[เล่มที่ 50] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 339
เถรคาถา เอกนิบาต
วรรคที่ ๗
๘. เอกุทานิยเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระเอกุทานิยเถระ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 50]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 339
๘. เอกุทานิยเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระเอกุทานิยเถระ
[๒๐๕] ได้ยินว่า พระเอกุทานิยเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
ความโศกทั้งหลาย ย่อมไม่มีแก่ภิกษุ ผู้มีจิตมั่น ไม่ประมาท เป็นมุนีศึกษาอยู่ในคลองแห่งความเป็นมุนี ผู้คงที่ ผู้สงบระงับ มีสติทุกเมื่อ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 340
อรรถกถาเอกุทานิยเถรคาถา
คาถาของท่านพระเอกุทานิยเถระเริ่มต้นว่า อธิเจตโส อปฺปมชฺชโต. เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร?
แม้พระเถระนี้ ก็มีอธิการ อันกระทำไว้แล้วในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ สั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้ในภพนั้นๆ เกิดเป็นยักษ์ผู้ เสนาบดี ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า อัตถทัสสี เมื่อพระศาสดาเสด็จปรินิพพานแล้ว ได้ถึงความเศร้าโศกปริเทวนาการว่า เราไม่มีลาภหนอ เราหาโอกาสได้ยากหนอ เพราะในเวลาที่พระศาสดายังทรงพระชนม์อยู่ เราไม่ได้กระทำบุญมีทานเป็นต้นไว้. ครั้งนั้น สาวกของพระศาสดา นามว่า สาคระ บรรเทาความโศกนั้น แนะนำให้บูชาพระสถูปของพระศาสดา. เขาบูชาพระสถูปอยู่ตลอด ๕ ปี จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ท่องเที่ยวอยู่ในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย นั่นแหละ ด้วยบุญนั้น เกิดในเรือนแห่งตระกูล ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า กัสสปะ ถึงความเป็นผู้รู้แล้ว เข้าไปสู่สำนักของพระศาสดา ตามกาลเวลา.
ก็ในสมัยนั้น พระศาสดา ทรงโอวาทพระสาวกทั้งหลายเนืองๆ ด้วยคาถาว่า อธิเจตโส. เขาได้ฟังโอวาทนั้น เกิดศรัทธาบวชแล้ว ก็แหละครั้นบวชแล้ว ร่ายพระคาถานั้นนั่นแหละบ่อยๆ. ท่านบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ในพระโอวาทนั้น ตลอดสองหมื่นปี ไม่อาจจะยังคุณพิเศษให้เกิดขึ้นได้ เพราะญาณยังไม่แก่กล้า. ก็ท่านจุติจากภพนั้นแล้ว บังเกิดในเทวโลก ท่องเที่ยว ไปๆ มาๆ อยู่ในสุคติภพนั่นแหละ แล้วเกิดเป็นบุตรของพราหมณ์ผู้สมบูรณ์ด้วยสมบัติ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 341
ในพระนครสาวัตถี ในพุทธุปบาทกาลนี้ ถึงความเป็นผู้รู้แล้ว เห็นพุทธานุภาพ ในคราวที่พระองค์ทรงรับพระวิหารชื่อว่า เชตวัน ได้มีศรัทธา บรรพชาแล้ว กระทำบุรพกิจเสร็จแล้ว อยู่ในป่าได้ไปยังสำนักของพระศาสดา. ก็แลในสมัยนั้น พระศาสดาทอดพระเนตรเห็นท่านพระสารีบุตร ขวนขวายอธิจิตอยู่ในที่ไม่ไกลพระองค์ ทรงเปล่งอุทานนี้ว่า อธิเจตโส. พระเถระนี้ฟังพุทธอุทานนั้นแล้ว แม้จะอยู่ในป่าเพื่อเจริญภาวนาตลอดกาลนาน ก็เปล่งอุทานคาถานั้นแหละตามกาลเวลา. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงได้เกิดสมัญญา นามว่า เอกุทานิยเถระ ครั้นในวันหนึ่ง ท่านได้จิตเตกัคคตารมณ์ เจริญวิปัสสนาแล้ว บรรลุพระอรหัต. สมดังคาถาประพันธ์ ที่ท่านกล่าวไว้ใน อปทานว่า
ในลำดับกาล เมื่อพระสุคตเจ้าทรงพระนามว่า อัตถทัสสี เสด็จนิพพาน ในกาลนั้นข้าพระองค์ เข้าถึงกำเนิดยักษ์ และบรรลุถึงยศ ข้าพระองค์คิดว่า การที่เมื่อเรามีโภคสมบัติ พระสุคตเจ้าผู้มีพระจักษุ ปรินิพพานเสียแล้วนั้น เป็นการเสื่อมลาภ อันได้แสนยากของเราหนอ ดังนี้ พระสาวกนามว่า สาคระ รู้ความดำริของข้าพระองค์ ท่านต้องการจะถอนข้าพระองค์ขึ้น จึงมาในสำนักของข้าพระองค์ กล่าวว่าจะโศกเศร้าทำไมหนอ อย่ากลัวเลย จงประพฤติธรรมเถิด ท่านผู้มีเมธาดี พระพุทธเจ้าทรง ส่งเสริมวิทยาสมบัติของชนทั้งปวงว่า ผู้ใดพึงบูชาพระสัมพุทธเจ้าผู้เป็นนายกของโลก ยังดำรงพระชนม์อยู่ก็ดี พึงบูชาพระธาตุแม้ประมาณเท่าเมล็ดผักกาดของพระพุทธเจ้า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 342
แม้นิพพานแล้วก็ดี เมื่อจิต อันเลื่อมใสของผู้นั้นเสมอกัน บุญก็มีผลมากเสมอกัน เพราะฉะนั้น ท่านจงทำสถูปบูชาพระธาตุ ของพระชินเจ้าเถิด ข้าพระองค์ได้ฟังวาจาของท่านพระสาคระแล้ว ได้ทำพุทธสถูป ข้าพระองค์บำรุงพระสถูป อันอุดมของพระมุนีอยู่ ๕ ปี ข้าแต่พระองค์ผู้จอมประชา เชษฐบุรุษของโลก ประเสริฐกว่านระ ด้วยกรรมนั้น ข้าพระองค์เสวยสมบัติแล้ว ได้บรรลุพระอรหัต ในกัป ที่ ๗๐๐ แต่ภัทรกัปนี้ ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๔ พระองค์ มีพระนามว่า ภูริปัญญา สมบูรณ์แล้ว ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก ข้าพระองค์เผากิเลส ทั้งหลายแล้ว ฯลฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพระองค์กระทำสำเร็จแล้ว ดังนี้.
ก็ครั้นท่านบรรลุพระอรหัตแล้ว ยับยั้งอยู่ด้วยวิมุตติสุข วันหนึ่งถูก ท่านพระธรรมภัณฑาคาริก เชื้อเชิญว่า ดูก่อนอาวุโส ท่านจงแสดงธรรมแก่เรา ดังนี้ เพื่อจะทดสอบปฏิภาณ (ของท่าน) เพราะเหตุที่ท่านได้อบรมมาเป็นเวลานาน จึงได้กล่าวคาถานี้แหละ ความว่า
ความโศกทั้งหลาย ย่อมไม่มีแก่ภิกษุผู้มีจิตมั่น ไม่ประมาท เป็นมุนีศึกษาอยู่ในคลองแห่งโมไนย ผู้คงที่ ผู้สงบระงับ มีสติทุกเมื่อ ดังนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 343
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อธิเจตโส แปลว่า มิจิตตั้งมั่น อธิบายว่า ประกอบด้วยอรหัตตผลจิต อันยิ่งกว่าจิตทั้งปวง. บทว่า อปฺปมชฺชโต แปลว่า ผู้ไม่ประมาทอยู่. ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า ประกอบไปด้วยการกระทำเป็นไป ติดต่อ ในธรรมที่หาโทษมิได้ทั้งหลาย ด้วยความไม่ประมาท. บทว่า มุนิโน ความว่า พระขีณาสพ ชื่อว่า เป็นมุนี เพราะรู้ซึ่งโลกทั้งสองอย่างนี้ คือ ผู้ใดรู้โลกทั้งสอง ด้วยเหตุนั้น ผู้นั้นท่านจึงเรียกว่า มุนี อีกอย่างหนึ่ง ญาณ ท่านเรียกว่า โมนะ พระขีณาสพ ชื่อว่า เป็นมุนี เพราะประกอบด้วยโมนะ กล่าวคือปัญญาในพระอรหัตตผลนั้น. แก่ภิกษุผู้เป็นมุนี นั้น.
บทว่า โมนปเถสุ สิกฺขโต ความว่า ผู้ศึกษาอยู่ในคลองแห่งโมนะ กล่าวคือญาณในพระอรหัตตผล ได้แก่ในโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ อันเป็นบรรดาแห่งอุบาย หรือศึกษาอยู่ในสิกขา ๓. ก็คำนี้ท่านกล่าวไว้ โดยถือเอาปฏิปทาอันเป็นส่วนเบื้องต้น อธิบายว่า ได้แก่พระอรหันต์ผู้สำเร็จการศึกษาแล้ว เพราะฉะนั้นในบทว่า โมนปเถสุ สิกฺขโต นี้ พึงเห็น ความอย่างนี้ว่า แก่ภิกษุผู้ศึกษาอยู่อย่างนี้ คือ แก่มุนี ผู้ถึงความเป็นมุนี ด้วยสิกขานี้. เพราะเหตุที่คำนี้ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ ฉะนั้น บททั้งสองเหล่านี้ ควรประกอบความอย่างนี้ว่า แก่ภิกษุผู้มีใจสูง ด้วยสามารถแห่งมรรคจิต และ ผลจิตเบื้องต่ำ ผู้ไม่ประมาท ด้วยสามารถแห่งความไม่ประมาท ในข้อปฏิบัติ ธรรมเครื่องตรัสรู้ คืออริยสัจ ๔ ชื่อว่าเป็นมุนี เพราะประกอบด้วยมรรคญาณอันเลิศ. อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบว่า ท่านกล่าวเหตุแห่งความเพียรไว้ด้วยบท ว่า อปฺปมชฺชโต สิกฺขโต ดังนี้ เพราะฉะนั้น จึงได้ความว่า แก่ภิกษุผู้ มีใจสูง เพราะเหตุแห่งความไม่ประมาท และเพราะเหตุแห่งการศึกษา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 344
บทว่า โสกา น ภวนฺติ ตาทิโน ความว่า ความเศร้าโศกทั้งหลาย อันมีความพลัดพรากจากสิ่งที่ปรารถนาแล้วเป็นต้น เป็นวัตถุ ได้แก่ ความเร่าร้อนแห่งจิต ย่อมไม่มีในภายในของภิกษุผู้เช่นนั้น คือของมุนีผู้พระขีณาสพ. อีกอย่างหนึ่ง ความโศกทั้งหลาย ย่อมไม่มีแก่พระมุนี ผู้อเสกขะ ผู้ถึงแล้วซึ่งลักษณะแห่งบุคคลผู้คงที่. บทว่า อุปสนฺตสฺส ความว่า ผู้เข้าไปสงบระงับแล้ว ด้วยการเข้าไปสงบกิเลสมีราคะเป็นต้นได้ตลอดไป. บทว่า สทา สตีมโต ความว่า ผู้ไม่เว้นจากสติ ตลอดกาลเป็นนิจ เพราะถึงแล้วซึ่งความไพบูลย์แห่งสติ.
ก็ในคาถานี้ ด้วยบทว่า อธิเจตโส พึงทราบว่า ได้แก่ อธิจิตตสิกขา. ด้วยบทว่า อปฺปมชฺชโต พึงทราบว่า ได้แก่ อธิสีลสิกขา. ด้วยบทว่า มุนิโน โมนปเถสุ สิกฺขโต พึงทราบว่า ได้แก่ อธิปัญญาสิกขา. อีก อย่างหนึ่ง พึงทราบว่า ท่านประกาศอธิปัญญาสิกขา ด้วยบทว่า มุนิโน. ประกาศปฏิปทาอันเป็นส่วนเบื้องต้น แห่งโลกุตรสิกขาทั้งหลายเหล่านั้น ด้วย บทว่า โมนปเถสุ สิกฺขโต. ประกาศอานิสงส์แห่งการทำสิกขาให้บริบูรณ์ ด้วยบทมีอาทิว่า โสกา น ภวนฺติ. ก็พระคาถานี้แหละ. ได้เป็นคาถา พยากรณ์พระอรหัตตผลของพระเถระ.
จบอรรถกถาเอกุทานิยเถรคาถา