พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 158
ข้อความตอนหนึ่งจาก... อนุมานสูตร
ภิกษุพึงเทียบเคียงตน ด้วยตนเอง อย่างนี้ว่า.- บุคคลที่ยกตนข่มผู้อื่น ก็หาเป็นที่รักใคร่พอใจของเราไม่ ก็หากเราจะพึงเป็นคน ยกตนข่มผู้อื่นบ้างเล่า เราคงไม่เป็นที่รักใคร่พอใจของคนอื่น ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ทั้งหลาย ภิกษุรู้อยู่อย่างนี้ พึงยังความคิดให้เกิดขึ้นว่า เราจักไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น.
บุคคลที่เป็นคนมักโกรธ อันความโกรธครอบงำ ก็หาเป็นที่รักใคร่พอใจของเราไม่ ก็หากเราจะพึงเป็นคนมักโกรธ อันความโกรธครอบงำบ้างเล่า เราคงไม่เป็นที่รักใคร่ พอใจ ของคนอื่น. ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุรู้อยู่อย่างนี้ พึงยังความคิดให้ เกิดขึ้นว่า จักไม่เป็นคนมักโกรธ จักไม่ให้ความโกรธครอบงำ. บุคคลที่เป็นคนมักโกรธ ผูกโกรธ เพราะความโกรธเป็นเหตุ ก็หาเป็นที่รักใคร่ พอใจของเราไม่ ก็ หากเราจะพึงเป็นคนมักโกรธ ผูกโกรธ เพราะความโกรธเป็นเหตุ บ้างเล่า เราคงไม่เป็นที่รักใคร่พอใจของคนอื่น. ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุรู้ อยู่อย่างนี้ พึงยังความคิดให้เกิดขึ้นว่า เราจักไม่เป็นคนมักโกรธ จักไม่ผูกโกรธ
เพราะความโกรธเป็นเหตุ.
กราบขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ
ใครเตือนก็ไม่เท่ากับพระพุทธพจน์เตือนจริงๆ ครับ ธรรมโอสถรักษาทุกโรค อนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาค่ะ พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนสัตว์โลกครอบคลุมไว้หมดแล้ว เหลือแต่สัตว์-
โลกจะอบรมเจริญปัญญาเพื่อประพฤติปฏิบัติตามได้มากน้อยแค่ไหน เพื่อค่อยๆ ขัดเกลากิเลส
จงเตือนตนด้วยตนเอง
ขออนุโมทนา
ขออนุโมทนาค่ะ
คนมักโกรธ นอกจากไม่มีใครอยากอยู่ใกล้แล้ว ก็ทำให้แก่เร็ว ที่สำคัญเป็นเหตุให้ตกนรกค่ะ
พระธรรมเสมือนกระจกส่องให้เราเห็นความไม่ดีของเรา ทั้งที่รู้และไม่เคยรู้ว่ามีอยู่
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ