ตราบใดที่ยังมีสังสารวัฎฎ์ก็ไม่พ้นกรรม ตั้งแต่ขณะเกิด เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีกรรมก็ไม่ต้องเกิด และที่แต่ละคนเกิดมาต่างกัน เพราะกรรมต่างกัน กรรมนั้นมีทั้งกุศลกรรม และ อกุศลกรรม อกุศลกรรมที่ได้กระทำแล้ว สามารถให้ผลได้ เมื่อยังมีสังสารวัฎฎ์ เมื่อกลัวผลของอกุศลกรรม ก็ควรเจริญกุศลกรรมให้มากที่สุด เท่าที่จะกระทำได้ โดยเฉพาะกุศลกรรมที่จะทำให้พ้นจากสังสารวัฎฎ์ เพราะเมื่อยังเป็นกุศลกรรมที่ทำแล้ว ก็ไม่พ้นจากสังสารวัฎฎ์ ทุกคนย่อมจะมีสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ทุกภพทุกชาติ เช่นในปัจจุบันชาตินี้
อกุศลกรรมที่ทำแล้วให้ผลเป็นวิบากจิต คือ จิตเห็นสิ่งที่ไม่ดี จิตได้ยินเสียงที่ไม่ไพเราะ จิตได้กลิ่นเหม็น จิตลิ้มรสไม่ดี จิตกระทบสัมผัสทางกายที่เย็นเกินไป ร้อนเกินไป แข็งเกินไป ตึงเกินไป จนรุนแรงเป็นทุกขเวทนาทางกายถึงขั้นบาดเจ็บ แขนขาขาดเป็นต้น
และถ้าผู้ใดยังไม่ประจักษ์แจ้งพระนิพพานเป็นพระโสดาบัน ก็มีเหตุปัจจัยให้กระทำอกุศลกรรม ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดในอบายภูมิ กรรมหนักที่สุด คือ เกิดในนรก ซึ่งเป็นเหตุให้ได้รับทุกขเวทนาทางกายรุนแรงมาก ถ้าเปรียบเทียบกันแล้ว ทุกขเวทนาทางกายในภูมิมนุษย์ที่รุนแรงที่สุดเปรียบเป็นแค่เมล็ดพันธุ์ผักกาดเมล็ดเดียวเท่านั้น ส่วนทุกข-เวทนาในนรก เปรียบเท่ากับภูเขาขนาดใหญ่มากๆ (เขาสิเนรุ)
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ