มีความยินดีพอใจในกุศลที่ได้ทำแล้ว เป็นความติดข้องหรือไม่
โดย apiwit  8 มิ.ย. 2559
หัวข้อหมายเลข 27864

เรามักจะมีความยินดีพอใจในกุศลที่ได้ทำแล้ว เช่น เราให้อาหารปลา เราตักบาตร เราบริจาคเงินหรือทรัพย์สมบัติเพื่อช่วยเหลือผู้ที่เขาอดอยากหรือมีความต้องการ แน่นอนว่าในขณะที่กระทำสิ่งเหล่านี้ต้องเป็นจิตที่เป็นกุศลเกิดขึ้นเป็นไปอย่างแน่นอน แต่หลังจากนั้นเราก็จะเกิดความรู้สึกยินดีพอใจในความดีนั้น ยินดีพอใจในกุศลอันนั้น กระผมอยากกราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า ขณะที่กำลังรู้สึกยินดีพอใจในขณะนั้นเป็นความติดข้องหรือไม่ เป็นโลภะหรือไม่ครับ



ความคิดเห็น 1    โดย paderm  วันที่ 8 มิ.ย. 2559

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ชีวิตเป็นปกติที่มากด้วยอกุศล จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ขณะที่ยินดีติดข้อง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็เป็นโลภะ แม้ขณะนี้ ไม่ได้ทำบุญ แค่เห็น ก็ติดข้องแล้วโดยไม่รู้ตัว โลภะติดข้องได้ทุกอย่าง เว้นพระนิพพาน พระอรหันต์เท่านั้นที่จะละโลภะหมดสิ้นได้ หนทางการละกิเลส ละโลภะ จึงไม่ใช่การไม่ให้โลภะเกิด เพราะเป็นเรื่องเหลือวิสัย แต่ คือ เข้าใจความเป็นปกติของโลภะ และ ธรรมที่เกิดแล้วว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา เป็นหนทางการดับกิเลส ครับ

คำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์

ต้องเห็นโลภะจึงละโลภะได้

เป็นคนที่ผิดปกติไหมคะ แต่เข้าใจความจริง เพราะเหตุว่าไม่รู้ความจริง ด้วยความไม่รู้ก็ทำให้คิดไปต่างๆ นานา แม้แต่จะปราบโลภะ จะพยายามทำให้โลภะไม่เกิด แต่ด้วยความไม่รู้อะไรเลย ขณะนั้นก็ด้วยโลภะนั่นเองที่มีความต้องการอย่างนั้น เพราะฉะนั้นถ้าไม่เห็นตัวโลภะด้วยปัญญาจริงๆ ไม่สามารถจะละได้ และการละอกุศลต้องตามลำดับขั้น ละความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงในขณะที่เห็น ไม่มีความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่ปรากฏแล้วจะไปละโลภะได้อย่างไร ไม่มีทางเลย เรียกว่า “ข้าม” พยายามไปทำอย่างอื่น ซึ่งไม่ใช่หนทางที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ความจริง ซึ่งละเอียด คัมภีร ลึกซึ้ง เวลาที่โกรธ ต้องการอะไรคะ

สุกัญญา ก็ไม่ได้สิ่งที่พอใจ

สุ. ต้องการไม่ให้โกรธ ใช่ไหมคะ

สุกัญญา ใช่ค่ะ

สุ. ไม่ใช่รู้ลักษณะของโกรธซึ่งกำลังปรากฏว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา มิฉะนั้นแล้ว เมื่อไรจะถึงการละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนได้

เชิญคลิกฟังที่นี่ ครับ

ไม่เห็นโลภะ ไม่เห็นอวิชชา ก็ละไม่ได้

ขออนุโมทนา


ความคิดเห็น 2    โดย khampan.a  วันที่ 8 มิ.ย. 2559

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นความจริง เป็นสิ่งที่มีจริง เตือนให้ได้เข้าใจความจริงในชีวิตประจำวันทุกประการ เพราะชีวิตประจำวันเป็นธรรม แม้แต่โลภะ ก็เช่นเดียวกัน เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นความติดข้อง ยินดีพอใจ ซึ่งเป็นอกุศลธรรมประการหนึ่ง ไม่ว่าจะติดข้องในอะไร หรือเกิดกับใคร ก็เป็นโลภะ ไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะเป็นอย่างอื่นไปได้

จะเห็นได้จริงๆ ว่า สิ่งที่จะเป็นที่ตั้งของความติดข้องนั้นมีมากจริงๆ สำหรับบุคคลผู้ที่ฟังพระธรรม มีความเข้าใจไปตามลำดับ ก็จะเห็นความลึกซึ้ง เห็นความเหนียวแน่นของความยินดีพอใจ ซึ่งมีในทุกๆ วัน โดยที่ไม่ได้มีเฉพาะเพียงในวันนี้ในชาตินี้เท่านั้น ชาติก่อนๆ ที่ผ่านๆ มา ก็เป็นอย่างนี้ เพราะยังไม่ได้ดับกิเลสทั้งหมดได้อย่างหมดสิ้น กิเลสก็ย่อมจะเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ตามการสะสมของแต่ละบุคคล โลภะในวันนี้จะมาจากไหน ถ้าไม่เคยได้สะสมโลภะมาเลย แม้กุศลที่เกิดแล้ว ยังเป็นที่ติดข้องของโลภะ ได้ นี้แหละคือความเหนียวแน่นของอกุศลที่ได้สะสมมาอย่างยาวนานในสังสารวัฏฏ์ ไม่ใช่เฉพาะติดข้องในแฟนเท่านั้น มีมากกว่านี้เยอะมาก จึงแสดงให้เห็นตามความเป็นจริงว่า โลภะ เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ที่เพิ่มขึ้นจากภพหนึ่ง ชาติหนึ่งเรื่อยๆ ดังนั้น ถ้าไม่ได้อบรมเจริญปัญญาจนกระทั่งสามารถที่จะดับกิเลสได้หมดสิ้นอย่างเด็ดขาดจริงๆ ตามลำดับขั้น โลภะไม่มีทางที่จะหมดไปได้เลย กิเลสทั้งหลายทั้งปวง จะถูกดับได้ด้วยปัญญา เท่านั้น แล้วปัญญาจะมาจากไหน ถ้าหากว่าไม่มีการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


ความคิดเห็น 3    โดย peem  วันที่ 9 มิ.ย. 2559

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 4    โดย kukeart  วันที่ 9 มิ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 5    โดย wannee.s  วันที่ 9 มิ.ย. 2559

การให้ทานเพื่อสละกิเลส สละความติดข้องในวัตถุ แต่คนส่วนมากให้ทาน เช่น ใส่บาตรเพราะอยากได้บุญ และขณะที่กุศลเกิดสลับกับอกุศลก็ได้ค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย ํํญาณินทร์  วันที่ 10 มิ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 8    โดย Woranan  วันที่ 27 มิ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ