[เล่มที่ 44] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 446
๗. สารีปุตตสูตร
ว่าด้วยความโศกไม่มีแก่มุนีผู้มีสติ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 44]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 446
๗. สารีปุตตสูตร
ว่าด้วยความโศกไม่มีแก่มุนีผู้มีสติ
[๑๐๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล ท่านพระสารีบุตรผู้มีความปรารถนาน้อย สันโดษ ชอบสงัด ไม่คลุกคลีด้วยหมู่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 447
ปรารภความเพียร หมั่นประกอบในอธิจิต นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง อยู่ในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงเห็นท่านพระสารีบุตรผู้มีความปรารถนาน้อย... อยู่ในที่ไม่ไกล.
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึงทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า
ความโศกทั้งหลายย่อมไม่มีแก่ผู้ที่มีจิตยิ่ง ไม่ประมาท เป็นมุนี ศึกษาอยู่ในคลองแห่งมุนี คงที่ สงบ มีสติทุกเมื่อ.
จบสารีปุตตสูตรที่ ๗
อรรถกถาสารีปุตตสูตร
คำที่ไม่ได้กล่าวในก่อน ไม่มีในสูตรที่ ๗. ในคาถาพึงทราบความ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า อธิเจตโส แปลว่า ผู้มีอธิจิต. อธิบายว่า ผู้ประกอบด้วยอรหัตตผลจิต อันยิ่งกว่าจิตทั้งปวง.
บทว่า อปฺปมชฺชโต แปลว่า ผู้ไม่ประมาท ท่านอธิบายว่า ผู้ประกอบด้วยการกระทำเป็นไปติดต่อในธรรมอันหาโทษมิได้ ด้วยความไม่ประมาท.
บทว่า มุนิโน ความว่า พระขีณาสพชื่อว่ามุนี เพราะรู้โลกทั้งสองอย่างนี้ว่า เพราะผู้รู้โลกทั้งสอง ท่านเรียกว่า มุนี หรือเพราะประกอบด้วยญาณ กล่าวคือปัญญาอันสัมปยุตด้วยอรหัตตผลนั้น ท่านเรียกว่า โมนะ. แก่พระมุนีนั้น.
บทว่า มุนิปเถสุ สิกฺขโต ความว่า ผู้ศึกษาในโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ หรือ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 448
ในสิกขา ๓ อันเป็นทางแห่งโมนะ กล่าวคือ อรหัตตมรรคญาณ. ก็คำนี้ท่านหมายเอาปฏิปทาอันเป็นส่วนเบื้องต้น. จริงอยู่ ผู้สำเร็จการศึกษา ชื่อว่าพระอรหันต์ เพราะฉะนั้น พึงเห็นเนื้อความในที่นี้ว่า แก่พระมุนีผู้สำเร็จการศึกษาดังว่ามานี้ คือ ผู้ถึงความเป็นมุนีด้วยการศึกษานี้. ก็เพราะข้อนั้นนั่นแหละ ฉะนั้น อรรถแห่งบททั้ง ๓ นี้ อย่างนี้ คือ ของท่านผู้มีอธิจิต (จิตเป็นสมาธิขั้นฌาน) คือ มรรคจิต ผลจิตเบื้องต่ำ ผู้ไม่ประมาทด้วยความไม่ประมาทในการปฏิบัติอันเกี่ยวด้วยการตรัสรู้สัจจะ ๔ ชื่อว่าผู้เป็นมุนี เพราะประกอบด้วยมรรคญาณย่อมสมแท้. อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบอรรถแห่งเหตุของบทว่า อปฺปมชฺชโต จ สิกฺขโต ว่า ชื่อว่ามีอธิจิต เพราะเหตุแห่งความไม่ประมาท และเพราะเหตุแห่งการศึกษา.
บทว่า โสกา น ภวนฺติ ตาทิโน ความว่า ความเศร้าโศก คือ ความกรมเกรียมใจ อันมีความพลัดพรากจากสิ่งที่น่าปรารถนาเป็นต้น เป็นที่ตั้ง ย่อมไม่มีในภายในของผู้คงที่ คือ ของมุนีผู้เป็นพระขีณาสพ. อีกอย่างหนึ่ง ในบทว่า ตาทิโน นี้ มีอธิบายดังนี้ว่า ความเศร้าโศกย่อมไม่มีแก่มุนีเห็นปานนี้ ผู้ประกอบด้วยลักษณะแห่งความเป็นผู้คงที่.
บทว่า อุปสนฺตสฺส ได้แก่ ผู้สงบระงับ เพราะสงบกิเลสมีราคะเป็นต้น ได้เด็ดขาด.
บทว่า สทา สตีมโต ได้แก่ ผู้ไม่เว้นสติตลอดกาลเป็นนิจ.
ก็ในที่นี้ ด้วยบทว่า อธิเจตโส นี้ พึงทราบว่า ท่านประสงค์เอาอธิจิตสิกขา. ด้วยบทว่า อปฺปมชฺชโต นี้ ท่านประสงค์เอาอธิสีลสิกขา. ด้วยบทว่า มุนิโน โมนปเถสุ สิกฺขโต นี้ ท่านประสงค์เอาอธิปัญญาสิกขา. อีกอย่างหนึ่ง ด้วยบทว่า มุนิโน นี้ ท่านประสงค์เอาอธิปัญญาสิกขา.
ด้วยบทว่า โมนปเถสุ สิกฺขโต นี้ ท่านประสงค์เอาปฏิปทาอันเป็นส่วนเบื้องต้นแห่งโลกุตรสิกขาเหล่านั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 449
ด้วยบทว่า โสกา น ภวนฺติ เป็นต้น พึงทราบว่า ท่านประกาศอานิสงส์แห่งการบำเพ็ญสิกขา. คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
จบอรรถกถาสารีปุตตสูตรที่ ๗