ผมสงสัยการได้อภิญญา5 (หูทพย์ ตาทิพย์ รู้ใจผู้อื่น ฯ) สมมติเราตั้งใจเรียนกัน
ไม่ว่าจะเป็น วิศวกรรม แพทย์ หรือเทคโนโลยีต่างๆ เราพัฒนาดัดแปลงโทรศัพท์
มือถือ คอมพิวเตอร์ เราติดต่อสื่อสารกันทาง ตา และหูในระยะใกลๆ ข้ามจังหวัด
หรือประเทศ หรือเรารู้เห็นความเป็นไปของสังคมโลก โดยผ่าน อินเตอร์เนต
เราเดินทางไกลโดยใช้เฮริคอปเตอร์หรือเครื่องบิน เหล่านี้ล้วนเกิดจากความตั้งใจ
ประดิษฐ์คิดค้นของมนุษย์เรา หรือเรากำลังทำอะไรสักอย่างอย่างใจจดใจจ่อเป็น
เวลานานๆ จนเกิดความชำนาญ เราจะรู้ใจของคนที่มาเริ่มทำทีหลังเรา
ลักษณะอย่างนี้ถือว่าเป็นการได้อภิญญาหรือไม่ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การที่เข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริง ต้องอาศัยการฟังพระธรรมที่พระสัมมา
สัมพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งมีความละเอียดลึกซึ้งเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อกล่าวถึงคำอะไรก็ต้องมีความเข้าใจคำนั้นๆ ด้วย คือ คำว่า อภิญญา โดยศัพท์
อภิญญา หมายถึง ความรู้อย่างยิ่งยวด ความรู้ที่ยิ่ง ซึ่งเป็นผลจากการอบรมสมถภาวนา
และ วิปัสสนาภาวนา ตามควรแก่อภิญญา นั้นๆ เวลาศึกษาพระธรรมอ่านข้อความจาก
พระไตรปิฎก จะพบทั้งอภิญญา ๕ และ อภิญญา ๖ ซึ่งมีความแตกต่างดังนี้
-อภิญญา ๕ เป็นโลกิยะอย่างเดียว ส่วนอภิญญา ๖ มีทั้งโลกิยะและโลกุตตระ ดังข้อ
ความจาก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒หน้าที่๖๘๒ ว่า
บทว่า ฉนฺนํ อภิญฺญานํ (อภิญญา ๖) คือ อิทธิวิธะ (แสดงฤทธิ์ได้) ๑ ทิพยโสตะ
(หูทิพย์) ๑ เจโตปริยญาณ (รู้จักกำหนดใจผู้อื่น) ๑ ปุพเพนิวาสญาณ (ระลึกชาติได้) ๑
ทิพยจักขุ (ตาทิพย์) ๑ อาสวักขยญาณ (รู้จักทำอาสวะให้สิ้น) ๑
--------------------------------
ทำให้เข้าใจได้ว่า อภิญญา ที่ ๑ - ๕ เป็นโลกิยะเท่านั้น เป็นผลของการอบรม
สมถภาวนา ส่วนอภิญญา ที่ ๖ คือ อาสวักขยญาณ ซึ่งเป็นปัญญาที่ทำให้สิ้นกิเลสที่
หมักดองไหลไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และไหลไปทุกภพภูมิได้จนหมดสิ้น
เป็นโลกุตตระอย่างเดียว เพราะสามารถดับกิเลสได้อย่างหมดสิ้น เป็นผลมาจากการ
อบรมเจริญวิปัสสนาภาวนาเท่านั้น การอบรมเจริญสติปัฏฐานก็เป็นการอบรมเจริญวิปัส-
สนา เป็นไปเพื่อระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏตามความเป็นจริง
ดังนั้น สรุปได้ว่า การได้อภิญญา มาจากการอบรมสมถภาวนา กับ วิปัสสนาภาวนา
การได้อภิญญาที่เป็นโลกิยะนั้น เป็นผลของการอบรมเจริญสมถภาวนา ซึ่งเป็นเรื่องที่
ยากมาก แต่ก็ไม่ได้เป็นไปเพื่อการดับกิเลส แม้ก่อนสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้ายังไม่
อุบัติ ก็มีฤาษีที่เจริญสมถภาวนา จนได้อภิญญา ๕ แต่ก็ไม่สามารถดับกิเลส ก็ยังต้อง
เวียนว่ายตายเกิดอีก ยังไม่พ้นจากทุกข์
เมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลก ทรงแสดงหนทางหลุดพ้นจากทุกข์ คือ การเจริญ
วิปัสสนา ทำให้สาวกทั้งหลายได้เข้าใจและดำเนินตามหนทางดังกล่าวนี้ ก็สามารถรู้
แจ้งอริยสัจจธรรมดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น ถึงความเป็นผู้สามารถดับกิเลสตามลำดับ
ขั้น จนกระทั่งสูงสุด คือ บรรลุเป็นพระอรหันต์ ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้น แม้บาง
ท่านจะไม่ได้ฌานด้วยก็ตาม แสดงให้เห็นว่า ประโยชน์สูงสุด ที่ควรได้ คือ การดับกิเลส
ที่เป็นสาระสูงสุดของชีวิต ซึ่งการจะไปถึงตรงนั้นได้ ก็ต้องเริ่มสะสมความเข้าใจถูก
เห็นถูกตั้งแต่ต้น มีการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละ
เล็กทีละน้อย
และที่สำคัญ ที่จะได้อภิญญา ๖ ก็ต้องเป็นผู้อบรมทั้งสมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนา
ส่วนประเด็นคำถามที่ท่านผู้ถามได้ถามนั้น ไม่ใช่เรื่องของอภิญญาเลย ไม่ได้เกี่ยวกับ
การอบรมเจริญปัญญา ไม่มีทางที่จะได้อภิญญาอย่างแน่นอน
สิ่งที่ควรศึกษาให้เข้าใจจริงๆ คือ สภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้ เพราะทุกขณะ
เป็นธรรม แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม จึงมีการศึกษา มีการฟัง ไตร่ตรองให้มีความเข้าใจถูกเห็น
ถูกตามความเป็นจริง ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
มีความแตกต่าง ระหว่าง การได้อภิญญา กับการใช้เทคโนโลยี โดยละเอียดดังนี้
การได้อภิญญาจิต ชื่อก็กล่าวแล้ว ว่าเป็นเรื่องของจิตที่พิเศษ และ เป็นการได้
โดยการเจริญกุศลจิตที่มีกำลังที่เป็นสมถภาวนา เพราะฉะนั้นอภิญญา จึงเป็นเรื่องของ
กุศลจิต จิตที่ดีงามเป็นสำคัญ จนมีกำลัง ทำให้สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ในที่
ไกล หายตัว รู้จิตของผู้อื่นได้จริงๆ ตามความเป็นจริง
ส่วนการใช้เทคโนโลยี เห็น ได้ยิน ของการอยู่ที่ไกล ขณะนั้น ไม่ได้อาศัยกุศลจิต
แต่เพราะอาศัยอกุศลจิตเป็นเหตุ คือ โลภมูลจิต ความยินดี อยากรู้ พอใจ จึงเห็น
ได้ โดยอาศัย อุปกรณ์ที่เป็น รูปธรรม ซึ่งข้อต่าง คือ สภาพจิตที่แตกต่างกันไปเป็น
สำคัญ ระหว่าง กุศลจิตที่มีกำลัง กับ อกุศลจิตที่เป็นการทำเทคโนโลยี นี่คือ ความ
แตกต่างข้อที่ 1
อีกประการหนึ่ง ขณะที่รู้ด้วยอภิญญาจิต เป็นกุศลจิตที่มีกำลัง ที่รู้ได้ทางใจ แต่
อาศัยหูเป็นส่วนประกอบ แต่การเห็น ได้ยินในที่ไกล ด้วยเทคโนโลยี เป็นการเห็นทาง
ตา ทางหู เหมือนขณะนี้ ไม่ใช่รู้ได้ทางใจดั่งเช่น อภิญญา นี่คือความแตกต่างข้อที่ 2
อีกประการหนึ่ง การรู้ด้วยอภิญญาจิต ย่อมรู้ได้ไกล มากๆ ๆ มากกว่า การรู้ด้วย
เทคโนโลยีที่มีขีดจำกัดกว่า เพราะคงไม่มีอะไร ที่จะรู้ได้ดีกว่า จิตที่ประณีต บริสุทธิ์
ย่อมเห็นตามควาเมป็นจริง มากกว่า รูปธรรมที่เป็นเครื่องช่วย ครับ
ส่วนประเด็นเรื่องการรู้ใจ ที่สามารถเดาใจได้ หากคุ้นเคยกัน กับอภิญญาจิตนั้น ควร
เข้าใจว่า การรู้ใจ โดยการเดา เพราะ คุ้นเคยก็อย่างหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่การรู้ใจได้ถูกต้อง
แน่นอนจริงๆ เพราะ อาศัยการคิดคาดคะเน ผิดบ้าง ถูกบ้าง หากแต่ว่า อภิญญาจิต
ที่เป็นการรู้ใจ ย่อมรู้ถูกต้องตามความเป็นจริง ในขณะที่จิตของผู้นั้นกำลังคิด ครับ นี่
คือความแตกต่างอีกประการ ครับ
เพราะฉะนั้น อภิญญาจิต จึงเป็นกุศลที่มีกำลัง ประณีต บริสุทธิ์ จึงรู้ถูกต้องตามความ
เป็นจริง และ ได้ดีกว่า เทคโนโลยี และ การคิดเอาเองของเรา ครับ ขออนุโมทนา