ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
"มากไหมอวิชชา?"
ถอดจากคำสนทนาของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี
วันเสาร์ที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๖๔
~ เรากำลังฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ความคิดของเราเอง ต้องไม่ลืมว่า คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ลึกซึ้ง ไม่ใช่สิ่งที่จะเข้าใจเอง
~ เดี๋ยวนี้มีอะไร?
~ อวิชชา (ความไม่รู้) มากไหม? อวิชชา ไม่รู้อะไรเลยตามความเป็นจริงสักอย่างเดียว ตั้งแต่เกิดจนตาย มากไหมอวิชชา?
~ ชาติก่อนๆ ก็มีเห็น มีได้ยิน แล้วก็ไม่รู้ๆ ไม่รู้ตลอด นานแสนนานมาแล้ว อวิชชามากไหม?
~ ต้องรู้ว่าความรู้กับความไม่รู้ต่างกัน เพราะฉะนั้น ความรู้ ไม่ใช่รู้อย่างอื่นเลย แต่รู้สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ จึงจะเป็นการรู้จริงๆ
~ สังขาร (สังขารธรรม) คือ สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ต้องไม่ลืมว่ามีจริงๆ กำลังมีเดี๋ยวนี้ ทุกอย่างที่มีจริงๆ เกิดปรากฏว่ามีจริงๆ เป็นสังขารธรรม เพราะฉะนั้น สังขารธรรม คือ สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ทุกอย่างที่มีจริงๆ แต่ละหนึ่งๆ มีจริงๆ เป็นสังขารธรรม
~ ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้ มีจริงๆ สิ่งที่มีจริง ไม่มีใครทำให้เกิดได้ แต่เกิดแล้วมีแล้วจริงๆ เพราะมีสภาพธรรมที่อาศัยกันและกันเกิดขึ้น
~ ไม่รู้ จึงต้องฟังคำของผู้ที่ตรัสรู้สิ่งที่มี ทุกอย่าง ละเอียดมาก
~ ทุกอย่างที่มีจริงเดี๋ยวนี้ เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป เป็นสังขาร (สังขารธรรม) อาศัยปัจจัยทำให้เกิดขึ้นแล้วก็ดับ เป็นธรรม มีจริง แต่เกิดโดยอาศัยปัจจัยทำให้เกิดขึ้น แล้วก็ดับ นี่คือ ความหมายของสังขารธรรม
~ สิ่งที่เกิด อาศัยเหตุปัจจัยเกิดแล้วดับไป ไม่เหลือ ไม่มีเรา ไม่มีอะไรเลย
~ อวิชชา ความไม่รู้ ไม่รู้อะไร? ไม่รู้สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ไม่รู้ว่าสิ่งนี้เกิดเพราะมีสิ่งที่ทำให้เกิดแล้วก็ดับไป
~ เราศึกษา เพื่อเข้าใจในคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส ให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ไม่ใช่ให้จำชื่อแล้วไม่เข้าใจ
~ เห็นกับคิด พร้อมกันได้ไหม? ไม่ได้ เพราะฉะนั้น เรากำลังพูดเรื่องความจริงให้รู้ว่าธรรมคือสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วดับไป ไม่มีเรา เพราะเห็น ดับ ไม่ใช่เราเห็น คิด ดับ ไม่ใช่เราคิด
~ ถ้าไม่เคยฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่รู้เลยว่าสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่เรา ไม่ใช่โต๊ะ ไม่ใช้เก้าอี้ แต่เป็นแต่ละหนึ่งซึ่งมีลักษณะที่ละเอียดมาก ลึกซึ้งมาก
~ ศึกษาธรรม ต้องรู้ว่าธรรมคืออะไร เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ท่อง แต่ธรรม คือ มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ สิ่งที่มีจริงนั่นแหละ เป็นสิ่งที่มีจริง ใช้คำว่า ธรรม
~ ธรรม เกิด เพราะมีสิ่งที่อาศัยกันและกันเกิด คือความหมายของคำว่าสังขารธรรม ที่เกิดเพราะอาศัยกันและกัน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงหนทางที่จะให้ทุกคนได้ประจักษ์ความจริงนั้น แต่ไม่มีใคร นอกจากปัญญาความเห็นถูกที่เพิ่มขึ้นๆ จนสามารถที่จะรู้ความจริงนั้นได้
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญพระบารมีนานมากที่จะรู้ความจริงยิ่งกว่าใครทั้งหมด ที่สามารถจะให้คนอื่นได้ค่อยๆ เข้าใจตามได้ เมื่อพระองค์ตรัสรู้แล้วที่พุทธคยา ก็เสด็จไปทั่ว (ทุกหนทุกแห่ง) เพื่อที่จะทรงแสดงความจริงแก่ผู้ที่สามารถเข้าใจได้ ผู้ที่สามารถจะเข้าใจได้ ต้องเป็นผู้ที่เห็นประโยชน์ของความรู้ความเข้าใจสิ่งที่กำลังมี
~ ต้องมีความเข้าใจสิ่งที่กำลังมี ว่า ไม่ใช่เรา เป็นอนัตตา สุญญตา (ว่างเปล่าจากความเป็นตัวตน) มีปรากฏแล้วไม่เหลือเลย หมด สามารถที่จะค่อยๆ ละความไม่รู้ ค่อยๆ ละความติดข้องเพราะไม่รู้ จนกระทั่งสามารถที่จะถึงปัญญาที่สูงขึ้นสามารถที่จะรู้ความจริงที่เป็นจริงเดี๋ยวนี้ได้
~ ต้องตรงต่อความจริง ต้องเคารพต่อความจริงสูงสุด ว่า ยาก ละเอียด ลึกซึ้งที่จะรู้ได้ ต้องเป็นความเข้าใจจริงๆ เพื่อละความไม่รู้
~ ความไม่รู้มีมาก ตั้งแต่นานแสนนานก่อนการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนพระองค์ตรัสรู้แล้ว ความไม่รู้ของแต่ละคน ก็ยังมาก เพราะฉะนั้น กว่าความไม่รู้นั้นจะหมดไปได้ ต้องเป็นผู้ที่ตรงต่อการที่จะเข้าใจถูกต้องในสิ่งที่กำลังมี
~ เข้าใจถูกต้องในความจริงที่ละเอียดอย่างยิ่งของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ มีค่าที่สุดที่จะต้องดำรงรักษาไว้ เพื่อที่จะให้คนอื่นได้ยินได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อๆ ไป
~ ความไม่รู้ มีมากทุกวัน เพราะฉะนั้น ต้องรู้จริงๆ ว่าความเข้าใจถูก ตรงกันข้ามกับความไม่รู้
~ การรู้ความจริงว่าธรรมแต่ละหนึ่งเปลี่ยนไม่ได้ ต้องเป็นหนึ่งของธรรมนั้น ไม่มีเรา ไม่มีต้นไม้ ไม่มีอะไรเลย นี่เป็นเบื้องต้นของการที่จะรู้ความจริงว่า ไม่มีเรา สุญญตา อนัตตา
~ ตั้งแต่เกิดจนตายเป็นธรรมซึ่งเป็นสังขารธรรม
~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ทั้งหมด ให้เข้าใจว่าไม่ใช่เรา เป็นธรรมหนึ่ง เกิดแล้วดับและไม่กลับมาอีกเลย
~ เดี๋ยวนี้เองที่เสียงปรากฏ ลืมว่า มีธรรม คือ สิ่งที่มีจริงที่รู้เสียงนั้น จึงรู้ว่าเสียงนั้นเป็นอย่างนั้น ไม่เป็นเสียงอื่น
~ โกรธเป็นสภาพรู้ เพราะโกรธสิ่งที่กำลังปรากฏให้โกรธ
~ จิตเกิดแล้วตาย หรือว่า เราเกิดแล้วเราตาย?
~ เมื่อเป็นความเข้าใจเพิ่มขึ้นจริงๆ จะต้องทำให้ละความติดข้องว่ามีเรา จนกระทั่งเข้าใจถูกต้องว่าไม่ใช่เรา และสภาพธรรมแต่ละอย่าง ก็สามารถเข้าใจชัดขึ้นทีละน้อยๆ
~ เมื่อเข้าใจว่าเป็นธรรม มากขึ้น ก็จะไม่เข้าใจ (ผิด) ว่าธรรมเป็นเราเลย
~ ต้องเข้าใจมั่นคงจริงๆ ศึกษาธรรม คือ ศึกษาสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ เพื่อเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ถูกต้อง ว่า ไม่มีเรา ไม่ใช่เรา
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
คฤหัสถ์ทั้งหลาย ก็อบรมเจริญปัญญา เช่นเดียวกับพระภิกษุไม่ว่าจะนั่ง นอน ยืน เดิน หรือทำกิจการงานใดๆ เพราะปัญญา จะต้อง รู้ลักษณะของนาม และ รูป ตามปกติ ตามความเป็นจริงในชีวิตปะจำวัน
น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ
กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
อนุโมทนากับคุณสุคินและผู้ร่วมสนทนาทุกท่านค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และยินดีในกุศลจิตค่ะ
น้อมระลึกบูชาพระคุณทั้งสามด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ