ขอเรียนถามท่านอาจารย์ว่า นอกจากพระอรหันต์แล้ว คฤหัสถ์ทั่วไปปรารถนานิพพานต้องปฎิบัติตนอย่างไร
บุคคลจะถึงพระนิพพานได้ต้องอบรมเจริญอริยมรรคมีองค์แปดเท่านั้นจึงจะถึงได้โดยปกติสัตว์ทั้งหลายยังติดข้องอยู่ในกาม ปรารถนากามจึงไม่พ้นไปจากกามได้ แต่ผู้ที่ได้ฟังพระสัทธรรมของพระพุทธเจ้าย่อมเป็นผู้ตื่นจากความหลับคือกิเลส เมื่ออบรมเจริญอริยมรรคอันประเสริฐย่อมหลุดพ้นจากวัฏฏทุกข์เข้าถึงพระนิพพานอันเป็นแดนเกษมจากโยคะได้..
สาธุ
อนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของปัญญา ซึ่งเป็นความเข้าใจถูก เห็นถูก ในลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงของผู้ที่ได้ฟังได้ศึกษา ธรรมเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก เพราะละเอียด ลึกซึ้ง และการที่จะเข้าใจได้มากน้อยแค่ไหนนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับการสั่งสมมาของแต่ละบุคคลด้วย พร้อมทั้งจะต้องมีความอดทน มีความตั้งใจที่จะฟัง ที่จะศึกษาเพื่อความเข้าใจจริงๆ ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น
สภาพธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง เป็นสัจจธรรม สิ่งที่มีจริงทุกอย่างเป็นธรรม ไม่มีใครจะไปเปลี่ยนแปลงได้ เพราะมีลักษณะเฉพาะของตนๆ จะเห็นได้ว่า ชีวิตที่ดำเนินไปในแต่ละวัน ในแต่ละขณะนั้น เป็นธรรม ทั้งหมด ซึ่งไม่พ้นไปจากนามธรรมกับรูปธรรม สิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวัน เป็นสิ่งที่ควรศึกษา เพราะเราได้สั่งสมความไม่รู้มาอย่างเนิ่นนาน จึงไม่รู้ ไม่เข้าใจ และหลงผิดยึดถือในสภาพธรรม ว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์เป็นบุคคล แท้ที่จริงแล้วมีแต่สภาพธรรมเท่านั้น จึงขอให้เริ่มต้นด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องว่า ทุกอย่างเป็นธรรม ไม่ใช่เรา
การที่ปัญญาจะคมกล้าจนกระทั่งสามารถที่จะดับกิเลสประการต่างๆ ประจักษ์แจ้งในลักษณะของพระนิพพาน (ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่ไม่เกิดไม่ดับ และไม่ใช่สถานที่ด้วย) นั้นเป็นเรื่องที่ไกลมาก แต่ขณะนี้มีธรรม มีสิ่งที่กำลังปรากฏ ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูกทางลิ้น ทางกาย ทางใจ มีให้ศึกษา ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่ปัญญาจะประจักษ์แจ้งได้ เข้าใจตามความเป็นจริงได้ในชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้นแล้วจึงต้องอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม พิจารณาพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง เรื่องรูปธรรมนามธรรม บ่อยๆ เนืองๆ ด้วยความไม่ท้อถอย เพื่อเป็นเครื่องปรุงแต่งให้สติเกิดขึ้นระลึกรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ซึ่งจะเป็นไปเพื่อการละคลายความยึดถือในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนได้ จึงไม่มีหนทางอื่น นอกจากฟังให้เข้าใจ ผู้ที่ดับกิเลสได้อย่างเด็ดขาด ล้วนเป็นผู้ได้สั่งสมการฟังพระธรรมมาแล้วทั้งนั้น ครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ก่อนจะถึงความเป็นพระอรหันต์ก็ต้องอบรมเหตุคือ การอบรมปัญญาจากขั้นการฟังให้เข้าใจว่าธรรมคืออะไร หากเหตุถูกผลย่อมถูก อบรมปัญญาในแนวทางที่ถูกต้อง ไม่ว่าเพศใด บุคคลใดก็สามารถถึงความเป็นพระอรหันต์ได้ สำคัญที่เหตุครับ
เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่ครับ
ศึกษาธรรมะเบื้องต้น
ปัญญาย่อมเกิดจากการฟัง การศึกษา
ถ้าขาดการศึกษาพระธรรม การปฏิบัติธรรมที่ถูกต้องย่อมมีไม่ได้
ควรศึกษาให้เข้าใจสภาพธรรม
เชิญคลิกฟังที่นี่ครับ
การศึกษาธรรมต้องค่อยๆ เจริญขึ้นตามลำดับขั้น
หนทางที่จะรู้จริงมี แต่ต้องเข้าใจธรรมตามลำดับ
การละคลายกิเลสต้องเป็นลำดับขั้น
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
เราอยู่ในยุคปีที่ ๒,๕๐๐ ศาสนาจะมีอายุ ๕,๐๐๐ ปี กาลล่วงมาเกินครึ่งทางแล้ว ในโลกมนุษย์นี้ตั้งแต่นี้ไปไม่มีใครไปนิพพานได้แล้ว เว้นแต่บนสวรรค์และพรหม ครับ
มีหนทางเดียว คือ การอบรมเจริญสติปัฎฐานซึ่งก็คือ การอบรมอริยมรรคมีองค์ ๘
ขออนุโมทนาค่ะ
แล้วฝึก มโนมยิทธิ อย่างวัดท่าซุง ที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำสอน สามารถไปถึงนิพพานได้หรือไม่ครับ ผมเคยเข้าอ่านในเว็บพลังจิตบ่อยๆ ผู้ที่ได้มโนฯ แล้วทรงอารมณ์ ได้ แล้วไปนั่ง นอน บนนิพพาน อะไร แบบนี้น่ะครับ จริงๆ แล้วข้อเท็จจริง เป็นเช่นไรครับ ใครพอทราบรายละเอียดบ้างครับ
ทางใดที่ไม่ใช่การรู้ลักษณะของสภาพธรรมจริงๆ ในขณะนี้ ก็ไม่สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ครับ ซึ่งต้องเริ่มจากการฟังให้เข้าใจก่อนว่าธรรมคืออะไร หากไม่เข้าใจว่าธรรมคืออะไรก็ปฏิบัติธรรมผิด เริ่มจากฟังให้เข้าใจก่อนครับ การอบรมขั้นสมถภาวนาไม่สามารถดับกิเลสได้ ที่สำคัญก็ไม่สามารถรู้ความจริงว่าทุกอย่างเป็นธรรม ไม่สามารถไถ่ถอนความเห็นผิดว่าเห็นสัตว์บุคคลตัวตนได้ครับ จึงไม่ใช่หนทางที่ถูกต้องครับ
ตราบใดที่มีพระธรรม การที่บุคคลจะศึกษาพระธรรมแล้วไปสู่พระนิพพานก็ยังมีอยู่ครับ
ถ้ายังไม่รู้ว่า นิพพานคืออะไร และนิพพานเป็นอย่างไรก็ไม่ควรที่จะปรารถนานิพพานเลย แต่ควรศึกษาพระธรรมให้เข้าใจตั้งแต่เบื้องต้นมิฉะนั้น เวลาที่ได้ยินได้ฟังอะไรจากใครมา ก็จะมีแต่ความสงสัยเพราะเหตุว่า ยังไม่มีความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับนิพพานตามคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุโมทนาค่ะ
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ทางนั้นชื่อว่าเป็นทางตรง ทิศนั้นชื่อว่าไม่มีภัย รถชื่อว่าไม่มีเสียงดัง ประกอบด้วยล้อคือธรรม หิริเป็นฝาของรถนั้น สติเป็นเกราะกั้นของรถนั้น เรากล่าวธรรม มีสัมมาทิฏฐินำหน้าว่าเป็นสารถี ยานชนิดนี้มีอยู่แก่ผู้ใด จะเป็นหญิงหรือชายก็ตาม เขา (ย่อมไป) ในสำนักพระนิพพานด้วยยานนี้แหละ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑- หน้าที่ ๑๗๔
บทว่า อมตคโต ความว่า ไปสู่แดนอมตะ คือนิพพานได้ด้วยมรรค.
บทว่า อมตปฺปตฺโต ความว่า ถึงแดนอมตะนั้นได้ด้วยผล.
บทว่า นิพฺพานคโต ความว่าไปสู่นิพพานซึ่งออกจากเครื่องร้อยรัด คือตัณหาได้ด้วยมรรค.
บทว่า นิพฺพานปฺปตฺโต ความว่า ถึงนิพพานนั้นแหละได้ด้วยผล.
บทว่า คตทิโส ความว่า ถึงทิศคือนิพพาน ซึ่งไม่เคยไปแม้ในความฝัน.
นิพพาน ย่อมถึงไม่ได้ด้วยความอยากหรือความหวัง แต่ผู้เจริญเหตุถูก เจริญเหตุไว้ดีแล้ว แม้นไม่ได้หวังอยู่ ก็ย่อมถึงด้วยว่า ผล ย่อมสมควรแก่เหตุ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตและกุศลวิริยะของทุกท่านค่ะ
สาธุ
ขออนุโมทนาครับ