[เล่มที่ 32] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 461
อรรถกถาสูตรที่ ๓
ประวัติพระกาฬุทายีเถระ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 32]
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 461
อรรถกถาสูตรที่ ๓
ประวัติพระกาฬุทายีเถระ
ในสูตรที่ ๓ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า กุลปฺปสทกานํ ได้แก่ ผู้ทำสกุลให้เลื่อมใส. แท้จริง พระเถระนี้ ทำราชนิเวศน์ของพระเจ้าสุทโธทนมหาราช ผู้ยังไม่พบพระพุทธเจ้าเท่านั้น ให้เลื่อมใส เพราะเหตุนั้น ท่านจึงเป็นยอดของภิกษุสาวก ผู้ทำสกุลให้เลื่อมใส ในปัญหากรรมของท่าน มีเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับ ดังนี้.
ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ พระเถระนี้บังเกิดในเรือนสกุล ณ กรุงหงสวดี กำลังฟังธรรมเทศนาของพระศาสดา เห็นพระศาสดา ทรงสถาปนาภิกษุรูปหนึ่งไว้ ในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นยอดของภิกษุสาวก ผู้ทำสกุลให้เลื่อมใส จึงกระทำกุศลกรรมให้ยิ่งยวดขึ้นไปแล้ว ปรารถนาตำแหน่งนั้น ท่านการทำกุศลตลอดชีวิต เวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ถือปฏิสนธิในเรือนของอำมาตย์ ณ กรุงกบิลพัสดุ์ ในวันที่พระโพธิสัตว์ของเรา ทรงถือปฏิสนธิในครรภ์ของพระมารดา ในวันเกิดก็เกิดพร้อมกับพระโพธิสัตว์แล ในวันนั้นญาติทั้งหลาย ก็ให้นอนบนเครื่องรองรับคือผ้า แล้วนำไปถวายตัวเพื่อรับใช้พระโพธิสัตว์.
ต้นโพธิพฤกษ์ พระมารดาของพระราหุล ขุมทรัพย์ทั้ง ๔ ช้างทรง ม้ากัณฐกะ นายฉันนะ อำมาตย์กาฬุทายี รวมเป็น ๗ นี้ ชื่อว่า สัตตสหชาต เพราะเกิดวันเดียวกับพระโพธิสัตว์.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 462
ในวันขนานนามทารกนั้น เหล่าญาติตั้งชื่อว่า อุทายี เพราะเกิดในวันที่ชาวนครทั่วไป มีจิตใจฟูขึ้น (สูง). แต่เพราะเขาเป็นคนดำนิดหน่อย จึงเกิดชื่อว่า กาฬุทายี กาฬุทายีนั้นเล่นของเล่น สำหรับเด็กชายกับพระโพธิสัตว์จนเจริญวัย ต่อมาพระโพธิสัตว์เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ บรรลุพระสัพพัญญุตญาณ ตามลำดับ ทรงประกาศธรรมจักรอันประเสริฐ. ทรงกระทำการอนุเคราะห์โลก ทรงอาศัยกรุงราชคฤห์ประทับอยู่. สมัยนั้น พระเจ้าสุทโธทนมหาราช ทรงสดับว่า สิทธัตถกุมารบรรลุอภิสัมโพธิญาณ อาศัยกรุงราชคฤห์ประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันวิหาร จึงทรงส่งอำมาตย์ผู้หนึ่ง มีบุรุษพันคนเป็นบริวารไปด้วย พระดำรัสสั่งว่า เจ้าจงนำโอรสของเรามาในที่นี้. อำมาตย์นั้นเดินไป ๖๐ โยชน์ เข้าไปยังพระวิหาร ในเวลาที่พระทศพลประทับนั่งกลางบริษัท ๔ ทรงแสดงธรรม อำมาตย์นั้นคิดว่า ข่าวสาส์นที่พระราชาทรงส่งไปพักไว้ก่อน แล้วยืนท้ายบริษัท ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดา ก็บรรลุพระอรหัต พร้อมกับบุรุษพันคน ตรงที่ยืนอยู่นั่นแหละ ครั้งพระศาสดาทรงเหยียดพระหัตถ์แก่อำมาตย์ และบุรุษนั้น คนนั้น ด้วยพระดำรัสว่า พวกเธอจงเป็นภิกษุเถิด ทันใดนั้นเอง ทุกคนก็ทรงบาตรและจีวรสำเร็จมาแต่ฤทธิ์ ได้เป็นเหมือนพระเถระร้อยพรรษา นับแต่เวลาบรรลุพระอรหัตกันแล้ว ธรรมดาว่าพระอริยะทั้งหลายย่อมเป็นผู้วางเฉย เพราะฉะนั้น อำมาตย์นั้นจึงไม่ได้ทูลข่าวสาส์น ที่พระราชาทรงส่งไปแด่พระทศพล พระราชาทรงพระดำริว่า อำมาตย์ยังไม่กลับ มาจากที่นั้น ข่าวคราวก็ไม่ได้ยิน จึงทรงส่งอำมาตย์คนอื่นๆ ไปโดยทำนองนั้น นั่นแล อำมาตย์แม้นั้น ไปแล้ว ก็บรรลุพระอรหัตพร้อมกับบริษัทโดยนัยก่อน นั่นแหละ แล้วก็นิ่งเสีย ทรงส่งบุรุษเก้าพันคน
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 463
พร้อมกับอำมาตย์เก้าคน ด้วยประการฉะนี้ ทุกๆ คนสำเร็จกิจของตนแล้ว ก็นิ่งเสีย
ครั้งนั้น พระราชาทรงพระดำริว่า คนมีจำนวนเท่านี้ ไม่บอกอะไรแก่พระทศพล เพื่อเสด็จมาในที่นี้ เพราะเขาไม่รักเรา คนอื่นๆ แม้ไปก็คงจักไม่สามารถนำพระทศพลมาได้ แต่อุทายีบุตรของเราปีเดียวกับพระทศพล โดยเล่นฝุ่นด้วยกันมา เขาคงรักเราบ้าง จึงโปรดให้เรียกตัวมาแล้วตรัสสั่งว่า ลูกเอ๋ย เจ้ามีบุรุษพันคนเป็นบริวาร จงไปนำพระทศพลมา กาฬุทายีกราบทูลว่า ข้าแต่เทวะ ข้าพระบาท ได้บรรพชาเหมือนพวกบุรุษที่ไปกันครั้งแรก จึงจัดนำมา พระเจ้าข้า. รับสั่งว่าเจ้าทำกิจอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว จงนำลูกของเรามาก็แล้วกัน กาฬุทายีรับราชโองการว่า ดีละ พระเจ้าข้า แล้วถือสาส์นของพระราชาไปกรุงราชคฤห์ ยืนฟังธรรมท้ายบริษัท ในเวลาพระศาสดาทรงแสดงธรรมแล้ว บรรลุพระอรหัต ดำรงอยู่โดยเป็นเอหิภิกขุ พร้อมทั้งบริวาร ต่อนั้น ก็ดำริว่า ยังไม่เป็นกาละเทศะ ที่พระทศพลจะเสด็จไปยังนครแห่งสกุล ต่อสมัยวสันตฤดู (ฤดูใบไม้ผลิ) เมื่อไพรสณฑ์มีดอกไม้บานสะพรั่ง แผ่นดินคลุมด้วยหญ้าสด จึงจักเป็นกาละเทศะ จึงรอเวลาอยู่ รู้ว่ากาละเทศะมาถึงแล้ว จึงทูลพรรณนาหนทาง เพื่อพระทศพลเสร็จดำเนินไปยังนครแห่งสกุล ด้วยคาถาประมาณ ๖๐ คาถาเป็นต้นว่า
นาติสีตํ นาติอุณฺหํ นาติทุพฺภิกฺขฉาตกํ
สทฺทสา หริตา ภูมิ เอส กาโล มหามุนิ
ข้าแต่พระมหามุนี สถานที่ไม่เย็นจัด ไม้ร้อนจัด ใช่สถานที่หาอาหารยากและอดอยาก พื้นแผ่นดินเขียวขจี
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 464
ชอุ่มด้วยหญ้า นี่เป็นกาลสมควร.
พระศาสดาทรงทราบว่า อุทายีกล่าวสรรเสริญการเดินไปว่า เป็นกาละเทศะ ที่จะเสด็จดำเนินไปยังกรุงกบิลพัสดุ์ มีภิกษุสองหมื่นรูปเป็นบริวาร เสด็จออกจาริกด้วยการทรงดำเนินไป แบบไม่รีบด่วน พระอุทายีเถระทราบว่า พระศาสดาเสด็จออกไปแล้ว คิดว่าควรจะถวายความเข้าพระหฤทัย แต่พระมหาราชเจ้าพุทธบิดา จึงเหาะไปปรากฏ ณ พระราชนิเวศน์ของพระราชา พระราชาทอดพระเนตรเห็นพระเถระ ก็มีพระหฤทัยยินดี นิมนต์ให้นั่งบนบัลลังก์ (แท่น) ที่สมควรใหญ่ บรรจุบาตรให้เต็ม ด้วยโภชนะรสเลิศต่างๆ แล้วถวาย พระเถระลุกขึ้นแสดงอากัปปกิริยาว่าจะไป ท้าวเธอจึงตรัสว่า นิมนต์นั่งฉันสิลูกเอ๋ย ท่านทูลว่ามหาบพิตร อาตมภาพจักไปฉัน ณ สำนักพระศาสดา ตรัสถามว่า ก็พระศาสดาอยู่ไหนล่ะ พ่อเอ๋ย ท่านทูลว่ามหาบพิตร พระศาสดามีภิกษุสองหมื่นเป็นบริวาร เสด็จออกจาริกเพื่อเยือนมหาบพิตรแล้ว ตรัสว่า ลูกฉันบิณฑบาตนี้แล้ว โปรดนำบิณฑบาตนอกจากนี้ไปถวาย จนกว่าลูกของโยมจะมาถึงนครนี้ พระเถระรับอาหารที่จะพึงนำไปถวายพระทศพล แล้วกล่าวธรรมกถา ทำพระราชนิเวศน์ทั้งสิ้นให้ได้ศรัทธา โดยยังไม่ทันเห็นพระทศพลเลย เมื่อทุกคนเห็นอยู่ นั่นแล ก็โยนบาตรขึ้นไปในอากาศ แม้ตนเองก็เหาะไป นำบิณฑบาตไปวางไว้ ที่พระหัตถ์ของพระศาสดา พระศาสดาก็เสวยบิณฑบาตนั้น ทุกๆ วัน พระเถระนำอาหาร จากพระราชนิเวศน์มาถวาย แต่พระศาสดา ซึ่งกำลังเสด็จดำเนินทาง ๖๐ โยชน์ ตลอดทางโยชน์หนึ่งเป็นอย่างยิ่ง พึงทราบเรื่องดังกล่าวมา ฉะนี้
ต่อมาภายหลัง พระศาสดาทรงดำริว่า อุทายี ทำพระราชนิเวศน์
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 465
ทั้งสิ้น ของพระมหาราชบิดาของเราให้เลื่อมใสแล้ว จึงทรงสถาปนาพระเถระไว้ ในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นยอดของเหล่าภิกษุสาวก ผู้ทำสกุลให้เลื่อมใสแล.
จบ อรรถกถาสูตรที่ ๓