ทานและทานบารมีต่างกันอย่างไรครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ทาน คือ การให้ การสละ เป็นต้น
บารมี คือ สภาพธัมมะ ที่ทำให้ถึงฝั่ง คือพระนิพพาน การให้บางครั้งเป็นทาน แต่ไม่เป็นทานบารมีก็ได้ เช่น ตามทั่วไปขณะที่ให้ทานแต่ไม่ได้มีปัญญาที่เห็นโทษของกิเลสจึงให้หรือไม่น้อมไปเพื่อการสิ้นกิเลสจึงให้ ก็ไม่ได้เป็นทานบารมี ไม่เป็นไปเพื่อถึงฝั่งคือ การดับกิเลส ศาสนาอื่นก็ให้ทาน แต่ไม่ได้มีความเข้าใจเรื่องหนทางการดับกิเลส และเห็นโทษของกิเลส จึงไม่ใช่ทานบารมี แต่ก็เป็นทานครับ ดังนั้น ทานบารมีขาดปัญญาไม่ได้เลยครับ
การจะเป็นบารมีหรือไม่เป็นบารมี
ดังนั้น การจะเป็นบารมี ซึ่งเป็นหนทางที่จะดับกิเลสได้นั้น ต้องประกอบด้วยปัญญาเสมอ ปัญญาอย่างไร คือเห็นโทษของกิเลส เห็นโทษของการเวียนว่ายตายเกิด จึงทำบุญ เพื่อจะออกจากสังสารวัฏฏ์หรือการเกิดอีกครับ แต่ที่สำคัญที่สุด ลืมไม่ได้ การเข้าใจหนทางที่จะดับกิเลส และความเห็นถูก จึงจะทำให้เป็นบารมีครับ เช่น บางคนเข้าใจ พระนิพพานว่าเป็นเมืองแก้ว จึงทำบุญเพื่อไปถึงนิพพาน เป็นบารมีหรือเปล่า หรือเข้าใจหนทางการเจริญวิปัสสนาผิด จึงเจริญวิปัสสนาที่ผิด เป็นบารมีหรือเปล่า ถ้าเป็นความเห็นผิด ไม่ใช่บารมีแน่นอน ดังนั้นปัญญาบารมี จึงเป็นหลักสำคัญในบารมี ๑๐ ครับ
ให้ทานน้อมบุญไปเพื่อสิ้นกิเลสเป็นทานบารมี ทำให้ถึงฝั่งคือ พระนิพพาน ขอเชิญคลิกอ่านได้ที่ ปฏิปทา ๒ [ปฏิปทาสูตร]
ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ผู้ที่ศึกษาธรรม และมีความเข้าใจในข้อปฏิบัติ ขณะที่ให้ทานไม่ได้เห็นโทษของกิเลสและไม่ได้เห็นโทษของวัฏฏะ เห็นขอทานแล้วให้ เห็นเพื่อนอยากได้ cd ธรรมก็ให้ เห็นคนที่มีทุกข์ก็ให้คำปรึกษาทั้งทางโลกและทางธรรม เป็นบารมีหรือไม่
ขณะที่ให้ ไม่ได้คิดที่จะขัดเกลากิเลส แต่เพราะขอจึงให้ เป็นบารมีหรือไม่
ปัญญาเป็นหัวหน้าของบารมี ๑๐ ขาดไม่ได้ กุศลจึงมีทั้งประกอบด้วยปัญญาและไม่ประกอบด้วยปัญญา ไม่เช่นนั้นก็คงเป็นบารมีทุกครั้งไป ซึ่งกุศลที่เป็นบารมีไม่ใช่ง่าย เพราะบารมีคือธรรม ที่ทำให้ถึงฝั่งคือ พระนิพพาน คนที่เห็นถูก ไม่จำเป็นว่ากุศลที่ทำจะเป็นบารมีทุกครั้งครับ
การที่จะดับกิเลส ถึงฝั่งคือ พระนิพพานนั้น เป็นเรื่องที่ยากและใช้เวลาที่นานมากที่จะอบรมกุศลธรรมต่างๆ เพื่อปัญญามีกำลังคมกล้าที่ดับกิเลสได้ ผู้ที่มีกิเลสมากเปรียบเหมือนผู้ที่มีโรคมาก กำลังปัญญามีน้อย จึงต้องอบรมบารมีต่างๆ เพื่อที่จะทำให้แข็งแรงมีกำลังที่จะขึ้นฝั่ง คือพระนิพพานได้ ดังนั้น บารมีทั้ง ๑๐ ต้องควบคู่กันไป เมื่อมีปัญญานำกุศลทุกอย่างก็มีพร้อม
แล้วแต่ว่าขณะที่ให้นั้นจะมีปัญญาเกิดร่วมกับกุศลจิตในขั้นทานหรือไม่ และปัญญานั้น เป็นปัญญาขั้นสมถะ หรือวิปัสสนา ปัญญานั้นเห็นโทษของความไม่สละ ความตระหนี่ ความเป็นผู้ประมาทในการเจริญกุศลหรือไม่ ปัญญานั้น เข้าใจในเรื่องกรรมและผลของกรรม ไม่เชื่อในมงคลตื่นข่าวหรือไม่ ปัญญานั้น เห็นประโยชน์สุขที่ผู้อื่นจะได้รับจากทานที่ได้ให้ไปหรือไม่ เป็นต้นครับ
อนุโมทนาครับ
ทาน คือการให้ ส่วนทานบารมี คือการให้เพื่อขัดเกลากิเลส จะเห็นได้ว่า การให้นั้นเกิดได้จากหลายเหตุ เช่น ให้เพราะรัก ให้เพราะไม่รู้ ให้เพราะโกรธ ให้เพื่อประชด ให้เพราะกลัว ให้เพื่อตัดรำคาญ ฯลฯ ไม่ว่าจะให้ด้วยเหตุเริ่มต้นที่เป็นกุศล หรืออกุศล ในขณะที่ให้นั้นเป็นกุศล เป็นทาน ส่วนการให้ ที่เป็นทานบารมี คือการให้เพื่อละความติดข้องต้องการ ขัดเกลาความตระหนี่ และอกุศลทั้งหลาย ซึ่งการที่จะละกิเลสเหล่านี้ได้ ต้องมีปัญญา (ความเข้าใจถูก) ว่าความติดข้อง ความตระหนี่ และอกุศลทั้งหลายคืออะไร มีอะไรเป็นเหตุให้เกิดขึ้น และมีหนทางไปสู่ความดับอย่างไร ปัญญาคือความเข้าใจที่ถูกต้องในสภาพธรรมนั้น เกิดจากการฟัง การศึกษาธรรมจากท่านผู้รู้ และจากพระไตรปิฎกและอรรถกถาครับ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ง่ายๆ เลย
ขออนุโมทนาค่ะ
ข้อความจาก คุณแล้วเจอกัน
ปัญญาเป็นหัวหน้าของบารมี ๑๐ ขาดไม่ได้ กุศลจึงมีทั้งประกอบด้วยปัญญาและไม่ประกอบด้วยปัญญา ไม่เช่นนั้นก็คงเป็นบารมีทุกครั้งไป ซึ่งกุศลที่เป็นบารมีไม่ใช่ง่าย เพราะบารมีคือ ธรรมที่ทำให้ถึงฝั่งคือ พระนิพพาน คนที่เห็นถูกไม่จำเป็นว่ากุศลที่ทำจะเป็นบารมีทุกครั้งครับ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ