ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อวันที่ ๑๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๕ เวลา ๑๐.๐๐ น. - ๑๕.๓๐ น. ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และ คณะวิทยากร ของมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ได้รับเชิญให้ไปสนทนาธรรม ที่บ้านของคุณหมอทวีป และ คุณพรทิพย์ ถูกจิตร ย่านตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร
และ เช่นเคยที่ทุกท่านที่เคยไปร่วมรับฟังการสนทนาธรรมที่บ้านคุณหมอทวีป จะทราบว่า คุณหมอจะทำข้าวต้มปลากระพง โดยใช้ปลากระพงตัวโตๆ ราวสิบห้ากิโลกรัม ที่คุณหมอไปเลือกซื้อมาด้วยตัวเอง เพื่อมาทำข้าวต้มปลาให้ทุกท่านรับประทานตอนเช้า ซึ่งทุกท่านที่ทราบถึงชื่อเสียงและความอร่อย จะไม่รับประทานอะไรไปก่อนที่จะได้ไปชิม
ที่พิเศษสุด คือ วันนี้คุณหมอลงมือทอดหอยทอดสูตรพิเศษของท่านโดยเฉพาะหาทานได้ที่บ้านท่านที่เดียว นอกจากจะคัดแต่หอยแมลงภู่ตัวโตๆ แล้ว ยังใส่ไม่ยั้งทุกจาน ที่สำคัญ วันนี้คุณหมอเริ่มทอดให้รับประทานตั้งแต่เช้า และ เริ่มทอดอีกครั้งในมื้อกลางวัน โดยมีสหายธรรมเข้าคิวรอยาวเหยียด และ มีการขอเพิ่มรอบสองอีกด้วยครับ
นอกจากข้าวต้มปลา และ หอยทอดแสนอร่อยหาทานที่อื่นไม่ได้แล้ว วันนี้คุณหมอยังเตรียมกระเพาะปลา ที่มีกระเพาะล้วนๆ ไม่มีหน่อไม้หรือเลือดหมูมากวนใจคนตักเลย มื้อกลางวัน นอกจากหอยทอดแล้ว ก็มีขนมจีนน้ำยาปลาช่อนแท้ๆ น้ำข้นฟูด้วยเนื้อปลา และ แกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากรายแท้ๆ ที่เหนียวหนึบ ซึ่งคุณหมอปรุงเองทั้งหมด ไม่ต้องบอกก็เดาได้ว่า อร่อยทุกอย่างจริงๆ และ ขายหมดทุกอย่างแบบขอดหม้อครับ
ของว่างที่ขาดไม่ได้เมื่อมีการสนทนาธรรมที่บ้านคุณหมอ คือ เมี่ยงคำที่น้ำเมี่ยงคำหอม รสชาตินุ่มนวลครับ ต้องขอออกตัวกับทุกท่านว่า กระทู้สนทนาธรรมที่บ้านคุณหมอทวีป อาจเป็นกระทู้ ที่ผู้ได้อ่านทุกท่านอาจคิดไปว่า เป็นกระทู้พาชิมอาหารอร่อยเหมือนในทีวี แต่ความจริงคือ รายการทีวี ไม่มีโอกาสได้ชิมและถ่ายทำแน่นอน นอกจากสหายธรรม ซึ่งวันนี้ มาฟังการสนทนาธรรมเป็นจำนวนมากร่วมร้อยคน แต่ละคนแต่ละท่าน สดใส ชื่นบาน ที่จะมีโอกาสได้ฟังธรรม เป็นของขวัญที่พิเศษสุด สำหรับวันสงกรานต์ในปีนี้ และคุณหมอทวีปก็มีกุศลเจตนา ที่จะทำอาหารอย่างสุดฝีมือ ให้ทุกท่านได้รับประทานเป็นความสุขในการให้ทั้งอาหารอันเลิศ และ ธรรมทานอันยอดเยี่ยม จริงๆ ครับ
สมควรแก่เวลาแล้ว คุณหมอทวีป ได้กราบเรียนท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เพื่อเริ่มการสนทนาธรรม โดยกล่าวคำบูชาพระรัตนตรัยพร้อมกัน ซึ่งความการสนทนาในวันนี้ คุณหมอเอ่ยปากกับข้าพเจ้าว่า มีความไพเราะจับใจท่านมาก
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
ก่อนอื่น ต้องทราบว่า การที่จะได้ฟังพระธรรม ประโยชน์สูงสุด คือ เป็นผู้ตรง และ จริงใจ เพราะว่า เวลาที่เราได้ยินคำว่า "ธรรมะ" แล้วเราก็ศึกษาธรรมะ บางท่านก็ศึกษาพระอภิธรรม เรารู้จัก "ชื่อ" มาก แต่ไม่เคยรู้เลยว่า "ขณะนั้น" ที่จิต "กำลังศึกษา" นั้นเป็นอะไร? ด้วยเหตุนี้ ประโยชน์สูงสุดก็คือว่า "เดี๋ยวนี้เอง" กำลังเป็นสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้น ความเป็นผู้ตรง และ ความจริงใจ ก็คือว่า ยังไม่ได้ "รู้" และ "เข้าใจ" สิ่งที่มีจริง ที่กำลังปรากฏ
ตั้งต้นอย่างนี้ ไม่ว่าในกาลไหนๆ อาจจะเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถอยกลับไป ๒๔ พระองค์ สมัยพระพุทธเจ้าทีปังกร หรือว่า สมัยพระพุทธเจ้าองค์อื่นๆ ก็มี "สิ่งที่กำลังปรากฏ" ความเป็นผู้ตรง เมื่อได้ฟังพระธรรม ก็รู้ว่า ยังไม่รู้ความจริง ของสิ่งที่กำลังปรากฏ ลืมไม่ได้เลย เหมือนกันทุกคน ก่อนที่จะได้ฟังพระธรรม จะไม่สามารถเข้าใจว่า ขณะนี้ มีสิ่งที่มีจริง ที่กำลังปรากฏ เป็นความจริง ที่ไม่มีใครสามารถที่จะบันดาล หรือว่า ทำให้เกิดขึ้นได้ เพราะ "เกิดแล้ว"
แต่ละ"คำ" , "ฟัง" เพื่อที่จะ "สะสม" ให้รู้ว่า จาการที่มีสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ แล้วก็ "มีจริงๆ " ก็ยังไม่ได้รู้ความจริง ของสิ่งที่ปรากฏ ดีไหม? ไม่รู้ความจริง ของสิ่งที่ปรากฏ มีสิ่งที่ปรากฏอยู่เรื่อยๆ ไม่เคยขาดเลย ตั้งแต่เกิดมา จนถึงเดี๋ยวนี้ ก็ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ แล้วใครจะรู้ได้? ต้องเป็นผู้ที่สะสมประโยชน์ ของการที่จะเข้าใจ สิ่งที่มีจริงขณะนี้ ตามความเป็นจริง
โดยมาก เราคิดถึงประโยชน์อื่น แต่ลืมประโยชน์ที่สำคัญที่สุด คือ ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ว่า แม้สิ่งที่กำลังมีจริงๆ ขณะนี้ ยังไม่รู้ แล้วจะไปรู้อะไร? แล้วก็สิ่งที่มีจริงขณะนี้ ก็ไม่ยั่งยืนเลย เมื่อวานนี้ ก็มีสิ่งที่มีจริงมากมาย หมดไปแล้ว ขณะนี้ก็มีสิ่งที่กำลังมีจริงๆ กำลังหมดไปๆ จนกว่าจะถึงเย็น ค่ำ และ พรุ่งนี้
เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริง "ชั่วคราว" มาก แต่ก็ไม่รู้สักทีหนึ่ง "ฟังมาก" แล้วก็มีสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏความเป็นผู้ตรง ก็คือว่า ยังไม่รู้ถูก ตามความเป็นจริง ของสิ่งที่มีจริงๆ ด้วยเหตุนี้ จึง "ฟัง"
เมื่อเช้านี้ ไม่ทราบมีใครจำสิ่งที่ได้ฟังทางวิทยุบ้าง มีพระสูตรๆ หนึ่ง ซึ่งพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ถ้าเป็นคนที่สะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก มาแล้ว สามารถที่จะรู้ความจริง ของสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ตามความเป็นจริงได้ แต่ว่า ผู้ที่ยังไม่สามารถที่ฟังแล้ว จะรู้ความจริง ตรงตามที่พระผู้มีพระภาคฯทรงแสดง ผู้นั้นก็รู้ว่า ต้องสะสม (ความเข้าใจต่อไป)
เพราะฉะนั้น พระสูตรใดๆ ก็ตาม ที่ใครก็ตาม จะได้ฟังเมื่อไหร่ก็ตาม หรือ ข้อความธรรมะ คือ สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ได้ฟังแล้ว ลืมแล้ว ฟังอีก ลืมอีก ก็จริง แต่ว่า ผู้นั้น ก็เป็นผู้ที่ตรง ที่จะรู้ว่า "ฟัง" เพื่อ "สะสม" ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ในสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ จนกว่าจะถึง สามารถที่รู้ความจริง ของสิ่งที่ปรากฏได้ มิฉะนั้น จะไม่เข้าใจคำว่า "พุทธะ" รู้ถูก เห็นถูก ตามความเป็นจริง ของสิ่งที่กำลังมี ในขณะนี้
เพราะฉะนั้น เมื่อไม่สามารถที่จะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ไม่สามารถที่จะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าได้ แต่เป็น "สาวก" คือ "ผู้ฟังพระธรรม" เหมือนในขณะนี้เลย จะฟัง ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ไหนก็ตาม หรือว่า ขณะนี้ก็ตาม "ฟัง" เพื่อ "เข้าใจ" สิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ เพราะถ้าไม่เข้าใจ ก็หมดไปๆ แล้วก็ จากโลกนี้ไป ด้วยการที่ แม้เห็น แม้ได้ยิน ตลอดชีวิต ก็ไม่สามารถที่จะมีปัญญา ที่จะรู้ความจริงได้
ด้วยเหตุนี้ ขณะนี้ "ฟัง" เพื่อสะสม ความเข้าใจถูก ความเห็นถูก เพราะ ไม่สามารถที่จะรู้ความจริง ของสิ่งที่กำลังปรากฏ แต่...สะสมแล้ว...
ถ้าเป็นความถูกต้อง ก็คือว่า ไม่ใชฟังเพื่อ แล้วทำอย่างไร? จะรู้ หาวิธีทำ ที่จะรู้ ผิดทันที เพราะฉะนั้น การฟังธรรมะ ต้องเริ่มจาก ความเป็นผู้ที่ตรง และ จริงใจ ไม่รู้ คือ ไม่รู้ น่าสงสัย นะคะ กำลังปรากฏอยู่แท้ๆ ก็ไม่รู้
"เห็น" ทุกคนกำลังเห็น แล้วก็บอกว่า "เห็น" แต่ก็ไม่รู้ ว่า "เห็น" เป็นอย่างไร? ที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลทั้งๆ ที่ "เห็น" กำลังมีจริง เพราะฉะนั้น เริ่มรู้จัก พระปัญญาคุณ ของพระอรหันตสัมมสัมพุทธเจ้า พระบริสุทธิคุณ และ พระมหากรุณาคุณ มิฉะนั้น เราไม่มีโอกาสที่จะได้ยิน ได้ฟัง แต่ละ "คำ" ซึ่งเป็นคำจริงทั้งหมด แล้วก็ ถ้าไม่ลืม ก็สามารถที่จะ เริ่มสะสม ความเข้าใจ สิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะทุกคำ ที่เราสนทนากัน ก็เป็นเรื่องของ สิ่งที่กำลังมีจริงๆ ในขณะนี้ ทั้งหมดเลย โดยที่ไม่รู้เลย ถ้าไม่มีการ "ฟัง"
นอกจาก "เห็น" ก็ยังมี "ได้ยิน" มี "คิดนึก" มีทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่ง เพราะไม่รู้ จึงคิดว่า "เป็นเรา" หรือว่า เป็นคนหนึ่งคนใด เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ว่า ตามความเป็นจริง ก็คือ ลักษณะของสิ่งที่มีจริง เปลี่ยนไม่ได้เลย สิ่งที่มีจริงที่ "แข็ง" เป็น "แข็ง" เปลี่ยนแข็งเป็นอย่างอื่น ไม่ได้ สิ่งที่มีจริง เป็นสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น จะมีใครเคยคิดบ้าง ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เท่านั้นเอง จริงๆ !!!
เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่า แม้แต่สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น เป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ ก็เพราะเหตุว่า สิ่งที่มีจริงๆ นี้ สามารถกระทบจักขุปสาท แม้เป็นสิ่งที่มีจริง แต่ (ถ้า) คนนั้นไม่มีตา ไม่มีรูปที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น ในขณะนี้ สิ่งนี้ ก็ปรากฏไม่ได้ นี่คือ ความจริงที่สุด ทุกขณะ กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงทั้งหมด โดยผู้ที่ได้สะสม ความดีทุกประการ ถึงความพร้อม ที่จะรู้แจ้งสภาพธรรมะ ตามความเป็นจริงเป็น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีโอกาส ได้ยิน ได้ฟัง "คำจริง" ที่พระผู้มีพระภาคฯ ทรงตรัสรู้ และ ทรงแสดง ต้องเป็นผู้ที่สะสมบุญ แต่ปางก่อน แต่ว่า สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ ก็คือว่า เป็นผู้ที่ตรง และ จริงใจ ที่จะรู้ว่า ทุกคำที่ได้ยิน เรา "เริ่มเข้าใจ" แล้วก็ "เข้าใจแค่ไหน?" ถ้าไม่สามารถที่จะรู้ อย่างที่พระองค์ทรงแสดง ก็สะสมไป เพื่อที่รู้ ก็คือ ค่อยๆ รู้ขึ้น ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เท่านั้นเอง
เพราะฉะนั้น วันนี้ การสนทนาธรรม ก็เพื่อสะสมความเข้าใจถูก ในสิ่งที่มีจริงๆ แต่ไม่ใช่ ให้ใครไปรู้ความจริง โดยที่ไม่เข้าใจ สิ่งที่กำลังมีจริง ในขณะนี้ ที่ใช้คำว่า อริยสัจจะ ความจริงของผู้ที่อบรม เจริญปัญญา รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ เดี๋ยวนี้ จนกระทั่ง รู้ความจริง คือ การเกิดดับ ของสิ่งที่ปรากฏ เพียงชั่วคราว แล้วก็ดับไป แล้วก็มีสิ่งอื่น เกิดสืบต่อ ไม่ขาดสาย ทำให้ไม่รู้การเกิดดับของแต่ละอย่าง ซึ่งเกิดขึ้นและดับไป จึงไม่ละคลาย ความไม่รู้ ยังคงเป็นเรา
แต่ไม่ได้หมายความว่า ให้เรามานั่งคิด ว่าเดี๋ยวนี้ "เรานั่ง" ไม่ต้องคิดเลย เป็นเราแล้ว ไม่ต้องคิดว่า "เราเห็น" เห็นขณะนี้ ก็เป็นเราแล้ว เพราะฉะนั้น ไม่ใช่มานั่งคิดอีกว่าเป็นเรา แต่ให้รู้ความจริงว่า ขณะฟัง คือ "มีเสียง" ในภาษาที่เราใช้ตั้งแต่เกิด จนกระทั่ง สามารถที่จะเข้าใจ แต่ละเสียงว่า กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง โดยคำที่เราใช้อยู่ ในชีวิตประจำวัน เพื่อที่จะได้เข้าใจ ความจริง ของสิ่งที่กำลังปรากฏ
ไปทำอย่างอื่น ดีหรือเปล่า? ลองคิดดู จริงใจ เป็นผู้ที่ตรง และ จริงใจ ไปทำอย่างอื่น ดีกว่าไหม? ไปสนุกสนานกัน ไปเที่ยวกัน ไปสาดน้ำกัน จะดีกว่าไหม? หรือว่า ไม่มีโอกาส ที่จะได้ฟัง คำเหล่านี้ ถ้าไม่มีการสนทนา ที่จะพูดถึงสิ่งที่มีจริง จากผู้ที่ได้สะสมบุญ ที่ได้กระทำไว้ แต่ปางก่อนทั้งนั้นเลย ทุกท่าน
เพราะฉะนั้น ใครสะสมมา มากน้อยอย่างไร ก็คือว่า จะได้เข้าใจว่า ที่เรากำลังพูดถึงขณะนี้ มีจริงๆ แล้วก็ "ฟัง" เพื่อที่จะสะสม ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก นั่นคือ การ "ละ" ความติดข้อง เพราะ "ไม่รู้" บางคนก็บอกว่า แล้วจะ "ละ" อย่างไร? เป็นเราตั้งแต่เกิด แล้วก็สะสมความเป็นเรา เพิ่มขึ้นทุกวัน มีแต่ความต้องการความสุข หรือว่า ต้องการลาภ ยศ สรรเสริญ แต่ก็ไม่ใช่ของเราจริงๆ เพราะ จากโลกนี้ไปแล้ว จะเป็นของใคร? ก็เป็นของ "ชั่วคราว" จริงๆ ในความ "ชั่วคราว" ทั้งหมด สิ่งที่ประเสริฐที่สุด ก็คือว่า ได้เข้าใจถูก ได้เห็นถูก ได้รู้ความจริง ของสิ่งที่กำลังปรากฏ เพียงชั่วคราว
ยากไหม? หรือว่า ง่ายๆ รู้ได้วันนี้ไหม? แต่ว่า ฟังแล้ว ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ว่าสิ่งที่มีจริง เพียงปรากฏ แค่นี้แค่คำนี้ สิ่งที่มีจริง เพียงปรากฏ เพราะอะไร? หมดแล้ว "เสียง" ปรากฏ หมดหรือเปล่า? ในขณะที่ เห็น...คิด..."คิด" ไม่ใช่ "เห็น" เพราะฉะนั้น กว่าเราจะรู้ แต่ละหนึ่ง ซึ่งเกิดดับสืบต่อ ซ้ำจนกระทั่งติดกันปรากฏ เหมือนเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็ต้องอาศัยความจริงใจ และ ความตรง คือ "ฟัง" เพื่อสะสมความเข้าใจ สิ่งที่กำลังปรากฏ
[๗๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลายความเสื่อมญาติมีประมาณน้อย ความเสื่อมปัญญาชั่วร้ายที่สุดกว่าความเสื่อมทั้งหลาย.
[๗๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลายความเจริญด้วยญาติมีประมาณน้อย ความเจริญด้วยปัญญาเลิศกว่าความเจริญทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงสำเนียกอย่างนี้ว่า เราทั้งหลายจักเจริญด้วยปัญญา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงสำเนียกอย่างนี้แล.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาตเล่ม ๑ ภาค ๑- หน้าที่ 143
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลทุกประการของคุณหมอทวีป และ คุณพรทิพย์ ถูกจิตร
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
[๗๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลายความเสื่อมญาติมีประมาณน้อย
ความเสื่อมปัญญาชั่วร้ายที่สุดกว่าความเสื่อมทั้งหลาย.
[๗๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลายความเจริญด้วยญาติมีประมาณน้อย
ความเจริญด้วยปัญญาเลิศกว่าความเจริญทั้งหลายเพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงสำเนียกอย่างนี้ว่าเราทั้งหลายจักเจริญด้วยปัญญา
ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเธอทั้งหลายพึงสำเนียกอย่างนี้แล.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาตเล่ม ๑ ภาค ๑- หน้าที่ 143
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลทุกประการของคุณหมอทวีป และ คุณพรทิพย์ ถูกจิตร
และ ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณวันชัย ภู่งาม
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ค่ะ
กราบเท้าในพระคุณของท่านอาจารย์สุจินต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณหมอและครอบครัว
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาคุณวันชัยและทุกๆ ท่านมา ณ กาลครั้งนี้ครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณหมอทวีปและคุณพรทิพย์ ถูกจิตรค่ะ ที่ให้ทั้งธรรมเป็นทาน และทานอย่างอื่นๆ อีกมากมาย และขออภัยที่ไม่สามารถไปร่วมเจริญกุศลด้วย เพราะทุกวันสงกรานต์ที่บ้านอยุธยามีการทำบุญให้บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วที่เจดีย์ที่บรรจุกระดูกค่ะ เลยไปไหนไม่ได้เลยในวันนั้น
ขออนุโมทนาน้องวันชัยที่ถ่ายรูปสวยๆ และบรรยายได้บรรยายกาศมากๆ โดยเฉพาะเรื่องอาหาร ทำให้รู้ว่า จริงๆ แล้ว ตัวเองเสียดายที่อดรับประทานอาหารอร่อยๆ มากกว่าการอดฟังธรรม (หรือเปล่า) ขอไม่ตอบ ตอนนี้อายที่จะเป็นผู้ตรงค่ะ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
"...ผู้ที่มีโอกาส ได้ยิน ได้ฟัง "คำจริง" ที่พระผู้มีพระภาคฯทรงตรัสรู้และทรงแสดง ต้องเป็นผู้ที่สะสมบุญแต่ปางก่อน แต่ว่า สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ ก็คือว่า เป็นผู้ที่ตรง และ จริงใจ ที่จะรู้ว่า ทุกคำที่ได้ยิน เรา "เริ่มเข้าใจ" แล้วก็ "เข้าใจแค่ไหน?" ถ้าไม่สามารถที่จะรู้ อย่างที่พระองค์ทรงแสดง ก็สะสมไป เพื่อที่รู้ ก็คือ ค่อยๆ รู้ขึ้น ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เท่านั้นเอง..."
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณหมอทวีป - คุณพรทิพย์ ถูกจิตร
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่วันชัย ภู่งาม และ ทุกๆ ท่านด้วยครับ...
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลทุกประการของคุณหมอทวีป และ คุณพรทิพย์ ถูกจิตร
และ ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณวันชัย ภู่งาม ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ค่ะ
กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพและรักอย่างยิ่ง ท่านอาจารย์สละเวลาสอนธรรม ให้ปัญญา และ ขออนุโมทนาในกุศลของคุณหมอทวีป และคุณพรทิพย์ ถูกจิตร ค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตค่ะ
กราบอนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
กราบอนุโมทนาค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
"ความเจริญด้วยปัญญาเลิศกว่าความเจริญทั้งหลาย"
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลทุกประการของคุณหมอทวีป และ คุณพรทิพย์ ถูกจิตร
ขออนุโมทนาในกุศลจิตวิริยะของคุณวันชัย ภู่งามและทุกๆ ท่าน ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
"...ผู้ที่มีโอกาส ได้ยิน ได้ฟัง "คำจริง" ที่พระผู้มีพระภาคฯทรงตรัสรู้และทรงแสดง ต้องเป็นผู้ที่สะสมบุญแต่ปางก่อน แต่ว่า สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ ก็คือว่า เป็นผู้ที่ตรง และ จริงใจ ที่จะรู้ว่า ทุกคำที่ได้ยิน เรา "เริ่มเข้าใจ" แล้วก็ "เข้าใจแค่ไหน?" ถ้าไม่สามารถที่จะรู้ อย่างที่พระองค์ทรงแสดง ก็สะสมไป เพื่อที่รู้ ก็คือ ค่อยๆ รู้ขึ้น ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เท่านั้นเอง..."
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และขอขอบพระคุณ และขอร่วมอนุโมทนาบุญในบุญกุศลของทุกๆ ท่านด้วยค่ะ