398
เถรีคาถา วีสตินิบาต
๔. สุนทรีเถรีคาถา
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 54]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 398
๔. สุนทรีเถรีคาถา
[๔๗๐] พระสุนทรีเถรี ได้กล่าวอุทานคาถา แสดงข้อความตั้งแต่บิดากล่าวเป็นต้นไปว่า
สุชาตพราหมณ์ถามพระวาสิฏฐีเถรีว่า
ข้าแต่ท่านแม่เจ้าวาสิฏฐี แต่ก่อน แม่เจ้ากินลูกๆ ที่ตายไปแล้ว แม่เจ้าต้องเดือดร้อนอย่างหนัก วันนี้พราหมณีนั้นกินลูกหมดทั้งร้อยคน เพราะเหตุไร จึงไม่เดือดร้อนหนักหนาเล่า.
พระวาสิฏฐีเถรีตอบว่า
ดูก่อนท่านพราหมณ์ ลูกร้อยคนและหมู่ญาติร้อยคน เรากับท่านก็กินกันมามากแล้วในอดีตภาค เรานั้นรู้ธรรมที่ชาติและชราแล่นออกไปแล้วจึงไม่เศร้าโศก ไม่ร้องไห้และไม่เดือดร้อนเลย.
สุชาตพราหมณ์ถามว่า
ข้าแต่แม่ท่านวาสิฏฐี น่าอัศจรรย์จริงหนอที่แม่เจ้ากล่าววาจาเช่นนี้ ก็แม่เจ้ารู้ธรรมของใครเล่าจึงกล่าววาจาเช่นนี้.
พระวาสิฏฐีเถรีตอบว่า
ดูก่อนท่านพราหมณ์ ในกรุงมิถิลา พระสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงแสดงธรรมโปรดหมู่สัตว์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 399
เพื่อละทุกข์ทั้งปวง ดูก่อนท่านพราหมณ์ เราฟังธรรมที่ไม่มีกิเลสและทุกข์ของพระอรหันต์พระองค์นั้น รู้แจ้งสัทธรรมในพระธรรมเทศนานั้นแล้ว จึงบรรเทาเศร้าโศกถึงลูกเสียได้.
สุชาตพราหมณ์กล่าวว่า
ถึงข้าพเจ้านั้น ก็จักไปกรุงมิถิลาเหมือนกัน ถ้ากระไร พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ก็คงจะทรงช่วยเปลื้องข้าพเจ้าเสียจากทุกข์ทั้งหมดได้.พราหมณ์ได้พบพระพุทธเจ้า ผู้ทรงหลุดพ้นโดยประการทั้งปวง ทรงไม่มีกิเลสและทุกข์ พระมุนีผู้ถึงฝั่งแห่งทุกข์ ได้ทรงแสดงธรรมโปรดพราหมณ์นั้นคือทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ ความก้าวล่วงทุกข์ อริยมรรคมีองค์ ๘ ที่ให้ถึงความระงับทุกข์ สุชาตพราหมณ์รู้แจ้งสัทธรรมในพระธรรมเทศนานั้นแล้ว ก็เข้าบวช ๓ราตรี ก็บรรลุวิชชา ๓.
พระสุชาตภิกษุกล่าวกะสารถีคนขับรถว่า
มานีสารถี เธอจงกลับไป เรามอบรถคันนี้ให้ จงบอกพราหมณีถึงความสบายไม่เจ็บป่วยว่า บัดนี้พราหมณ์บวชแล้ว ๓ ราตรี สุชาตพราหมณ์ก็บรรลุวิชชา ๓.
ลำดับนั้น สารถีพารถและทรัพย์พันกหาปณะไปมอบให้พราหมณี บอกพราหมณีถึงความสบายไม่เจ็บป่วยว่า บัดนี้ พราหมณ์บวชแล้ว ๓ ราตรี สุชาตพราหมณ์ก็บรรลุวิชชา ๓.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 400
พราหมณีกล่าวว่า
ดูก่อนสารถี ข้าฟังเรื่องพราหมณ์ได้วิชชา ๓แล้ว ก็ขอมอบรถม้าคันหนึ่งกับทรัพย์พันกหาปณะเป็นรางวัลตอบแทนที่ให้ข่าวน่ายินดี แก่เจ้า.
สารถีไม่ยอมรับกลับกล่าวว่า
ข้าแต่แม่พราหมณี รถม้ากับทรัพย์พันกหาปณะจงกลับเป็นของแม่ท่านตามเดิมเถิด แม้ตัวข้าพเจ้า ก็จักบวชในสำนักพระพุทธเจ้า ผู้มีพระปัญญาอันประเสริฐ.
พราหมณีกล่าวกะสุนทรีธิดาว่า
ดูก่อนสุนทรี บิดาของลูกละช้าง ม้า โค มณีกุลฑล ความมั่งคั่ง และสมบัติคฤหัสถ์นี้ ออกบวชเสียแล้ว ลูกจงบริโภคโภคสมบัติ จงเป็นทายาทรับมรดกในตระกูลนะลูก.
สุนทรีธิดากล่าวกะพราหมณีมารดาว่า
แม่จ๋า บิดาของลูกถูกความเศร้าโศกถึงลูกชายรบกวนหนัก จึงละช้าง ม้า โค มณีและกุณฑล ความมั่งคั่ง และสมบัติคฤหัสถ์นี้ออกบวช ถึงลูกก็ถูกความเศร้าโศกถึงน้องชายรบกวนมาก จึงจักบวชด้วยจ้ะแม่.
พราหมณีมารดากล่าวอนุญาตว่า
ดูก่อนสุนทรี ความดำรินั้นของลูกจึ่งสำเร็จสมปรารถนาเถิด ลูกเมื่อสำเร็จกิจเหล่านี้คือ การยืนรับก่อนข้าว การแสวงหาอาหารและการทรงผ้าบังสุกุลจีวร จงเป็นผู้ไม่มีอาสวะในปรโลกเถิด.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 401
เมื่อบวชบำเพ็ญเพียรบรรลุพระอรหัตแล้ว พระสุนทรีเถรี จึงขออนุญาตพระอุปัชฌายะว่า
ข้าแต่แม่เจ้า ข้าพเจ้าเมื่อเป็นสิกขมานา ก็ชำระทิพยจักษุได้แล้ว ข้าพเจ้าระลึกรู้ขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่แต่ก่อนได้แล้ว.
ข้าแต่พระเถรีผู้มีกัลยาณธรรม ผู้งามเอง และผู้ทำหมู่ให้งาม ข้าพเจ้าบรรลุวิชชา ๓ แล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้าก็ทำเสร็จแล้ว.
ข้าแต่แม่เจ้า โปรดอนุญาตเถิดเจ้าค่ะ ข้าพเจ้าประสงค์จะไปกรุงสาวัตถี จักบรรลือสีหนาทในสำนักของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด.
พระสุนทรีเถรีได้รับอนุญาตแล้ว ก็เข้าไปพระเชตวันวิหาร พบพระศาสดาประทับนั่งอยู่ จึงกล่าวคาถาเป็นอุทานว่า
ดูก่อนสุนทรี เจ้าจงพิศดูพระศาสดาผู้มีพระฉวีวรรณปานทอง ผู้ทรงฝึกพวกที่ใครๆ ฝึกไม่ได้ ผู้ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง ผู้ไม่มีภัยแต่ที่ไหนๆ .
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอได้โปรดจงดูสุนทรีผู้กำลังเดินมา ผู้หลุดพ้นโดยประการทั้งปวงผู้ไม่มีกิเลสและทุกข์ ปราศจากราคะ ไม่หอบทุกข์ไว้ ทำกิจเสร็จแล้ว ไม่มีอาสวะ
ข้าแต่พระผู้ทรงมีเพียรยิ่งใหญ่ สุนทรีออกจากกรุงพาราณสีมาเฝ้าพระองค์ เป็นสาวิกาของพระองค์ขอถวายบังคมพระยุคลบาท พระเจ้าข้า.
ข้าแต่พระผู้ทรงเป็นพราหมณ์ พระองค์เป็นพระพุทธเจ้า พระองค์เป็นพระศาสดา ข้าพระองค์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 402
เป็นธิดาของพระองค์ เป็นโอรสเกิดแต่พระโอษฐ์ทำกิจเสร็จแล้ว ไม่มีอาสวะ พระเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ดูก่อนลูกสุนทรี เจ้ามาดีแล้ว มาไม่เลวเลย ด้วยว่าผู้ฝึกอย่างนี้แล้ว ปราศจากราคะ ไม่หอบทุกข์ไว้ทำกิจเสร็จแล้ว ไม่มีอาสวะ ย่อมมาไหว้เท้าศาสดาของตน.
จบ สุนทรีเถรีคาถา
๔. อรรถกถาสุนทรีเถรีคาถา
คาถาว่า เปตานิ โภติ ปุตฺตานิ เป็นต้น เป็นคาถาของ พระสุนทรีเถรี.
พระเถรีแม้รูปนี้ ก็ได้บำเพ็ญบารมีมาแล้วในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ สร้างสมกุศลอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานมาในภพนั้นๆ ๓๑ กัปนับแต่กัปนี้ไป ครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า เวสสภู ก็บังเกิดในเรือนคนมีสกุล รู้เดียงสาแล้ว วันหนึ่งเห็นพระศาสดากำลังเสด็จบิณฑบาตมีใจเลื่อมใสแล้ว ถวายภิกษา [คืออาหาร] แล้วถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์. พระศาสดาทรงทราบถึงความมีจิตเลื่อมใส ทรงทำอนุโมทนาแล้วก็เสด็จไป. เพราะบุญนั้น นางบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ อยู่จนตลอดอายุในสวรรค์ชั้นนั้นเสวยทิพยสมบัติ จุติจากสวรรค์ชั้นนั้นแล้ว ก็เที่ยวไปเที่ยวมาอยู่ในสุคติเท่านั้น มีญาณแก่กล้า ในพุทธุปบาทกาลนี้ ก็บังเกิดเป็นธิดาของพราหมณ์ชื่อ สุชาตะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 403
ในกรุงพาราณสี เพราะนางมีรูปสมบัติคือสวย จึงมีนามว่า สุนทรี เมื่อเติบโตแล้วน้องชายของนางก็ตาย บิดาของนางเศร้าโศกยิ่งนัก ท่องเที่ยวไปในที่นั้นๆ ได้สมาคมกับพระเถรีนามว่าวาสิฏฐี เมื่อจะไถ่ถามพระเถรีถึงเหตุที่จะช่วยบรรเทาคุวามเศร้าโศก จึงได้กล่าวคาถา ๒ คาถามีว่า เปตานิ โภติปุตฺตานิ เป็นต้น พระเถรีรู้ว่าพราหมณ์เศร้าโศกมาก ประสงค์จะช่วยบรรเทาความเศร้าโศก ก็กล่าว ๒ คาถามีว่า พหูนิ เม ปุตฺตธีตานิ เป็นต้นแล้วบอกถึงเรื่องที่ตนไม่เศร้าโศก พราหมณ์ฟังเรื่องนั้นแล้ว ก็ถามพระเถรีว่าพระแม่ท่านเจ้าข้า พระแม่เจ้าไม่เศร้าโศกอย่างนี้ได้อย่างไร พระเถรีจึงพรรณนาพระคุณพระรัตนตรัยของตนแก่พราหมณ์นั้น.
พราหมณ์ถามว่า พระศาสดาประทับอยู่ที่ไหน ทราบว่า เวลานี้ประทับอยู่ในกรุงมิถิลา ในทันใดนั้นก็เทียมรถ ควบขับไปกรุงมิถิลา เข้าเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคม กล่าวสัมโมทนียกถาตามธรรมเนียมแล้ว ก็นั่ง ณ ที่สมควรส่วนหนึ่ง พระศาสดาก็ทรงแสดงธรรมโปรดเขา พราหมณ์นั้นฟังธรรมแล้วได้ศรัทธา ก็บวช เริ่มเจริญวิปัสสนา พากเพียรพยายามอยู่ วันที่ ๓ ก็บรรลุพระอรหัต. ครั้งนั้นสารถีคนขับรถ ก็นำรถกลับไปกรุงพาราณสี บอกเรื่องราวแก่พราหมณี [ภรรยา] ฝ่ายสุนทรี รู้เรื่องที่บิดาตนบวชก็บอกลาว่า แม่จ๋าลูกก็จักบวชจ้ะ มารดากล่าวว่า ลูกเอ๋ย โภคสมบัติในเรือนนี้ทั้งหมดเป็นของลูก ลูกจงปฏิบัติตัวเป็นทายาทรับมรดกของตระกูลนี้ จงบริโภคทรัพย์ทุกอย่างเถิด อย่าบวชเลย. สุนทรีกล่าววา ลูกไม่ต้องการโภคทรัพย์ดอก ลูกจักบวชจ้ะ.เธออ้อนวอนให้มารดาอนุญาตแล้ว ก็ทิ้งสมบัติกองใหญ่ เหมือนทิ้งก้อนเขฬะไปบวช ครั้นบวชเป็นสิกขมานาแล้ว เริ่มเจริญวิปัสสนา พากเพียรพยายามอยู่เพราะญาณแก่กล้า เหตุเพียบพร้อมด้วยเหตุสัมปทา ก็บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ๔.
ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในคัมภีร์อปทานว่า (๑)
๑. ไม่มีในบาลีอปทาน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 404
ข้าพเจ้าถือข้าว ๑ ทัพพี ถวายแด่พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด ผู้แสวงคุณอันยิ่งใหญ่ พระนามว่าเวสสภูซึ่งกำลังเสด็จเที่ยวบิณฑบาต พระเวสสภูสัมพุทธเจ้าพระศาสดาผู้นำโลก ทรงรับแล้ว ประทับยืน ณ ท้องถนน ทรงกระทำอนุโมทนาแก่ข้าพเจ้าว่า ท่านถวายข้าว ๑ ทัพพี จักไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ จักเป็นมเหสีของท้าวสักกะเทวราช ๓๖ พระองค์ จักเป็นเอกอัครมเหสีของพระเจ้าจักรพรรดิ ๕๐ พระองค์ ท่านจักได้ทุกอย่างที่ใจปรารถนาทุกเมื่อ ท่านครั้นเสวยสมบัติแล้ว ก็จักเว้นจากเครื่องกังวล จักกำหนดรู้อาสวะทั้งปวง ไม่มีอาสวะ ดับสนิท พระเวสสภูสัมพุทธเจ้าปราชญ์ผู้นำทาง ครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว ก็เสด็จสู่ท้องฟ้าเหมือนพระยาหงส์บินไปในอากาศ ทานอย่างประเสริฐ ข้าพเจ้าก็ถวายดีแล้ว ยาคสัมปทา ความพร้อมแห่งยาคะ [การบูชา] ข้าพเจ้าก็บูชาแล้วข้าพเจ้าถวายข้าวทัพพีเดียวก็บรรลุอจลบท บทอันไม่สั่นคลอน ๓๑ กัปนับแต่กัปนี้ไป ในครั้งนั้น ข้าพเจ้าได้ถวายภิกษาทานอันใด ข้าพเจ้าไม่รู้จักทุคติเลย ที่เป็นผลของภิกษาทานอันนั้น กิเลสทั้งหลายข้าพเจ้าก็เผาเสียแล้ว ฯลฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าก็ทำเสร็จแล้ว.
ก็แลสิกขมานาสุนทรี ครั้นบรรลุ พระอรหัตแล้ว อยู่ด้วยสุขในผลและสุขในพระนิพพาน ต่อมา [อุปสมบทแล้ว] คิดว่า จำเราจักบรรลือสีหนาทต่อพระพักตร์ของพระศาสดา จึงลาพระอุปัชฌายะ ออกจากกรุงพาราณสี
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 405
พร้อมด้วยภิกษุณีมากรูป เดินไปโดยลำดับถึงกรุงสาวัตถีแล้ว เข้าไปเฝ้าพระศาสดาถวายบังคมแล้วยืน ณ ที่สมควรส่วนหนึ่ง พระศาสดาทรงทำปฏิสันถารแล้ว ก็พยากรณ์พระอรหัต ด้วยการประกาศความที่ตนเป็นธิดา เกิดแต่พระอุระของพระศาสดาเป็นต้น ครั้งนั้นหมู่ญาติทุกคน ตั้งต้นแต่มารดาของนาง และคนใกล้เคียง ก็พากันออกบวช ต่อมาพระสุนทรีเถรีนั้น พิจารณาทบทวนถึงความเป็นมาของตนจึงกล่าวคาถาเหล่านี้ เป็นอุทาน ตั้งแต่คาถาที่บิดากล่าวมาแล้วเป็นต้นไปว่า
สุชาตพราหมณ์ถามพระวาสิฏฐีเถรีว่า
ข้าแต่ท่านแม่เจ้าวาสิฏฐี แต่ก่อน แม่เจ้ากินลูกๆ ที่ตายไปแล้ว แม่เจ้าต้องเดือดร้อนอย่างหนัก วันนี้พราหมณีนั้นกินลูกหมดทั้งร้อยคน เพราะเหตุไร จึงไม่เดือดร้อนหนักหนาเล่า.
พระวาสิฏฐีเถรีตอบว่า
ดูก่อนท่านพราหมณ์ บุตรร้อยคนและหมู่ญาติร้อยคน เรากับท่านก็กินกันมามากแล้วในอดีตภาค เรานั้นรู้ธรรมที่ชาติและชราแล่นออกไปแล้ว จึงไม่เศร้าโศก ไม่ร้องไห้และไม่เดือดร้อนเลย.
สุชาตพราหมณ์ถามว่า
ข้าแต่ท่านแม่เจ้าวาสีฎฐี น่าอัศจรรย์จริงหนอแม่เจ้ากล่าววาจาเช่นนี้ ก็แม่เจ้ารู้ธรรมของใครเล่าจึงกล่าววาจาเช่นนี้.
พระวาสิฏฐีเถรีตอบว่า
ดูก่อนท่านพราหมณ์ ในกรุงมิถิลา พระสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงแสดงธรรมโปรดหมู่สัตว์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 406
เพื่อละทุกข์ทั้งปวง ดูก่อนท่านพราหมณ์ เราฟังธรรมที่ไม่มีกิเลสและทุกข์ของพระอรหันต์พระองค์นั้น รู้แจ้งสัทธรรมในพระธรรมเทศนานั้นแล้ว จึงบรรเทาความเศร้าโศกถึงบุตรเสียได้.
สุชาตพราหมณ์กล่าวว่า
ถึงข้าพเจ้านั้น ก็จักไปกรุงมิถิลาเหมือนกัน ถ้ากระไร พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ก็คงจะทรงช่วยเปลื้องข้าพเจ้าเสียจากทุกข์ทั้งหมดได้.พราหมณ์ได้พบพระพุทธเจ้าผู้ทรงหลุดพ้น โดยประการทั้งปวง ทรงไม่มีกิเลสและทุกข์ พระมุนีผู้ถึงฝั่งแห่งทุกข์ ได้ทรงแสดงธรรมโปรดพราหมณ์นั้นคือทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ ความก้าวล่วงทุกข์ อริยมรรคมีองค์ ๘ ที่ให้ถึงความระงับทุกข์ สุชาตพราหมณ์รู้แจ้งสัทธรรม ในพระธรรมเทศนานั้นแล้ว ก็เข้าบวช๓ ราตรี ก็บรรลุวิชชา ๓.
สุชาตภิกษุกล่าวกะสารถีคนขับรถว่า
มานี่แน่ะสารถี เธอจงกลับไป เรามอบรถคันนี้ให้ จงบอกพราหมณีถึงความสบายไม่เจ็บป่วยว่า บัดนี้พราหมณ์บวชแล้ว ๓ ราตรี สุชาตพราหมณ์ก็บรรลุวิชชา ๓.
ลำดับนั้น สารถีพารถและทรัพย์พันกหาปณะไปมอบให้พราหมณี บอกพราหมณีถึงความสบายไม่เจ็บป่วยว่า บัดนี้ พราหมณ์บวชแล้ว ๓ ราตรี สุชาตพราหมณ์ก็บรรลุวิชชา ๓.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 407
พราหมณีกล่าวว่า
ดูก่อนสารถี ข้าฟังเรื่องพราหมณ์ได้วิชชา ๓ แล้ว ก็ขอมอบรถม้าคันหนึ่งกับทรัพย์พันกหาปณะเป็นรางวัลตอบแทนที่ให้ข่าวน่ายินดี แก่เจ้า.
สารถีไม่ยอมรับกลับกล่าวว่า
ข้าแต่แม่พราหมณี รถม้ากับทรัพย์พันกหาปณะจงกลับเป็นของแม่ท่านตามเดิมเถิด แม้ข้าพเจ้าก็จักบวชในสำนักพระพุทธเจ้า ผู้มีพระปัญญาอันประเสริฐ.
พราหมณีกล่าวกะสุนทรีธิดาว่า
ดูก่อนสุนทรี บิดาของลูกละ ช้าง โค ม้า มณีและกุณฑล ความมั่งคั่ง และสมบัติคฤหัสถ์นี้ ออกบวชเสียแล้ว ลูกจงบริโภคโภคสมบัติ จงเป็นทายาทรับมรดกในตระกูลนะลูก
สุนทรีธิดากล่าวกะพราหมณีมารดาว่า
แม่จ๋า บิดาของลูกถูกความเศร้าโศกถึงลูกชายรบกวนหนัก จึงละช้าง โค ม้า มณีและกุณฑล ความมั่งคั่ง และสมบัติคฤหัสถ์นี้ออกบวช ถึงลูกก็ถูกความเศร้าโศกถึงน้องชายรบกวนมา จึงจักบวชจ้ะแม่.
พราหมณีมารดากล่าวอนุญาตว่า
ดูก่อนสุนทรี ความดำรินั้นของลูกจงสำเร็จสมปรารถนาเถิด ลูกเมื่อสำเร็จกิจเหล่านี้คือ การยืนรับก้อนข้าว การแสวงหาอาหาร และการทรงผ้าบังสุกุลจีวร จงเป็นผู้ไม่มีอาสวะในปรโลกเถิด,
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 408
เมื่อบวชบำเพ็ญเพียรบรรลุพระอรหัตแล้ว พระสุนทรีเถรี จึงขออนุญาตอุปัชฌายะว่า
ข้าแต่แม่เจ้า ข้าพเจ้าเมื่อเป็นสิกขมานาก็ชำระทิพยจักษุได้แล้ว ข้าพเจ้าระลึกรู้ขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่แต่ก่อนได้แล้ว.
ข้าแต่พระเถรีผู้มีกัลยาณธรรม ผู้งามเอง และผู้ทำหมู่ให้งามข้าพเจ้าอาศัยท่านแม่เจ้าค่ะ วิชชา ๓ ก็บรรลุแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้าก็ทำเสร็จแล้ว.
ข้าแต่แม่เจ้า โปรดอนุญาตเถิดเจ้าค่ะ ข้าพเจ้าประสงค์จะไปกรุงสาวัตถี จักบรรลือสีหนาท ในสำนักของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด.
พระสุนทรเถรีได้รับอนุญาตแล้วเข้าไปพระเชตวันวิหาร พบพระศาสดาประทับนั่งอยู่ จึงกล่าวคาถาเป็นอุทานว่า.
ดูก่อนสุนทรี เจ้าจงพิศดูพระศาสดาผู้มีพระฉวีวรรณปานทอง ผู้ทรงฝึกพวกคนที่ใครๆ ฝึกไม่ได้ผู้ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง ผู้ไม่มีภัยแต่ที่ไหนๆ.
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอโปรดทรงดูสุนทรีผู้กำลังเดินมา ผู้หลุดพ้นโดยประการทั้งปวง ผู้ไม่มีกิเลสแลทุกข์ ปราศจากราคะไม่หอบทุกข์ไว้ ทำกิจเสร็จแล้ว ไม่มีอาสวะ.
ข้าแต่พระผู้ทรงมีเพียรยิ่งใหญ่ สุนทรีออกจากกรุงพาราณสีมาเฝ้าพระองค์ เป็นสาวิกาของพระองค์ขอถวายบังคมพระยุคลบาทพระเจ้าข้า.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 409
ข้าแต่พระผู้เป็นพราหมณ์ พระองค์เป็นพระพุทธเจ้า พระองค์เป็นพระศาสดา ข้าพระองค์เป็นธิดาของพระองค์ เป็นโอรสเกิดแต่พระโอษฐ์ ทำกิจเสร็จแล้ว ไม่มีอาสวะพระเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ดูก่อนลูกสุนทรี เจ้ามาดีแล้ว มาไม่เลวเลย ด้วยว่า ผู้ฝึกอย่างนี้แล้ว ปราศจากราคะ ไม่หอบทุกข์ไว้ ทำกิจเสร็จแล้ว ไม่มีอาสวะ ย่อมมาไหว้เท้าพระศาสดาของตน.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เปตานิ ได้แก่ ตายแล้ว. สุชาตพราหมณ์เรียกพระวาสิฏฐีเถรีนั้นว่า ข้าแต่พระแม่ผู้เจริญ. คำว่า ปุตฺตานิ ท่านกล่าวโดยเป็นลิงควิปลาส [เพราะศัพท์ ปุตฺต ปกติเป็น ปุํ. แต่ท่านทำเป็น นปุํ.ดังว่านี้ไปเสีย จึงเป็นลิงควิปลาส] ความว่า ลูกชายที่ตายแล้ว ความจริงลูกชายของพระวาสิฏฐีเถรีนั้นตายไปแล้ว มีคนเดียวเท่านั้น แต่พราหมณ์สำคัญอย่างนี้ว่า พระวาสิฏฐีเถรีนี้ ถูกความเศร้าโศกรบกวน จึงท่องเที่ยวไปเสียตั้งนาน ชรอยลูกชายนางที่ตายไปแล้วมีมากคน จึงกล่าวคำเป็นพหุวจนะ [จำนวนมาก] และกล่าวคำเป็นพหุวจนะ อย่างนั้นว่า สาชฺช สพฺพานิขาทิตฺวา สตปุตฺตานิ. คำว่า ขาทมานา นี้ เป็นคำด่าตามโวหารโลก.จริงอยู่ ลูกชายที่เกิดแล้วเกิดเล่าของหญิงคนตายไปเสีย คนทั้งหลายเมื่อจะติเตียนหญิงคนนั้น จึงกล่าวคำว่า หญิงกินลูกเป็นต้น. บทว่า อตีว แปลว่าเกินเปรียบ คือหนักหนา. บทว่า ปริตปฺปสิ แปลว่า เดือดร้อน ประกอบความว่า แต่ก่อน. ก็ในข้อนี้มีความย่อดังนี้ว่า ข้าแต่ท่านแม่เจ้าวาสิฏฐี แต่ก่อน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 410
ท่านแม่ก็ลูกชายตาย ใจแห้งผากคร่ำครวญเพียบแปร้ด้วยความเศร้าโศกอย่างเหลือเกิน ต้องท่องเที่ยวไปยังคามนิคมราชธานีทั้งหลาย.
บทว่า สาชฺช ตัดบทเป็น สา อชฺช ความว่า เดี๋ยวนี้ ท่านแม่นั้น ก็กินลูกชายหมดทั้งร้อยคน. อีกอย่างหนึ่ง บาลีว่า สชฺช ก็มี. บทว่าเกน วณฺเณน แปลว่า เพราะเหตุไร.
ด้วยบทว่า ขาทิตานิ แม้พระเถรีก็กล่าวตามปริยายที่พราหมณ์กล่าวแล้ว อีกอย่างหนึ่ง พระเถรีกล่าวอย่างนี้ว่า ขาทิตานิ ก็หมายถึงชาติของสัตว์ร้าย มีเสือโคร่ง เสือเหลือง แมวป่า เป็นต้น. บทว่า อตีตํเส แปลว่า ส่วนที่เป็นอดีต ความว่า ในภพที่ล่วงแล้ว. บทว่า มม ตุยฺหญฺจแปลว่า อันเราและท่าน [กินกันมาแล้ว].
บทว่า นิสฺสรณํ ญตฺวา ความว่า แทงตลอดพระนิพพาน อันเป็นเครื่องแล่นออกไปแห่งชาติและมรณะด้วยมรรคญาณ. บทว่า น จาหํปริตปฺปามิ ความว่า เราไม่เดือดร้อน ไม่ถึงความคับแค้นใจแล้ว.
บทว่า อพฺภูตํ วต แปลว่า น่าอัศจรรย์หนอ. จริงอยู่ ความอัศจรรย์นั้น เรียกว่า อัพภูตะ. บทว่า เอทิสํ แปลว่า เห็นปานนี้ คือวาจาที่แสดงความไม่มีความเศร้าโศกเป็นต้น อย่างนี้ว่า เราไม่เศร้าโศกไม่ร้องไห้ และไม่เดือดร้อน เพราะเหตุที่ยังไม่ได้ธรรมเช่นนี้อย่างเดียว ฉะนั้นด้วยบทว่า กสฺส ตฺวํ ธมฺมมญฺาย พราหมณ์จึงถามถึงพระศาสดาและคำสั่งสอนว่า แม่ท่านรู้ทั่วถึงธรรมของพระศาสดา พระนามว่าอะไร จึงกล่าววาจาเช่นนี้.
บทว่า นิรูปธึ ได้แก่ ไม่มีทุกข์. บทว่า วิญฺาตสทฺธมฺมาได้แก่ แทงตลอดธรรมคืออริยสัจ. บทว่า พฺยปานุทึ ได้แก่ นำออกคือละ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 411
บทว่า วิปฺปมุตฺตํ ได้แก่ หลุดพ้นโดยประการทั้งปวง คือพรากออกจากกิเลสทุกอย่าง และจากภพทุกภพ. บทว่า สฺวสฺส ได้แก่ พระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงแสดงธรรมโปรดพราหมณ์นั้น.
บทว่า ตตฺถ ได้แก่ ในเทศนาว่าด้วยสัจจะ ๔ นั้น.
บทว่า รถํ นิยฺยาทยาหิมํ ความว่า จงมอบรถนี้แก่พราหมณี.
บทว่า สหสฺสญฺจาปิ ประกอบความว่า จงนำรถม้าและทรัพย์พันกหาปณะที่เรานำไปด้วย เพื่อใช้สอยในระหว่างทางไปมอบแก่พราหมณี.
บทว่า อสฺสรถํ ได้แก่ รถเทียมม้า.
บทว่า ปุณฺณปตฺตํ ได้แก่ รางวัลที่ให้ข่าวน่ายินดี.
เมื่อพราหมณีให้รางวัลที่ให้ข่าวน่ายินดีอย่างนี้ สารถีไม่ยอมรับรางวัลนั้น กลับกล่าวคาถาว่า ตุเยฺหว โหตุ เป็นต้น ไปบวชในสำนักพระศาสดาเหมือนกัน เมื่อสารถีบวชแล้ว พราหมณีจึงเรียกสุนทรีธิดาของตนมา เมื่อจะชักจูงประกอบไว้ในฆราวาสวิสัย จึงกล่าวคาถามีว่า หตฺถิ ควสฺสํ เป็นต้นในคาถานั้น บทว่า หตฺถิ ได้แก่ ช้าง. บทว่า ควสฺสํ ได้แก่ โคและม้า.บทว่า มณิกุณฺฑลญฺจ ได้แก่ มณีและกุณฑล. บทว่า ผีตญฺจิมํ เคหวิคตํปหาย ความว่า บิดาของลูกละสมบัติที่กล่าวแล้ว ต่างโดยช้างเป็นต้น และที่ไม่ได้กล่าว ต่างโดยที่นา เงิน และทองเป็นต้น ความมั่งคั่ง สมบัติของเรือน เครื่องอุปกรณ์เรือนเป็นอันมาก และอย่างอื่นมีทาสและทาสีเป็นต้น ทุกอย่างนี้ไปบวช. บทว่า ภุญฺช โภคานิ สุนฺทริ ความว่า ดูก่อนสุนทรีลูกจงบริโภคโภคะเหล่านี้. บทว่า ตุวํ ทายาทิกา กุเล ความว่า ด้วยลูกสมควรเป็นทายาทรับมรดกในตระกูลนี้.
สุนทรีฟังคำมารดานั้นแล้ว เมื่อจะประกาศอัธยาศัยที่น้อมไปในเนกขัมมะการออกบวชของตน จึงกล่าวคาถาว่า ทตฺถิควสฺสํ เป็นต้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 412
ลำดับนั้น มารดาเมื่อจะชักจูงประกอบนางไว้ในเนกขัมมะนั่นแลจึงกล่าวคาถาครึ่ง โดยนัยว่า โส เต อิชฺฌตุ เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้นบทว่า ยํ ตฺวํ ปตฺเถสิ สุนฺทริ ความว่า ดูก่อนสุนทรี บัดนี้ ลูกปรารถนาจำนงหวังอันใด ความดำริในการบรรพชา ความพอใจในการบรรพชานั้นจงสำเร็จ คือสำเร็จโดยไม่มีอันตรายแก่ลูก. บทว่า อุตฺติฎฺปิณฺโฑ ได้แก่ก้อนข้าวที่ภิกษุณีไปยืนทุกๆ บ้านได้มา. บทว่า อุญฺโฉ ได้แก่ การเที่ยวไปตามลำดับบ้าน และยืนเจาะจงเพื่อก้อนข้าวนั้น. บทว่า. เอตานิ ได้แก่กิจกรรมมีก้อนข้าวที่ไปยืนทุกบ้านได้มาเป็นต้น. บทว่า อภิสมฺโภนฺติ ความว่า เป็นผู้ไม่เหนื่อยหน่าย อาศัยกำลังแข้งสำเร็จมา คือทำให้บริสุทธิ์.
ครั้งนั้น สุนทรีรับปากคำมารดาว่า ดีละแม่จ๋า ก็ออกไปยังสำนักภิกษุณี บวชเป็นสิกขมานา ทำให้แจ้งวิชชา ๓ ตั้งใจว่าจักไปเฝ้าพระศาสดาบอกอุปัชฌาย์แล้ว ก็ไปยังกรุงสาวัตถี พร้อมด้วยภิกษุณีทั้งหลาย ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า สิกฺขมานาย เม อยฺเย เป็นต้น ในคำนั้น. บทว่า สิกฺขมานาย เม ความว่า ข้าพเจ้าผู้เป็นสิกขมานา. พระสุนทรีเถรี เรียกอุปัชฌายะของตนด้วยคำว่า อยฺเย.
บทว่า ตุวํ นิสฺสาย กลฺยาณิ เถริสงฺฆสฺส โสภเณ ประกอบความว่า ข้าแต่แม่เจ้า ชื่อว่าเป็นสังฆเถรี เพราะเป็นผู้แก่กว่าในภิกษุณีสงฆ์และเพราะประกอบด้วยคุณที่มั่นคง ชื่อว่าเป็นผู้งาม เป็นกัลยาณี เพราะประกอบด้วยคุณมีศีลเป็นต้นอันงาม ข้าพเจ้าอาศัยแม่เจ้าผู้เป็นกัลยาณมิตรคือแม่ท่าน ข้าพเจ้าจึงบรรลุวิชชา ๓ ทำคำสอนของพระพุทธเจ้าเสร็จ.
บทว่า อิจฺเฉ แปลว่า ปรารถนา. บทว่า สาวตฺถึ คนฺตเวแปลว่า เพื่อไปกรุงสาวัตถี. พระสุนทรีเถรีกล่าวว่า สีหนาทํ นทิสฺสามิหมายถึง การพยากรณ์พระอรหัตเท่านั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 413
ครั้งนั้น พระสุนทรีเถรีถึงกรุงสาวัตถีโดยลำดับ เข้าไปยังพระวิหารเห็นพระศาสดาซึ่งประทับนั่งเหนือธรรมาสน์ ซาบซึ้งปีติและโสมนัสอันโอฬารเมื่อจะเรียกตัวเองเท่านั้น จึงกล่าวว่า ปสฺส สุนฺทริ เป็นต้น. บทว่าเหมวณฺณํ ได้แก่ มีพระวรรณดั่งทอง. บทว่า หริตฺตจํ ได้แก่ มีพระ.ฉวีเปล่งปลั่งดั่งทอง ก็ในคำนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ท่านเรียกว่า มีพระวรรณะดั่งทอง เพราะพระวรรณะเหลือง.
ครั้งนั้นแล พระสุนทรีเถรี กล่าวว่า เหมวณฺณํ มีพระวรรณะดั่งทอง แล้วกล่าวว่า หริตฺตจํ มีพระฉวีดั่งทอง ก็เพื่อแสดงว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า มีพระฉวีวรรณเปล่งปลั่งดั่งกระจกทองที่เขาขัดอย่างดีแล้ว บรรจงทาด้วย ชาติหิงคุลิกะ ก้อนชาติหิงคุ แล้วชักเงา.
บทว่า ปสฺส สุนฺทริมายนฺตึ ความว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดทอดพระเนตร ดู ข้าพระองค์ผู้ชื่อว่าสุนทรีนั้น ซึ่งกำลังเดินมา พระสุนทรีเถรี ขณะพยากรณ์พระอรหัตด้วยคำว่า วิปฺปมุตฺตํ ก็กล่าวด้วยความซาบซ่านแห่งปีติ แต่เพื่อจะกลับความหวัง ความสงสัยของเหล่าคนที่รักใคร่ว่า สุนทุรีมาแต่ไหน มาในที่ไหนและสุนทรีนี้เป็นเช่นไร จึงกล่าวคาถาว่าพาราณสิโต เป็นต้น เพื่อจะทำเนื้อความที่กล่าวไว้ว่า สาวิกา จ ในคาถานั้น ให้ปรากฏชัด จึงกล่าวคาถาว่า ตุวํ พุทฺโธ เป็นอาทิ เนื้อความของคำนั้นมีว่า พระองค์เท่านั้น เป็นพระสัพพัญญูพุทธะ เป็นเอกในโลกพร้อมทั้งเทวโลกนี้ พระองค์เป็นพระศาสดาของข้าพระองค์ เพราะทรงสั่งสอนตามสมควรด้วยประโยชน์ปัจจุบัน ประโยชน์ภายหน้าและประโยชน์อย่างยิ่ง ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ผู้เป็นพราหมณ์ขีณาสพ ชื่อว่าโอรส เพราะเป็นอภิชาติที่ทรงให้เกิดด้วยความพยายามในพระอุระของพระองค์ ชื่อว่าเกิดจาก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 414
พระโอษฐ์ เพราะเกิดด้วยเสียงธรรมที่ทรงให้เป็นไปจากพระโอษฐ์ และด้วยอริยมรรคที่เป็นประธานของคำสั่งสอน ชื่อว่าทำกิจเสร็จแล้ว เพราะกรณียกิจมีสัจจะที่กำหนดรู้เป็นต้นเสร็จไปแล้ว ชื่อว่าหาอาสวะมิได้ ก็เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไปโดยประการทั้งปวง.
ลำดับนั้น พระศาสดาเมื่อทรงชื่นชมการมาของพระสุนทรีเถรีนั้นจึงตรัสคาถาว่า ตสฺสา เต สฺวาคตํ เป็นต้น เนื้อความของพระคาถานั้นมีว่า ดูก่อนสุนทรีผู้เจริญ ท่านผู้ใดบรรลุธรรมที่เราตถาคตบรรลุแล้ว ตามเป็นจริง การมาของท่านผู้นั้นในสำนักเรานี้ เป็นการมาที่ดี เพราะข้อนั้นนั่นแล การมานั้นจึงเป็นการมาที่ไม่เลว คือไม่ใช่การมาที่เลว เพราะเหตุไร เพราะว่าคนทั้งหลายที่ฝึกแล้วอย่างนี้ ย่อมพากันมา ประกอบความว่า ดูก่อนสุนทรี ด้วยว่า คนทั้งหลาย ชื่อว่าฝึกแล้ว เพราะฝึกด้วยอริยมรรคอันยอดเยี่ยม ชื่อว่าปราศจากราคะในที่ทั้งปวง เพราะฝึกแล้วนั้นนั่นแล ชื่อว่าไม่หอบทุกข์ ทำกิจเสร็จ ไม่มีอาสวะ เพราะตัดสังโยชน์ได้หมดสิ้น ย่อมพากันมาไหว้เท้าทั้งสองของพระศาสดา ก็เหมือนอย่างที่ท่านมานี่แหละ.
จบ อรรถกถาสุนทรีเถรีคาถา