มากไหมอวิชชา_สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี วันเสาร์ที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๔
โดย khampan.a  19 มิ.ย. 2564
หัวข้อหมายเลข 34447

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

"มากไหมอวิชชา?"

ถอดจากคำสนทนาของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี

วันเสาร์ที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๔



~ เรากำลังฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ความคิดของเราเอง ต้องไม่ลืมว่า คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ลึกซึ้ง ไม่ใช่สิ่งที่จะเข้าใจเอง


~ เดี๋ยวนี้มีอะไร?

~ อวิชชา (ความไม่รู้) มากไหม? อวิชชา ไม่รู้อะไรเลยตามความเป็นจริงสักอย่างเดียว ตั้งแต่เกิดจนตาย มากไหมอวิชชา?
~ ชาติก่อนๆ ก็มีเห็น มีได้ยิน แล้วก็ไม่รู้ๆ ไม่รู้ตลอด นานแสนนานมาแล้ว อวิชชามากไหม?
~ ต้องรู้ว่าความรู้กับความไม่รู้ต่างกัน เพราะฉะนั้น ความรู้ ไม่ใช่รู้อย่างอื่นเลย แต่รู้สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ จึงจะเป็นการรู้จริงๆ
~ สังขาร (สังขารธรรม) คือ สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ต้องไม่ลืมว่ามีจริงๆ กำลังมีเดี๋ยวนี้ ทุกอย่างที่มีจริงๆ เกิดปรากฏว่ามีจริงๆ เป็นสังขารธรรม เพราะฉะนั้น สังขารธรรม คือ สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ทุกอย่างที่มีจริงๆ แต่ละหนึ่งๆ มีจริงๆ เป็นสังขารธรรม
~ ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้ มีจริงๆ สิ่งที่มีจริง ไม่มีใครทำให้เกิดได้ แต่เกิดแล้วมีแล้วจริงๆ เพราะมีสภาพธรรมที่อาศัยกันและกันเกิดขึ้น
~ ไม่รู้ จึงต้องฟังคำของผู้ที่ตรัสรู้สิ่งที่มี ทุกอย่าง ละเอียดมาก
~ ทุกอย่างที่มีจริงเดี๋ยวนี้ เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป เป็นสังขาร (สังขารธรรม) อาศัยปัจจัยทำให้เกิดขึ้นแล้วก็ดับ เป็นธรรม มีจริง แต่เกิดโดยอาศัยปัจจัยทำให้เกิดขึ้น แล้วก็ดับ นี่คือ ความหมายของสังขารธรรม
~ สิ่งที่เกิด อาศัยเหตุปัจจัยเกิดแล้วดับไป ไม่เหลือ ไม่มีเรา ไม่มีอะไรเลย

~ อวิชชา ความไม่รู้ ไม่รู้อะไร? ไม่รู้สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ไม่รู้ว่าสิ่งนี้เกิดเพราะมีสิ่งที่ทำให้เกิดแล้วก็ดับไป

~ เราศึกษา เพื่อเข้าใจในคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส ให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ไม่ใช่ให้จำชื่อแล้วไม่เข้าใจ
~ เห็นกับคิด พร้อมกันได้ไหม? ไม่ได้ เพราะฉะนั้น เรากำลังพูดเรื่องความจริงให้รู้ว่าธรรมคือสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วดับไป ไม่มีเรา เพราะเห็น ดับ ไม่ใช่เราเห็น คิด ดับ ไม่ใช่เราคิด
~ ถ้าไม่เคยฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่รู้เลยว่าสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่เรา ไม่ใช่โต๊ะ ไม่ใช้เก้าอี้ แต่เป็นแต่ละหนึ่งซึ่งมีลักษณะที่ละเอียดมาก ลึกซึ้งมาก

~ ศึกษาธรรม ต้องรู้ว่าธรรมคืออะไร เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ท่อง แต่ธรรม คือ มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ สิ่งที่มีจริงนั่นแหละ เป็นสิ่งที่มีจริง ใช้คำว่า ธรรม
~ ธรรม เกิด เพราะมีสิ่งที่อาศัยกันและกันเกิด คือความหมายของคำว่าสังขารธรรม ที่เกิดเพราะอาศัยกันและกัน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงหนทางที่จะให้ทุกคนได้ประจักษ์ความจริงนั้น แต่ไม่มีใคร นอกจากปัญญาความเห็นถูกที่เพิ่มขึ้นๆ จนสามารถที่จะรู้ความจริงนั้นได้

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญพระบารมีนานมากที่จะรู้ความจริงยิ่งกว่าใครทั้งหมด ที่สามารถจะให้คนอื่นได้ค่อยๆ เข้าใจตามได้ เมื่อพระองค์ตรัสรู้แล้วที่พุทธคยา ก็เสด็จไปทั่ว (ทุกหนทุกแห่ง) เพื่อที่จะทรงแสดงความจริงแก่ผู้ที่สามารถเข้าใจได้ ผู้ที่สามารถจะเข้าใจได้ ต้องเป็นผู้ที่เห็นประโยชน์ของความรู้ความเข้าใจสิ่งที่กำลังมี
~ ต้องมีความเข้าใจสิ่งที่กำลังมี ว่า ไม่ใช่เรา เป็นอนัตตา สุญญตา (ว่างเปล่าจากความเป็นตัวตน) มีปรากฏแล้วไม่เหลือเลย หมด สามารถที่จะค่อยๆ ละความไม่รู้ ค่อยๆ ละความติดข้องเพราะไม่รู้ จนกระทั่งสามารถที่จะถึงปัญญาที่สูงขึ้นสามารถที่จะรู้ความจริงที่เป็นจริงเดี๋ยวนี้ได้
~ ต้องตรงต่อความจริง ต้องเคารพต่อความจริงสูงสุด ว่า ยาก ละเอียด ลึกซึ้งที่จะรู้ได้ ต้องเป็นความเข้าใจจริงๆ เพื่อละความไม่รู้
~ ความไม่รู้มีมาก ตั้งแต่นานแสนนานก่อนการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนพระองค์ตรัสรู้แล้ว ความไม่รู้ของแต่ละคน ก็ยังมาก เพราะฉะนั้น กว่าความไม่รู้นั้นจะหมดไปได้ ต้องเป็นผู้ที่ตรงต่อการที่จะเข้าใจถูกต้องในสิ่งที่กำลังมี
~ เข้าใจถูกต้องในความจริงที่ละเอียดอย่างยิ่งของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ มีค่าที่สุดที่จะต้องดำรงรักษาไว้ เพื่อที่จะให้คนอื่นได้ยินได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อๆ ไป
~ ความไม่รู้ มีมากทุกวัน เพราะฉะนั้น ต้องรู้จริงๆ ว่าความเข้าใจถูก ตรงกันข้ามกับความไม่รู้
~ การรู้ความจริงว่าธรรมแต่ละหนึ่งเปลี่ยนไม่ได้ ต้องเป็นหนึ่งของธรรมนั้น ไม่มีเรา ไม่มีต้นไม้ ไม่มีอะไรเลย นี่เป็นเบื้องต้นของการที่จะรู้ความจริงว่า ไม่มีเรา สุญญตา อนัตตา
~ ตั้งแต่เกิดจนตายเป็นธรรมซึ่งเป็นสังขารธรรม
~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ทั้งหมด ให้เข้าใจว่าไม่ใช่เรา เป็นธรรมหนึ่ง เกิดแล้วดับและไม่กลับมาอีกเลย
~ เดี๋ยวนี้เองที่เสียงปรากฏ ลืมว่า มีธรรม คือ สิ่งที่มีจริงที่รู้เสียงนั้น จึงรู้ว่าเสียงนั้นเป็นอย่างนั้น ไม่เป็นเสียงอื่น
~ โกรธเป็นสภาพรู้ เพราะโกรธสิ่งที่กำลังปรากฏให้โกรธ
~ จิตเกิดแล้วตาย หรือว่า เราเกิดแล้วเราตาย?
~ เมื่อเป็นความเข้าใจเพิ่มขึ้นจริงๆ จะต้องทำให้ละความติดข้องว่ามีเรา จนกระทั่งเข้าใจถูกต้องว่าไม่ใช่เรา และสภาพธรรมแต่ละอย่าง ก็สามารถเข้าใจชัดขึ้นทีละน้อยๆ
~ เมื่อเข้าใจว่าเป็นธรรม มากขึ้น ก็จะไม่เข้าใจ (ผิด) ว่าธรรมเป็นเราเลย
~ ต้องเข้าใจมั่นคงจริงๆ ศึกษาธรรม คือ ศึกษาสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ เพื่อเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ถูกต้อง ว่า ไม่มีเรา ไม่ใช่เรา



...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...



ความคิดเห็น 1    โดย มังกรทอง  วันที่ 19 มิ.ย. 2564

คฤหัสถ์ทั้งหลาย ก็อบรมเจริญปัญญา เช่นเดียวกับพระภิกษุไม่ว่าจะนั่ง นอน ยืน เดิน หรือทำกิจการงานใดๆ เพราะปัญญา จะต้อง รู้ลักษณะของนาม และ รูป ตามปกติ ตามความเป็นจริงในชีวิตปะจำวัน

น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ


ความคิดเห็น 2    โดย swanjariya  วันที่ 19 มิ.ย. 2564

กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

อนุโมทนากับคุณสุคินและผู้ร่วมสนทนาทุกท่านค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย chatchai.k  วันที่ 19 มิ.ย. 2564

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 4    โดย Jans  วันที่ 19 มิ.ย. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 5    โดย เมตตา  วันที่ 20 มิ.ย. 2564

ขอบพระคุณ และยินดีในกุศลจิตค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย Centella  วันที่ 20 มิ.ย. 2564

น้อมระลึกบูชาพระคุณทั้งสามด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง


ความคิดเห็น 7    โดย siraya  วันที่ 20 มิ.ย. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ