[เล่มที่ 26] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 469
๕. ทสกัมมปถสูตร
ว่าด้วยกรรมบถ ๑๐
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 26]
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 469
๕. ทสกัมมปถสูตร
ว่าด้วยกรรมบถ ๑๐
[๓๙๗] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย... แล้วได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 470
สัตว์ทั้งหลายย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกัน โดยธาตุเทียว คือพวกทำปาณาติบาต ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกันกับพวกทำปาณาติบาต พวกทำอทินนาทาน... พวกทำกาเมสุมิจฉาจาร... พวกมุสาวาท... พวกพูดส่อเสียด... พวกพูดคำหยาบ... พวกพูดเพ้อเจ้อ... ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกันกับพวกพูดเพ้อเจ้อ พวกมีอภิชฌามาก ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกันกับพวกมีอภิชฌามาก พวกมีจิตพยาบาท ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกันกับพวกมีจิตพยาบาท พวกมิจฉาทิฏฐิ ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกันกับพวกมิจฉาทิฏฐิ.
[๓๙๘] พวกเว้นขาดจากปาณาติบาต ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกันกับพวกเว้นขาดจากปาณาติบาต พวกเว้นขาดจากอทินนาทาน... พวกเว้นขาดจากกาเมสุมิจฉาจาร... พวกเว้นขาดจากมุสาวาท... พวกเว้นขาดจากพูดส่อเสียด... พวกเว้นขาดจากพูดคำหยาบ... พวกเว้นขาดจากพูดเพ้อเจ้อ ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกันกับพวกเว้นขาดจากพวกพูดเพ้อเจ้อ พวกไม่มีอภิชฌา ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกันกับพวกไม่มีอภิชฌา พวกมีจิตไม่พยาบาท ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกันกับพวกมีจิตไม่พยาบาท พวกสัมมาทิฏฐิ ย่อมคบค้ากัน ย่อมสมาคมกันกับพวกสัมมาทิฏฐิ.
จบทสกัมมปถสูตรที่ ๕
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 471
อรรถกถาทสกัมมปถสูตรที่ ๕
พึงทราบวินิจฉัยในทสกัมมปถสูตรที่ ๕ ดังต่อไปนี้.
ชื่อว่า พวกทำปาณาติบาต เพราะอรรถว่า ทำสัตว์มีชีวิตให้ตกล่วงไป. อธิบายว่า พวกฆ่าสัตว์มีชีวิต.
ชื่อว่า พวกทำอทินนาทาน เพราะอรรถว่า ถือเอาสิ่งของที่เขาไม่ได้ให้ อธิบายว่า ลักของผู้อื่น.
ชื่อว่า พวกทำกาเมสุมิจฉาจาร เพราะอรรถว่า ประพฤติผิดในวัตถุกาม ด้วยกิเลสกาม.
ชื่อว่า พวกมุสาวาท เพราะอรรถว่า พูดเท็จ อธิบายว่า พูดวาจาเท็จ เหลาะแหละ หักรานประโยชน์ของผู้อื่น.
ชื่อว่า พวกปิสุณวาจา เพราะอรรถว่า มีวาจาส่อเสียด.
ชื่อว่า พวกผรุสวาจา เพราะอรรถว่า มีวาจาหยาบตัดเสียซึ่งคำรัก.
ชื่อว่า พวกสัมผัปปลาปะ เพราะอรรถว่า พูดคำเพ้อเจ้อ ไร้ประโยชน์.
ชื่อว่า พวกมีอภิชฌาลุ เพราะอรรถว่า เพ่งเล็ง อธิบายว่า เป็นคนมีปกติอยากได้ในภัณฑะของผู้อื่น.
ชื่อว่า พวกมีพยาปันนจิต เพราะอรรถว่า มีจิตพยาบาท คือเสีย.
ชื่อว่า พวกมิจฉาทิฏฐิ เพราะอรรถว่า มีความเห็นผิด คือลามก ผู้รู้ติเตียน อธิบายว่า ประกอบด้วยทิฏฐิอันไม่นำให้พ้นทุกข์ เนื่องด้วยกรรมบถ คือเนื่องด้วยความเห็นผิดมีวัตถุเป็นต้นว่า ทานที่ให้แล้วไม่มีผล.
ชื่อว่า สัมมาทิฏฐิ เพราะอรรถว่า มีความเห็นชอบ คืองาม ผู้รู้สรรเสริญ อธิบายว่า ประกอบด้วยมัคคทิฏฐิ เนื่องด้วยกรรมบถ เนื่องด้วยความเห็นชอบว่าสัตว์มีกรรมเป็นของๆ ตน เป็นต้นว่า ทานที่ให้แล้วมีผล นี้เป็นเพียงชื่อว่าการพรรณนาบทที่ยากในสูตรนี้ก่อน.
ส่วนบทเหล่านั้น มีอรรถ ๑๐ อย่างในธรรมฝ่ายดำ คือปาณาติบาต
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 472
อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร มุสาวาท ปิสุณวาจา ผรุสวาจา สัมผัปปลาปะ อภิชฌา พยาบาท มิจฉาทิฏฐิ.
ในบทเหล่านั้น การยังสัตว์มีชีวิตให้ตกล่วงไป ชื่อว่า ปาณาติบาต.
มีอธิบายว่า ฆ่าสัตว์มีชีวิต คือการฆ่าสัตว์มีชีวิตให้ตาย.
ส่วนในบทว่า ปาโณ นี้ โดยโวหารได้แก่ สัตว์. โดยปรมัตถ์ได้แก่ ชีวิตินทรีย์.
ก็เจตนาที่จะฆ่าของผู้มีความสำคัญในสัตว์มีชีวิตนั้นว่า สัตว์มีชีวิต อันตั้งขึ้นเพราะความพยายามเป็นเหตุเข้าไปตัดชีวิตินทรีย์เสียที่เป็นไปทางกายทวาร และวจีทวาร ทวารใดทวารหนึ่ง ชื่อ ปาณาติบาต.
บรรดาสัตว์มีชีวิต ผู้เว้นจากคุณมีสัตว์ดิรัจฉานเป็นต้น ปาณาติบาตนั้น ชื่อว่ามีโทษน้อย ในเพราะสัตว์เล็ก ชื่อว่ามีโทษมาก ในเพราะสัตว์ใหญ่.
ถามว่า เพราะเหตุไร.
ตอบว่า เพราะมีความพยายามมาก.
แม้เมื่อมีความพยายามเท่ากัน ก็ชื่อว่ามีโทษมาก เพราะวัตถุใหญ่.
บรรดาสัตว์ผู้มีคุณมีมนุษย์เป็นต้น ปาณาติบาต ชื่อว่ามีโทษน้อย ในเพราะสัตว์มีคุณน้อย ชื่อว่ามีโทษมาก ในเพราะสัตว์มีคุณมาก.
ก็เมื่อมีสรีระและคุณเสมอกัน ก็พึงทราบว่า มีโทษน้อย เพราะกิเลสและความพยายามอ่อน พึงทราบว่า มีโทษมาก เพราะกิเลสและความพยายามกล้า.
ปาณาติบาตนั้นมีองค์ ๕ คือ สัตว์มีชีวิต ๑ ความเป็นผู้มีความสำคัญว่าสัตว์มีชีวิต ๑ จิตคิดจะฆ่า ๑ มีความพยายาม ๑ สัตว์ตายด้วยความพยายามนั้น ๑.
ประโยคมี ๖ คือ สาหัตถิกะ ๑ อาณัตติกะ ๑ นิสสัคคิยะ ๑ ถาวระ ๑ วิชชามยะ ๑. ความเนิ่นช้าก็จะมีในเรื่องนั้น อันข้าพเจ้าให้พิสดารไว้ในที่นี้ เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจะไม่ให้เรื่องนั้นพิสดาร. ส่วนเรื่องอื่นและ
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 473
เรื่องเห็นปานนั้น ผู้มีความต้องการพึงตรวจดูอรรถกถาพระวินัย ชื่อ สมันตปาสาทิกาเถิด.
การถือเอาสิ่งของที่เขาไม่ได้ให้ ชื่อว่า อทินนาทาน มีอธิบายว่า ลักขโมยของผู้อื่น เป็นกิริยาของโจร.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อทินฺนํ แปลว่า พัสดุที่ผู้อื่นหวงแหน.
เจตนาเป็นขโมยของบุคคลผู้มีความสำคัญในพัสดุอันผู้อื่นหวงแหนนั้น ว่าเป็นพัสดุอันผู้อื่นหวงแหนแล้ว ซึ่งใช้คนอื่นให้ทำตามความต้องการยังไม่มีโทษทางอาชญา คือยังไม่มีใครกล่าวโทษเพราะยังความพยายามเป็นเหตุถือเอาพัสดุที่ผู้อื่นหวงแหนนั้นให้ตั้งขึ้น ก็ชื่อว่า อทินนาทาน.
อทินนาทานนั้น ชื่อว่ามีโทษน้อย ในเพราะของๆ ผู้อื่นเลว. ชื่อว่ามีโทษมาก ในเพราะของๆ ผู้อื่นประณีต.
เพราะเหตุไร. เพราะพัสดุประณีต.
เมื่อพัสดุเสมอกัน ชื่อว่ามีโทษมาก เพราะเป็นของๆ บุคคลผู้ยิ่งด้วยคุณ ชื่อว่ามีโทษน้อย ในเพราะเป็นของๆ บุคคลผู้มีคุณเลวกว่าบุคคลผู้ยิ่งด้วยคุณนั้น เพราะเทียบกับบุคคลผู้ยิ่งด้วยคุณนั้นๆ.
อทินนาทานนั้น มีองค์ ๕ คือ พัสดุอันผู้อื่นหวงแหน ๑ ความเป็นผู้มีความสำคัญว่าเป็นของอันผู้อื่นหวงแหน ๑ จิตคิดจะลัก ๑ ความพยายาม ๑ ลักมาได้ด้วยความพยายามนั้น ๑.
ประโยคมี ๖ มีสาหัตถิกะเป็นต้น ก็แลประโยคเหล่านั้น เป็นไปแล้วด้วยอำนาจแห่งอวหารเหล่านี้ตามสมควร คือ เถยยาวหาร ลัก ๑ ปสัยหาวหาร ข่มขู่ ๑ ปฏิจฉันนาวหาร ลักซ่อน ๑ ปริกัปปาวหาร กำหนดลัก ๑ กุสาวหาร ลักสับ ๑ นี้เป็นความสังเขปในข้อนี้ ส่วนความพิสดาร ท่านกล่าวไว้แล้วในสมันตปาสาทิกา.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 474
ส่วนบทว่า กาเมสุ ในบทว่า กาเมสุมิจฺฉาจาโร นี้ ได้แก่ในความประพฤติเอื้อเฟื้อด้วยดีในกรรมของคนคู่กัน.
บทว่า มิจฺฉาจาโร ได้แก่ อาจาระอันทรามที่บัณฑิตติเตียนโดยส่วนเดียว.
ก็โดยลักษณะ เจตนาเป็นเหตุก้าวล่วงฐานะอันบุคคลไม่พึงถึงเป็นไปทางกายทวาร ด้วยประสงค์อสัทธรรม ชื่อว่า กาเมสุมิจฺฉาจาร.
ในกาเมสุมิจฉาจารนั้น สตรี ๑๐ จำพวกแรก มีพวกที่มารดาปกครองรักษาเป็นต้น คือ มาตุรกฺขิตา สตรีที่มารดาปกครองรักษา ๑ ปิตุรกฺขิตา ที่บิดาปกครองรักษา ๑ มาตาปิตุรกฺขิตา ที่มารดาบิดาปกครองรักษา ๑ ภาตุรกฺขิตา ที่พี่น้องชายปกครองรักษา ๑ ภคินีรกฺขิตา ที่พี่น้องหญิงปกครองรักษา ๑ ญาติรกฺขิตา ที่ญาติปกครองรักษา ๑ โคตฺตรกฺขิตา ที่วงศ์ตระกูลปกครองรักษา ๑ ธมฺมรกฺขิตา ที่ผู้ประพฤติธรรมปกครองรักษา ๑ สารกฺขา ที่ผู้หมั้นหมายปกครองรักษา ๑ สปริทณฺฑา ที่อยู่ในอาณัติปกครองรักษา ๑.
และสตรี ๑๐ พวกหลัง มีพวกที่บุรุษซื้อมาด้วยทรัพย์เป็นต้น เหล่านี้คือ ธนกฺกีตา สตรีที่บุรุษซื้อมาด้วยทรัพย์ ๑. ฉนฺทวาสินี ที่สมัครใจมาอยู่ร่วม ๑. โภควาสินี ที่มาอยู่ร่วมเพราะโภคะ ๑ ปฏวาสินี ที่มาอยู่ร่วมเพราะผ้า ๑ โอทปตฺตกินี ที่มาอยู่ร่วมโดยพิธีแต่งงานหลั่งน้ำ ๑ โอภตจุมฺพตา ที่บุรุษช่วยให้พ้นจากการแบกทูนของบนศีรษะ ๑ ทาสี ภริยา ภรรยาที่เป็นทาสี ๑ กมฺมการี ภริยา ภรรยาที่เป็นกรรมกร ๑ ธชาหฏา ที่เป็นเชลย ๑ มุหุตฺติกา ที่เป็นภรรยาชั่วครั้งคราว ๑.
รวมเป็น ๒๐ จำพวก ชื่อว่า อคมนียัฏฐาน (ฐานะที่ไม่พึงเกี่ยวข้อง) สำหรับบุรุษ.
ส่วนในหญิงทั้งหลาย หญิง ๑๒ จำพวก คือ สตรีที่มีผู้หมั้นหมายปกครองรักษา ๑ ที่อยู่ในอาณัติปกครองรักษา ๑ และหญิงที่ซื้อมาด้วย
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 475
ทรัพย์เป็นต้น ๑๐ จำพวก นี้ชื่อว่าอคมนียัฏฐานสำหรับผู้นอกจากบุรุษ คือ สตรี.
ก็มิจฉาจารนี้นั้น ชื่อว่ามีโทษน้อย ในเพราะอคมนียัฏฐานเว้นจากคุณมีศีลเป็นต้น ชื่อว่ามีโทษมาก ในเพราะอคมนียัฏฐาน ถึงพร้อมด้วยคุณมีศีลเป็นต้น.
กาเมสุมิจฉาจารนั้น มีองค์ ๔ คือ วัตถุอันไม่ควรถึง ๑ จิตคิดจะเสพในวัตถุอันไม่ควรถึงนั้น ๑ ความพยายามในอันเสพ ๑ ยังมรรคให้ถึงมรรคหยุดอยู่ ๑. มีประโยคเดียวคือสาหัตถิกะเท่านั้น.
บทว่า มุสาวาโท ความว่า วจีประโยค หรือกายประโยค อันหักรานประโยชน์ของผู้มุ่งกล่าวให้ผิด เจตนาอันยังกายประโยคและวจีประโยคของผู้กล่าวให้ผิดต่อผู้อื่นให้ตั้งขึ้นแก่ผู้อื่น ด้วยประสงค์จะกล่าวให้ผิด ชื่อว่า มุสาวาท.
อีกนัยหนึ่ง เรื่องอันไม่จริง ไม่แท้ ชื่อว่า มุสา.
การยังผู้อื่นให้ทราบเรื่องนั้น โดยความเป็นเรื่องจริง เรื่องแท้ ชื่อว่า วาทะ.
โดยลักษณะ เจตนาที่ยังวิญญัติอย่างนั้นให้ตั้งขึ้นของผู้ประสงค์จะยังผู้อื่นให้ทราบเรื่องอันไม่จริง โดยความเป็นเรื่องจริง ชื่อว่า มุสาวาท.
มุสาวาทนั้น ชื่อว่ามีโทษน้อย เพราะประโยชน์ที่มุสาวาทีบุคคลหักรานน้อย ชื่อว่ามีโทษมาก เพราะประโยชน์ที่มุสาวาทีบุคคลหักรานมาก.
อนึ่ง สำหรับพวกคฤหัสถ์ มุสาวาทที่เป็นไปโดยนัยเป็นต้นว่า ไม่มี เพราะไม่ประสงค์จะให้ของๆ ตน ชื่อว่ามีโทษน้อย.
มุสาวาทที่มุสาวาทีบุคคลเป็นพยาน กล่าวเพื่อหักรานประโยชน์ ชื่อว่ามีโทษมาก.
สำหรับพวกบรรพชิต มุสาวาทที่เป็นไป โดยปูรณกถานัยว่า วันนี้ น้ำมันในบ้านไหลไปดุจ
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 476
แม่น้ำ เพราะได้น้ำมัน หรือเนยใสแม้นิดหน่อยแล้ว ประสงค์จะให้หัวเราะกัน ชื่อว่ามีโทษน้อย.
แต่มุสาวาทของผู้กล่าวสิ่งที่ตนมิได้เห็นนั่นแล โดยนัยเป็นต้นว่า ข้าพเจ้าเห็น ชื่อว่ามีโทษมาก.
มุสาวาทนั้น มีองค์ ๔ คือเรื่องไม่จริง ๑ จิตคิดจะกล่าวให้ผิด ๑ ความพยายามเกิดจากจิตนั้น ๑ ผู้อื่นรู้เรื่องนั้น ๑ มีประโยคเดียว คือ สาหัตถิกะแล.
มุสาวาทนั้นพึงเห็นได้ในการทำกิริยาเป็นเครื่องกล่าวให้ผิดต่อผู้อื่น ด้วยกายบ้าง ด้วยของเนื่องด้วยกายบ้าง ด้วยวาจาบ้าง ถ้าผู้อื่นรู้เรื่องนั้น ด้วยกิริยานั้น. เจตนาที่ยังกิริยาให้ตั้งขึ้นนี้ ย่อมผูกมัดด้วยมุสาวาทกรรมในขณะนั้นแล.
บทในบทเป็นต้นว่า ปิสุณา วาจา ความว่า คนพูดวาจาแก่ผู้อื่นด้วยวาจาใด กระทำตนให้เป็นที่รักอยู่ในดวงใจของผู้นั้น และทำคนอื่นให้เสีย วาจานั้น ชื่อว่า ปิสุณวาจา.
ส่วนวาจาใด ทำตนบ้าง คนอื่นบ้างให้หยาบ. หรือวาจาใดหยาบ แม้ตนเองก็ไม่เพราะหูไม่สบายใจ นี้ชื่อว่า ผรุสวาจา.
คนกล่าวเพ้อเจ้อไร้ประโยชน์ เขาชื่อว่า สัมผัสปลาปะ.
แม้เจตนาที่เป็นมูลของวาจาเหล่านั้น ก็ย่อมได้ชื่อว่า ปิสุณวาจาเป็นต้นเหมือนกัน.
ก็เจตนานั้นแล ท่านประสงค์เอาในที่นี้.
ในบทนั้น เจตนาของผู้มีจิตเศร้าหมอง อันยังกายประโยคและวจีประโยคให้ตั้งขึ้น เพื่อทำลายชนเหล่าอื่นก็ดี เพื่อประสงค์จะทำตนให้เป็นที่รักก็ดี ชื่อว่าปิสุณวาจา.
ปิสุณวาจานั้น ชื่อว่ามีโทษน้อย เพราะบุคคลผู้ถูกปิสุณวาจีบุคคลทำความแตกกันในผู้มีคุณน้อย, ชื่อว่ามีโทษมาก ในผู้มีคุณมาก.
ปิสุณวาจานั้น มีองค์ ๔ คือ ทำลายผู้อื่น ๑ ความเป็นผู้มุ่งเพื่อ
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 477
ทำลายด้วยประสงค์ว่า พวกคนนี้ จักเป็นผู้ต่างกัน จักเว้นจากกัน ด้วยอุบายอย่างนี้ ดังนี้ หรือความเป็นผู้ปรารถนาจะทำตนให้เป็นที่รักด้วยประสงค์ว่า เราจักเป็นที่รัก จักเป็นผู้คุ้นเคยด้วยอุบายดังนี้ ๑ ความพยายามอันเกิดจากจิตนั้น ๑ ผู้นั้นรู้ความนั้น ๑.
เจตนาหยาบโดยส่วนเดียว ที่ยังกายประโยคและวจีประโยคอันเป็นเหตุตัดเสียซึ่งคำรักของผู้อื่นให้ตั้งขึ้น ชื่อว่า ผรุสวาจา.
เพื่อให้ผรุสวาจานั้นแจ่มแจ้ง พึงทราบเรื่องต่อไปนี้.
ได้ยินว่า เด็กคนหนึ่งไม่เชื่อคำของมารดา ไปสู่ป่า มารดาเมื่อไม่อาจจะให้เด็กนั้นกลับได้ จึงด่าว่า ขอแม่กระบือดุจงไล่ตามมัน. ครั้งนั้น แม่กระบือในป่า ปรากฏแก่เด็กนั้นอย่างนั้นเหมือนกัน. เด็กได้ทำสัจกิริยาว่า ขอคำที่แม่พูดแก่เรา จงอย่ามี ขอที่แม่คิด จงมี. แม่กระบือได้หยุดอยู่ เหมือนถูกผูกในที่นั้นนั่นเอง.
วจีประโยค แม้เป็นเหตุตัดเสียซึ่งคำรักอย่างนั้น ก็ยังไม่ชื่อว่าเป็นผรุสวาจา เพราะจิตอ่อน.
จริงอยู่ บางครั้งมารดาบิดาย่อมพูดกะบุตรน้อยทั้งหลายอย่างนี้ว่า ขอพวกโจรจงทำมันให้เป็นท่อนเล็กท่อนน้อยเถิด แต่ท่านก็ไม่ปรารถนา แม้แต่จะให้กลีบอุบลตกลงเบื้องบนของบุตรเหล่านั้น.
อนึ่ง บางคราว อาจารย์และอุปัชฌายะทั้งหลาย ย่อมพูดกับพวกนิสิตอย่างนี้ว่า พวกเหล่านี้ ไม่มีความละอาย ไม่มีความเกรงกลัว พูดอะไรกัน ไล่มันไปเสีย. ก็แต่ท่านปรารถนาความถึงพร้อมด้วยปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ เพื่อศิษย์เหล่านั้น.
เหมือนอย่างว่า วจีประโยคที่เป็นไปเพราะผู้พูดเป็นผู้มีจิตอ่อน ไม่ชื่อว่าผรุสวาจา ฉันใด วจีประโยคเป็นไปเพราะผู้พูดเป็นผู้มีคำอ่อนหวาน ไม่ชื่อว่าผรุสวาจา ก็หามิได้ฉันนั้น.
จริงอยู่
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 478
คำพูดของผู้ประสงค์จะให้เขาตายว่า ท่านทั้งหลาย จงให้คนนี้นอนเป็นสุขเถิด ไม่ชื่อว่าผรุสวาจาหามิได้. ที่แท้ วาจานั้น ต้องเป็นผรุสวาจาแน่ เพราะผู้พูดเป็นผู้มีจิตหยาบ.
ผรุสวาจานั้น ชื่อว่ามีโทษน้อย เพราะเป็นผู้ถูกผรุสวาจีบุคคลมุ่งหมายให้เป็นไปมีคุณน้อย ชื่อว่ามีโทษมาก เพราะผู้นั้นมีคุณมาก.
ผรุสวาจานั้น มีองค์ ๓ คือ ด่าผู้อื่น ๑ จิตโกรธ ๑ การด่า ๑.
อกุศลเจตนาที่ยังกายประโยค และวจีประโยคให้ตั้งขึ้น อันยังผู้อื่นให้รู้สิ่งที่มิใช่ประโยชน์ ชื่อว่า สัมผัปปลาปะ.
สัมผัปปลาปะนั้น ชื่อว่ามีโทษน้อย เพราะอาเสวนะน้อย ชื่อว่ามีโทษมาก เพราะมีอาเสวนะมาก.
สัมผัปปลาปะนั้น มีองค์ ๒ คือ ความเป็นผู้มุ่งพูดเรื่องอันหาประโยชน์มิได้ มีเรื่องภารตยุทธ และเรื่องชิงนางสีดาเป็นต้น ๑ การพูดเรื่องเห็นปานนั้น ๑.
ธรรมชาติที่ชื่อว่า อภิชฌา เพราะอรรถว่า เพ่งเล็ง อธิบายว่า เป็นไปโดยความเป็นผู้มุ่งภัณฑะของผู้อื่น แล้วน้อมไปในภัณฑะนั้น.
อภิชฌานั้น มีลักษณะเพ่งเล็งต่อภัณฑะของผู้อื่นอย่างนี้ว่า ไฉนหนอสิ่งนี้จะพึงเป็นของๆ เรา ดังนี้ ชื่อว่ามีโทษน้อย และมีโทษมาก เหมือนอทินนาทาน.
อภิชฌานั้น มีองค์ ๒ คือภัณฑะของผู้อื่น ๑ การน้อมมาเพื่อตน ๑.
จริงอยู่ เมื่อความโลภซึ่งมีภัณฑะของผู้อื่นเป็นที่ตั้ง แม้เกิดขึ้นแล้ว อภิชฌาลุบุคคลยังไม่น้อมมาเพื่อตน ด้วยคิดว่า ไฉนหนอ ของสิ่งนี้จะพึงเป็นของๆ เราตราบใด กรรมบถก็ยังไม่ขาดตราบนั้น.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 479
สภาพที่ชื่อว่า พยาบาท เพราะอรรถว่า ยังประโยชน์สุขให้ถึงความพินาศ.
พยาบาทนั้น มีลักษณะประทุษร้ายใจเพื่อความพินาศของผู้อื่น ชื่อว่ามีโทษน้อย และมีโทษมาก เหมือนผรุสวาจา.
พยาบาทนั้น มีองค์ ๒ คือ สัตว์อื่น ๑ คิดความพินาศเพื่อสัตว์นั้น ๑.
ก็เมื่อความโกรธ ซึ่งมีสัตว์อื่นเป็นที่ตั้ง แม้เกิดขึ้นแล้ว วิปันนจิตตบุคคลยังไม่คิดความพินาศเพื่อสัตว์นั้นว่า ไฉนหนอ สัตว์นี้พึงขาดสูญพินาศไปตราบใด กรรมบถถ็ยังไม่ขาดตราบนั้น.
ธรรมชาติ ชื่อว่า มิจฉาทิฏฐิ เพราะอรรถว่า เห็นผิด เพราะไม่ถือเอาตามความเป็นจริง.
มิจฉาทิฏฐินั้นมีลักษณะเห็นผิด โดยนัยเป็นต้นว่า ทานที่ให้แล้วไม่มีผล ชื่อว่ามีโทษน้อย และมีโทษมาก เหมือนสัมผัปปลาปะ.
อีกอย่างหนึ่ง มิจฉาทิฏฐิที่ยังไม่ดิ่ง ชื่อว่ามีโทษน้อย. ที่ดิ่ง ชื่อว่ามีโทษมาก.
มิจฉาทิฏฐินั้น มีองค์ ๒ คือ ความที่วัตถุวิปริตจากอาการที่ถือเอา ๑ ความปรากฏแห่งมิจฉาทิฏฐินั้น โดยที่ยึดเอาวัตถุนั้นว่าเป็นจริง ๑.
ก็พึงทราบวินิจฉัยอกุศลกรรมบถ ๑๐ เหล่านี้ โดยอาการ ๕ คือ โดยธรรม โดยโกฏฐาส โดยอารมณ์ โดยเวทนา โดยมูล.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ธมฺมโต ความว่า ก็ในอกุศลกรรมบถเหล่านั้น มีเจตนาธรรม ๗ อย่างตามลำดับ.
อกุศลกรรมบถมีอภิชฌาเป็นต้น สัมปยุตด้วยเจตนา.
บทว่า โกฏฺาสโต ความว่า ธรรม ๘ อย่างเหล่านี้ คือ เจตนาธรรม ๗ ตามลำดับ และมิจฉาทิฏฐิเป็นกรรมบถอย่างเดียว ไม่เป็นมูล อภิชฌาและพยาบาท เป็นกรรมบถด้วย เป็นมูลด้วย.
ความจริง
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 480
อภิชฌา เป็นโลภะ ถึงความเป็นมูล คือเป็นอกุศลมูล. พยาบาท เป็นโทสะ ถึงความเป็นมูล คือเป็นอกุศลมูล.
บทว่า อารมฺมณโต ความว่า ปาณาติบาต มีชีวิตินทรีย์เป็นอารมณ์.
อทินนาทาน มีสัตว์เป็นอารมณ์บ้าง มีสังขารเป็นอารมณ์บ้าง.
มิจฉาจารมีสังขารเป็นอารมณ์ ด้วยอำนาจการถูกต้อง. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า มีสัตว์เป็นอารมณ์ ดังนี้ ก็มี.
มุสาวาทมีสัตว์เป็นอารมณ์บ้าง มีสังขารเป็นอารมณ์บ้าง.
ปิสุณวาจาก็อย่างนั้น.
ผรุสวาจา มีสัตว์เป็นอารมณ์อย่างเดียว.
สัมผัปปลาปะ มีสัตว์เป็นอารมณ์บ้าง มีสังขารเป็นอารมณ์บ้าง ด้วยอำนาจสิ่งที่ตนได้เห็น ได้ฟัง ได้ทราบ และได้รู้แล้ว.
อภิชฌาก็อย่างนั้น.
พยาบาท มีสัตว์เป็นอารมณ์อย่างเดียว.
มิจฉาทิฏฐิ มีสังขารเป็นอารมณ์ ด้วยอำนาจธรรมที่เป็นไปในภูมิ ๓.
บทว่า เวทนาโต ความว่า ปาณาติบาต เป็นทุกขเวทนา.
ก็พระราชาทรงเห็นโจรแล้ว แม้ทรงร่าเริงอยู่ รับสั่งว่า ท่านจงไป จงฆ่ามัน ดังนี้ ก็จริง ถึงกระนั้น เจตนาเป็นเหตุให้สำเร็จได้ ก็สัมปยุตด้วยทุกข์แก่โจรเหล่านั้น.
อทินนาทาน มีเวทนา ๒.
มิจฉาจาร มีเวทนา ๒ คือสุขเวทนาและมัชฌัตตเวทนา (อุเบกขาเวทนา) ส่วนในจิตที่เป็นเหตุให้สำเร็จ ไม่เป็นมัชฌัตตเวทนา.
มุสาวาท มีเวทนา ๓.
ปิสุณวาจาก็อย่างนั้น.
ผรุสวาจา เป็นทุกขเวทนา.
สัมผัปปลาปะ มีเวทนา ๓.
อภิชฌา มีเวทนา ๒ คือสุขเวทนาและมัชฌัตตเวทนา.
มิจฉาทิฏฐิก็อย่างนั้น.
พยาบาท เป็นทุกขเวทนา.
บทว่า มูลโต ความว่า ปาณาติบาต มีมูล ๒ คือโทสะและโมหะ.
อทินนาทาน มีมูล ๒ คือโทสะและโมหะหรือโลภะและโมหะ.
มิจฉาจาร
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 481
มีมูล ๒ คือโลภะและโมหะ.
มุสาวาท มีมูล ๒ คือโทสะและโมหะหรือโลภะและโมหะ.
ปิสุณวาจาและสัมผัปปลาปะก็อย่างนั้น.
ผรุสวาจา มีมูล ๒ คือโทสะและโมหะ.
อภิชฌามีมูลเดียวคือโมหะ.
พยาบาทก็อย่างนั้น.
มิจฉาทิฏฐิ มีมูล ๒ คือโลภะและโมหะ.
ปาณาติบาตเป็นต้น ในบทเป็นต้นว่า ปาณาติปาตา ปฏิวิรตา มีอรรถตามที่กล่าวแล้วแล.
ส่วนชนเหล่านั้น ชื่อว่า เว้นขาดด้วยวิรัติใด.
วิรัตินั้น โดยประเภทมี ๓ อย่าง คือสัมปัตตวิรัติ สมาทานวิรัติ สมุจเฉทวิรัติ.
บรรดาวิรัติ ๓ เหล่านั้น วิรัติซึ่งเกิดขึ้นแก่บุคคลผู้ไม่ได้สมาทานสิกขาบท เป็นแต่พิจารณาฐานะทั้งหลายมีชาติวัยและการศึกษามากเป็นต้นของตน ไม่ก้าวล่วงวัตถุที่มาประจวบเข้า ด้วยคิดว่าการทำเช่นนี้ ไม่สมควรแก่เรา ดังนี้ พึงทราบว่า สัมปัตตวิรัติ. เหมือนวิรัติที่เกิดขึ้นแก่จักกนะอุบาสกในเกาะสิงหลฉะนั้น.
ได้ยินว่า ในเวลาจักกนะอุบาสกนั้นเป็นหนุ่มนั่นแล โรคเกิดขึ้นแก่มารดา. และหมอบอกว่า ควรได้เนื้อกระต่ายสด จึงจะควร. ลำดับนั้น พี่ชายของเขาใช้นายจักกนะไปด้วยสั่งว่า พ่อ เจ้าจงไป จงเที่ยวไปสู่นาเถิด. เขาไปที่นานั้นแล้ว. ก็สมัยนั้น กระต่ายตัวหนึ่งมาเพื่อจะกัดกินข้าวกล้าอ่อน. กระต่ายนั้น เห็นนายจักกนะนั้นเข้า จึงวิ่งไปโดยเร็ว ถูกเถาวัลย์พัน ได้ร้องเสียงดังกิริ กิริ. นายจักกนะไปตามเสียงนั้น ก็จับกระต่ายนั้นไว้แล้ว จึงคิดว่า เราจักผสมยาแก่มารดา. แต่เขาคิดต่อไปอีกว่า ข้อที่เราพึงปลงสัตว์เสียจากชีวิตเพราะเหตุแห่งชีวิตของมารดา หาควรแก่เราไม่. เมื่อเป็นเช่นนั้น จึงปล่อยกระต่ายนั้นไปด้วยคำว่า เจ้าจงไป จงบริโภคหญ้าและน้ำกับพวกกระต่ายในป่าเถิด. ก็เขาถูกพี่ชายถามว่า พ่อ
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 482
เจ้าได้กระต่ายแล้วหรือ จึงบอกความเป็นไปนั้น. ดังนั้น พี่ชายจึงด่านายจักกนะนั้น. เขาไปหามารดายืนกล่าวคำสัจว่า แต่กาลที่ข้าพเจ้าเกิดแล้ว ยังไม่รู้สึกว่าปลงสัตว์จากชีวิต. ทันทีนั่นเอง มารดาของเขาก็ได้เป็นผู้หายจากโรคแล้ว.
ส่วนวิรัติซึ่งเกิดขึ้นแก่บุคคลผู้สมาทานสิกขาบทแล้ว ยอมสละชีวิตของตน ทั้งในเวลาสมาทานสิกขาบท ทั้งในเวลาอื่นจากนั้น ไม่ก้าวล่วงวัตถุอยู่ พึงทราบว่า สมาทานวิรัติ เหมือนวิรัติที่เกิดขึ้นแก่อุบาสกชาวบ้านใกล้ภูเขาอุตตรวัฑฒมานะฉะนั้น.
ได้ยินว่า อุบาสกนั้น รับสิกขาบทในสำนักของพระปิงคลพุทธรักขิตเถระผู้อยู่ในอัมพริยวิหารแล้ว ไถนาอยู่. ครั้งนั้น โคของเขาหายไป. เขาเมื่อแสวงหาโคนั้น ได้ขึ้นไปยังภูเขาชื่อว่าอุตตรวัฑฒมานะ. งูใหญ่บนภูเขานั้นได้รัดเขาไว้. เขาคิดว่า จะตัดศีรษะด้วยมีดอันคมเล่มนี้ คิดอีกว่า ข้อที่เรารับสิกขาบทในสำนักของครูผู้น่าสรรเสริญแล้วพึงทำลายเสีย หาสมควรแก่เราไม่. ครั้นคิดอยู่อย่างนี้ จนถึง ๓ ครั้ง ตัดสินใจว่า เราจะยอมสละชีพ จะไม่ยอมสละสิกขาบท แล้วทิ้งพร้าโต้อันคมที่แบกอยู่บนบ่าเสียในป่า งูใหญ่ได้คลายออกไปในทันทีนั้นเหมือนกัน.
แม้ความคิดว่า เราจักฆ่าสัตว์ดังนี้ ย่อมไม่เกิดขึ้นแก่พระอริยบุคคลทั้งหลาย จำเดิมแต่การเกิดขึ้นแห่งวิรัติใด วิรัตินั้น สัมปยุตด้วยอริยมรรค พึงทราบว่า สมุจเฉทวิรัติ.
พึงทราบวินิจฉัยแห่งกุศลกรรมบถแม้เหล่านี้ โดยอาการ ๕ คือ โดยธรรม โดยโกฏฐาส โดยอารมณ์ โดยเวทนา โดยมูล เหมือนอกุศลฉะนั้น.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 483
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ธมฺมโต ความว่า เจตนา ๗ ก็ดี วิรัติก็ดี ย่อมควรตามลำดับในกุศลกรรมบถแม้เหล่านั้น. ส่วนธรรม ๓ ในที่สุดสัมปยุตด้วยเจตนาแล.
บทว่า โกฏฺาสโต ความว่า เจตนา ๗ ตามลำดับเป็นกรรมบถเท่านั้น ไม่เป็นมูล.
ธรรม ๓ ในที่สุดเป็นทั้งกรรมบถ เป็นทั้งมูล.
จริงอยู่ อนภิชฌา เป็นอโลภะ ถึงความเป็นมูล เป็นกุศลมูล. อัพยาบาท เป็นอโทสะ ถึงความเป็นมูล เป็นกุศลมูล สัมมาทิฏฐิ เป็นอโมหะ ถึงความเป็นมูล เป็นกุศลมูล.
บทว่า อารมฺมณโต ความว่า อารมณ์ของปาณาติบาตเป็นต้นนั่นแล ก็เป็นอารมณ์ของกรรมบถเหล่านั้นเหมือนกัน.
ชื่อว่าวิรัติจากวัตถุอันจะพึงก้าวล่วงอารมณ์แห่งกรรมบถเหล่านั้น.
เหมือนอย่างว่า อริยมรรคมีนิพพานเป็นอารมณ์ ย่อมละกิเลสได้ ฉันใด กรรมบถเหล่านั้น มีชีวิตินทรีย์เป็นต้นเป็นอารมณ์ พึงทราบว่า ละการทุศีลมีปาณาติบาตเป็นต้นได้ ฉันนั้น.
บทว่า เวทนาโต ความว่า เวทนาทั้งปวง เป็นสุขเวทนา หรือมัชฌัตตเวทนา.
ชื่อว่า เวทนาถึงกุศลย่อมไม่มี.
บทว่า มูลโต ความว่า เจตนา ๗ ตามลำดับ มีมูล ๓ คือ อโลภะอโทสะและอโมหะ สำหรับผู้งดเว้นอยู่ด้วยจิตเป็นญาณสัมปยุต. มีมูล ๒ สำหรับผู้งดเว้นอยู่ด้วยจิตเป็นญาณวิปปยุต.
อนภิชฌา มีมูล ๒ สำหรับผู้งดเว้นอยู่ด้วยจิตเป็นญาณสัมปยุต. มีมูล ๑ ด้วยจิตเป็นญาณวิปปยุต.
ส่วนอโลภะไม่เป็นมูลแก่ตนเอง.
แม้ในอัพยาบาท ก็นัยนี้แล.
สัมมาทิฏฐิ มีมูล ๒ คือ อโลภะ และอโทสะ.
จบอรรถกถาทสกัมมปถสูตรที่ ๕