วรรคที่ ๒ ว่าด้วยฐานะและอฐานะ
โดย บ้านธัมมะ  17 ต.ค. 2564
หัวข้อหมายเลข 38418

[เล่มที่ 33] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาคที่ ๒ - หน้า 164

วรรคที่ ๒

ว่าด้วยฐานะและอฐานะ


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 33]



ความคิดเห็น 1    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 30 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาคที่ ๒ - หน้า 164

วรรคที่ ๒

ว่าด้วยฐานะและอฐานะ

[๑๖๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่พระเจ้าจักรพรรดิ ๒ พระองค์ จะพึงเสด็จอุบัติขึ้นพร้อมกันในโลกธาตุเดียวกันนั้น มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาสจะมีได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แต่ข้อที่พระเจ้าจักรพรรดิพระองค์เดียวจะพึงเสด็จอุบัติขึ้นในโลกธาตุอันหนึ่ง เป็นฐานะที่จะมีได้.

[๑๖๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่สตรีจะพึงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาสที่จะมีได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แต่ข้อที่บุรุษจะพึงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เป็นฐานะที่จะมีได้.

[๑๖๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่สตรีจะพึงเป็นพระเจ้าจักรพรรดินั้น มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาสที่จะมีได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แต่ข้อที่บุรุษจะพึงเป็นพระเจ้าจักรพรรดินั้น เป็นฐานะที่จะมีได้.

[๑๖๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่สตรีจะพึงเป็นท้าวสักกะ ฯลฯ จะพึงเป็นมาร ฯลฯ จะพึงเป็นพรหมนั้น มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาสที่จะมีได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่บุรุษจะพึงเป็นท้าวสักกะ ฯลฯ จะพึง เป็นมาร ฯลฯ จะพึงเป็นพรหมนั้น เป็นฐานะที่จะมีได้.

[๑๖๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่วิบากอันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ แห่งกายทุจริตจะพึงเกิดขึ้นนั้น มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาสที่จะมีได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แต่ข้อที่วิบากอันไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ แห่งกายทุจริตจะพึงเกิดขึ้นนั้น เป็นฐานะที่จะมีได้.


ความคิดเห็น 2    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 30 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาคที่ ๒ - หน้า 165

[๑๖๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่วิบากอันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ แห่งวจีทุจริตจะพึงเกิดขึ้นนั้น มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาสที่จะมีได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แต่ข้อที่วิบากอันไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ แห่งวจีทุจริตจะพึงเกิดขึ้นนั้น เป็นฐานะที่จะมีได้.

[๑๖๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่วิบากอันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ แห่งมโนทุจริตจะพึงเกิดขึ้นนั้น มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาสที่จะมีได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แต่ข้อที่วิบากอันไม่น่าปรารถนา ไม่น่า ใคร่ ไม่น่าพอใจ แห่งมโนทุจริตจะพึงเกิดขึ้นนั้น เป็นฐานะที่จะมีได้.

จบวรรคที่ ๒

อรรถกถาวรรคที่ ๒ (๑)

ในบทว่า อปุพฺพํ อจริมํ นี้ กาลก่อนแต่จักรรัตนะปรากฏ ชื่อว่า ปุพฺพํ ก่อน ภายหลังแต่จักรรัตนะนั้นนั่นแลอันตรธาน ชื่อว่า จริมํ ภายหลัง ในคำนั้น จักรรัตนะอันตรธานย่อมมี ๒ ประการ คือ พระเจ้าจักรพรรดิสวรรคตหรือทรงผนวช. ก็แต่ว่าการอันตรธานนั้น จะอันตรธานในวันที่ ๗ แต่การสวรรคตหรือแต่การทรงผนวช. เบื้องหน้าแต่นั้นไป ไม่ห้ามการปรากฏขึ้นแห่งพระเจ้าจักรพรรดิ.

ถามว่า ก็เพราะเหตุไร พระเจ้าจักรพรรดิจึงไม่ทรงอุบัติพร้อมกัน ๒ พระองค์ในจักรวาลเดียวกัน? ตอบว่า เพราะจะตัดการวิวาท เพราะไม่น่าอัศจรรย์ และเพราะจักรรัตนะมีอานุภาพมาก. ด้วยเหตุว่า พระเจ้าจักรพรรดิ ๒ พระองค์ทรงอุบัติขึ้น ความวิวาทก็จะพึงเกิดขึ้นว่า พระ-


(๑) บาลีข้อ ๑๖๓ - ๑๖๙.


ความคิดเห็น 3    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 30 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาคที่ ๒ - หน้า 166

ราชาของพวกเราเป็นใหญ่ พระราชาของเรา (ต่างหาก) เป็นใหญ่ และจะพึงไม่น่าอัศจรรย์ ด้วยสำคัญว่าเป็นจักรพรรดิในทวีปเดียว เป็นจักรพรรดิในทวีปเดียว อนึ่ง ความมีอนุภาพมากของจักรรัตนะที่สามารถมอบความเป็นใหญ่ให้ในมหาทวีปทั้ง ๔ มีทวีปน้อยสองพันเป็นบริวารแม้นั้นก็จะเสื่อมไป. พระเจ้าจักรพรรดิ ๒ พระองค์ไม่อุบัติในจักรวาลเดียวกัน ก็เพราะจะตัดความวิวาท ๑ เพราะไม่น่าอัศจรรย์ ๑ และเพราะจักรรัตนะมีอานุภาพมาก ๑ ด้วยประการฉะนี้

ในบทเหล่านี้ว่า ยํ อิตฺถี อรหํ อสฺส สมฺมาสมฺพุทฺโธ ดังนี้ พุทธภาพ ความเป็นพระพุทธเจ้าที่สามารถให้สัพพัญญูคุณเกิด แล้วรื้อขนสัตว์ออกจากโลกจงพักไว้ก่อน. สตรีแม้เพียงตั้งความปรารถนา ก็ย่อมไม่สำเร็จพร้อม (เป็นพระพุทธเจ้า).

เหตุเป็นเครื่องตั้งความปรารถนาให้สำเร็จเหล่านี้ คือ

มนุสฺสตฺตํ ลิงฺคสมฺปตฺติ

เหตุ สตฺถารทสฺสนํ

ปพฺพชฺขา คุณสมฺปตฺติ

อธิการโร จ ฉนฺทตา

อฏฺธมฺนสโมธานา

อภินีหาโร สมิชฺฌติ.

อภินิหารย่อมสำเร็จเพราะประชุมธรรม ๘ ประการ คือ ความเป็นมนุษย์ ๑ ความถึงพร้อมด้วยเพศ (บุรุษ) ๑ เหตุ (คืออุปนิสัยอันเป็นเหตุสร้างกุศลมาก) ๑ การได้พบพระศาสดา ๑ การได้บรรพชา ๑ ครามถึงพร้อมด้วยคุณ (มีฌานสมาบัติเป็นต้น) ๑ อธิการ (คือบุญญาภิสมภารอันยิ่ง เช่น บำเพ็ญปัญจมหาบริจาค) ๑ ความเป็นผู้มีฉันทะ (ในพระโพธิญาณ) ๑


ความคิดเห็น 4    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 30 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาคที่ ๒ - หน้า 167

สตรีไม่สามารถทำแม้ปณิธาน คือ การตั้งความปรารถนาดังกล่าวมานี้ให้สำเร็จได้ พุทธภาพความเป็นพระพุทธเจ้าจะมีได้แต่ไหน เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่สตรีเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส. การสั่งสมบุญอันบริบูรณ์โดยอาการทั้งปวงเท่านั้น ย่อมทำอัตภาพอันสมบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวงให้บังเกิด เพราะเหตุนั้น บุรุษจึงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้.

แม้ในบทที่ว่า น อิตฺถี ราชา อสฺส จกฺกวตฺติ ดังนี้ เป็นต้น มีอธิบายว่า เพราะเหตุที่ลักษณะทั้งหลายของสตรีไม่ครบถ้วน เพราะสตรีไม่มีของลับอันเป็นวัตถุที่ตั้งอยู่ในฝัก รัตนะ ๗ ประการก็ไม่ถึงพร้อมเพราะไม่มีอิตถีรัตนะ ทั้งอัตภาพอันยิ่งกว่ามนุษย์ทั้งปวงก็ไม่มี ฉะนั้น จึงตรัสว่า ข้อที่สตรีจะพึงเป็นพระเจ้าจักรพรรดินั้น มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส ดังนี้.

อนึ่ง เพราะเหตุฐานะทั้ง ๓ มีความเป็นท้าวสักกะเป็นต้น เป็นฐานะสูงส่ง ส่วนเพศสตรีเป็นเพศต่ำ ฉะนั้น สตรีนั้นจึงเป็นท้าวสักกะเป็นต้นไม่สำเร็จเด็ดขาด. ถามว่า แม้เพศบุรุษก็ไม่มีในพรหมโลกเหมือนเพศสตรีมิใช่หรือ. เพราะฉะนั้น จึงไม่ควรกล่าวว่า ข้อที่บุรุษพึงครอบครองความเป็นพรหมนั้น เป็นฐานะที่จะมีได้ ตอบว่า ไม่ควรกล่าวหามิได้. ถามว่า เพราะเหตุไร. ตอบว่า เพราะบุรุษในโลกนี้บังเกิดในพรหมโลกนั้นได้.

ก็ในบทว่า พฺรหฺมตฺตํ ท่านหมายเอาความเป็นท้าวมหาพรหม. อนึ่ง สตรีบำเพ็ญฌานโลกนี้ กระทำกาละ (ตาย) ไปแล้ว ย่อม


ความคิดเห็น 5    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 30 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาคที่ ๒ - หน้า 168

เข้าถึงความเป็นสหายแห่งพวกพรหมปาริสัชชา (พรหมที่เป็นบริษัท) ไม่เข้าถึงความเป็นท้าวมหาพรหม ส่วนบุรุษไม่พึงกล่าวว่า ไม่เกิดในพรหมโลกนั้น อนึ่ง ในพรหมโลกนั้น แม้เพศทั้งสองจะไม่มี พรหมทั้งหลายก็มีสัณฐานทรวดทรงเหมือนบุรุษทั้งนั้น ไม่มีสัณฐานทรวดทรงเหมือนสตรีเลย เพราะฉะนั้น พระดำรัสที่ตรัสไว้นั้น เป็นอันตรัสไว้ดีแล้วนั่นแล.

ในบทว่า กายทุจฺจริตสฺส เป็นต้น มีอธิบายว่า พืชสะเดา และบวบขม ย่อมไม่ทำผลมีรสหวานให้บังเกิด ได้แต่ทำผลอันมีรสไม่น่าชอบใจไม่มีรสหวานให้บังเกิดอย่างเดียว ฉันใด กายทุจริตเป็นต้น ย่อมไม่ทำผลอันมีรสอร่อยให้บังเกิด ย่อมทำผลอันไม่อร่อยเท่านั้นให้บังเกิดฉันนั้น พืชอ้อยและพืชข้าวสาลีย่อมให้ผลมีรสหวานอร่อยทั้งนั้นให้บังเกิด ย่อมไม่ทำผลที่ไม่แช่มชื่น ผลเผ็ดร้อนให้บังเกิด ฉันใด กายสุจริตเป็นต้นย่อมทำวิบากผลอันอร่อยทั้งนั้นให้บังเกิด ไม่ทำผลที่ไม่อร่อยให้บังเกิดฉันนั้น. สมจริงดังพระดำรัสที่ตรัสไว้ว่า

ยาทิสํ วปเต พีชํ

ตาทิสํ ลภเต ผลํ

กลฺยาณการี กลฺยาณํ

ปาปการี จ ปาปกํ

คนหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นนั้น คนทำเหตุดี ย่อมได้ผลดี ส่วนคนทำเหตุชั่ว ย่อมได้ผลชั่ว.

เพราะฉะนั้น จึงตรัสพระดำรัสมีอาทิว่า อฏฺานเมตํ ภิกฺขเว อนวกาโส ยํ กายทุจฺจริตสฺส ดังนี้.

ความเป็นผู้มีความพร้อมเพรียง ๕ อย่าง คือ ความเป็นผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยการสั่งสม ๑ ความเป็นผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยเจตนา ๑


ความคิดเห็น 6    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 30 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาคที่ ๒ - หน้า 169

ความเป็นผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยกรรม ๑ ความเป็นผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยวิบาก ๑ ความเป็นผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยความปรากฏ ๑ ชื่อว่าเป็นผู้มีความพร้อมเพรียง ในบทว่า กายทุจฺจริตสมงฺคี ดังนี้เป็นต้น.

บรรดาความเป็นผู้มีความพร้อมเพรียงอย่างนั้น ความเป็นผู้มีความพร้อมเพรียงในขณะสั่งสมกุศลกรรมและอกุศลกรรม ท่านเรียกว่า ความเป็นผู้พร้อมเพรียงด้วยการสั่งสม. ความเป็นผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยเจตนา ก็เหมือนกัน. ก็สัตว์ทั้งหลายยังไม่บรรลุพระอรหัตเพียงใด สัตว์แม้ทั้งหลายท่านก็เรียกว่า เป็นผู้พร้อมเพรียงด้วยเจตนา เพราะเป็นผู้พร้อมเพรียงด้วยเจตนาที่สะสมเอาไว้ในกาลก่อนเพียงนั้น นี้ชื่อว่า ความเป็นผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยเจตนา.

สัตว์แม้ทั้งปวง ท่านเรียกว่าเป็นผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยกรรม เพราะหมายเอากรรมที่ควรแก่วิบากซึ่งได้สะสมเอาไว้ในกาลก่อนตราบเท่าที่ยังไม่บรรลุพระอรหัต นี้ชื่อว่า ความเป็นผู้พร้อมเพรียงด้วยกรรม.

ความเป็นผู้พร้อมเพรียงด้วยวิบาก พึงทราบเฉพาะในขณะแห่งวิบากเท่านั้น. ก็สำหรับเหล่าสัตว์ที่จุติจากภพนั้นๆ ไปเกิดในนรกก่อน นรกย่อมปรากฏโดยอาการปรากฏทั้งหลาย มีเปลวไฟและหม้อโลหกุมภีเป็นต้น. สำหรับเหล่าสัตว์ผู้จะต้องถึงความเป็นคัพภไสยกสัตว์ ครรภ์ของมารดาย่อมปรากฏ. สำหรับเหล่าสัตว์ผู้จะเกิดในเทวโลก เทวโลกย่อมปรากฏโดยอาการที่ปรากฏต้นกัลปพฤกษ์และวิมานเป็นต้น อุปบัตินิมิตย่อมปรากฏอย่างนี้ ดังกล่าวมาฉะนี้ ตราบเท่าที่สัตว์เหล่านั้นยังไม่บรรลุพระอรหัต ดังนั้น ความที่สัตว์เหล่านั้นยังไม่พ้นจากความปรากฏแห่งอุปบัตินิมิตนี้ จึงชื่อว่า ความเป็นผู้พร้อมเพรียงด้วยความปรากฏ ความเป็นผู้


ความคิดเห็น 7    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 30 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาคที่ ๒ - หน้า 170

พร้อมเพรียงด้วยความปรากฏนั้นไม่แน่นอน. ส่วนความเป็นผู้มีความพร้อมเพรียงที่เหลือ (๔ ประการ) แน่นอน. จริงอยู่ แม้เมื่อนรกปรากฏขึ้นแล้ว เทวโลกก็ปรากฏขึ้นได้ แม้เมื่อเทวโลกปรากฏขึ้นแล้ว นรกก็ปรากฏขึ้นได้ แม้เมื่อมนุษยโลกปรากฏแล้ว เดียรฉานกำเนิดก็ปรากฏได้ และแม้เมื่อเดียรฉานกำเนิดปรากฏแล้ว มนุษยโลกก็ปรากฏขึ้นได้เหมือนกัน.

ในข้อนั้น มีเรื่องดังต่อไปนี้เป็นตัวอย่าง :-

ได้ยินว่า มีพระธรรมกถึกรูปหนึ่ง ชื่อว่า โสณเถระ อยู่ในเขลวิหาร ใกล้เชิงเขาโสณคีรี. บิดาของท่านชื่อว่า สุนขราชิก. พระเถระแม้จะห้ามบิดาก็ไม่สามารถจะให้อยู่ในความสังวรได้ คิดว่า คนผู้ยากไร้อย่าฉิบหายเสียเลย ดังนี้ จึงให้ท่านบิดาบวชในตอนแก่ทั้งที่ไม่อยากบวช. นรกปรากฏแก่ท่านผู้นอนอยู่บนที่นอนสำหรับคนป่วย. พวกสุนัขตัวใหญ่ๆ มาจากเชิงเขาโสณคีรี รุมล้อมทำทีดังจะกัดกิน. ท่านกลัวต่อมรณภัยจึงกล่าวว่า พ่อโสณะ ห้ามที พ่อโสณะ ห้ามที. พระโสณะถามว่า ห้ามอะไร ท่านมหาเถระ. พระเถระผู้บิดาพูดว่า พ่อไม่เห็นหรือ แล้วบอกเรื่องราวนั้น. พระโสณเถระคิดว่า บิดาของคนเช่นเรา จักเกิดในนรกได้อย่างไรเล่า แม้เราก็จักเป็นที่พึ่งของท่าน ดังนี้แล้ว จึงสั่งสามเณรทั้งหลายให้นำดอกไม้นานาชนิดมา แล้วทำเครื่องบูชาที่ตั้งกับพื้น และเครื่องบูชาบนแท่น ที่ลานพระเจดีย์และลานโพธิ์ แล้วให้บิดานั่งบนเตียง พูดว่า เครื่องบูชานี้ พระมหาเถระทำเพื่อประโยชน์แก่ท่าน ท่านจงกล่าวว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า เครื่องบรรณาการของคนยากนี้เป็นของข้าพระองค์ ดังนี้แล้ว ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า ทำจิตให้


ความคิดเห็น 8    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 30 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาคที่ ๒ - หน้า 171

เลื่อมใสเถิด. พระมหาเถระเห็นเครื่องบูชาแล้วจึงกระทำตามนั้น ทำจิตให้เลื่อมใสแล้ว ในขณะนั้นเองเทวโลกปรากฏแก่ท่าน สวนนันทวัน สวนจิตรลดาวัน สวนมิสกวัน และวิมานทั้งหลาย กับทั้งเทพนักฟ้อนรำได้เป็นประหนึ่งว่าห้อมล้อมอยู่. พระมหาเถระพูดว่า หลีกไป พ่อโสณะ. พระโสณะถามว่า นี้เรื่องอะไรกัน. พระมหาเถระพูดว่า นั่นมารดาของลูกกำลังมา. พระเถระคิดว่า สวรรค์ปรากฏแก่พระมหาเถระแล้ว.

พึงทราบว่า ความเป็นผู้พร้อมเพรียงด้วยการปรากฏ ย่อมไม่แน่นอนด้วยประการอย่างนี้. ในควานเป็นผู้พร้อมเพรียงเหล่านี้ คำว่า ความเป็นผู้พร้อมเพรียงด้วยกายทุจริต ดังนี้เป็นต้น ตรัสไว้ในที่นี้ก็ด้วยอำนาจความพร้อมเพรียงด้วยการสั่งสมเจตนาและกรรม และด้วยอำนาจความเป็นผู้พร้อมเพรียงด้วยกายทุจริต. ในคำว่า ความเป็นผู้พร้อมเพรียงด้วยกายทุจริตเป็นต้นนั้น ท่านอาจารย์พวกหนึ่งกล่าวว่า ในขณะใด เขาสั่งสมเอากรรมไว้ ในขณะนั้นแหละไม่ห้ามสวรรค์สำหรับเขา. ส่วนอาจารย์อีกพวกหนึ่งกล่าวว่า ธรรมดากรรมอันเป็นเครื่องประมวลมาได้วาระคือคราวให้วิบากบ้าง ไม่ได้บ้าง มีอยู่ ในเรื่องกรรมอันเป็นเครื่องประมวลมานั้น ในกาลใดกรรมได้วาระให้วิบาก ในกาลนั้นเท่านั้นจึงห้ามสวรรค์สำหรับเขา. คำที่เหลือในที่ทุกแห่ง มีเนื้อความง่ายทั้งนั้น.

จบอรรถกถาวรรคที่ ๒

จบอรรถกถาอัฏฐานบาลี