๖. กัณหเปตวัตถุ ว่าด้วยความปรารถนากระต่ายจากดวงจันทร์
โดย บ้านธัมมะ  17 พ.ย. 2564
หัวข้อหมายเลข 40361

[เล่มที่ 49] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 194

อุพพรีวรรคที่ ๒

๖. กัณหเปตวัตถุ

ว่าด้วยความปรารถนากระต่ายจากดวงจันทร์


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 49]



ความคิดเห็น 1    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 194

๖. กัณหเปตวัตถุ

ว่าด้วยความปรารถนากระต่ายจากดวงจันทร์

โรหิไณยอำมาตย์กราบทูลว่า

[๑๐๓] ข้าแต่พระองค์ผู้กัณหโคตร ขอพระองค์จงลุกขึ้นเถิด จะมัวบรรทมอยู่ทำไม จะมีประโยชน์อะไรแก่พระองค์ด้วยการบรรทมอยู่เล่า ข้าแต่พระเกสวะ บัดนี้พระภาคาร่วมพระอุทรของพระองค์ ซึ่งเป็นดุจพระหทัยและนัยน์เนตรเบื้องขวาของพระองค์ มีลมกำเริบคลั่งเพ้อถึงกระต่ายไปเสียแล้ว.

พระเจ้าเกสวะได้ทรงฟังคำของโรหิไณยอำมาตย์แล้ว อันความเศร้าโศกถึงพระภาดาครอบงำ ก็รีบเสด็จลุกขึ้นทันที จับพระหัตถ์ทั้งสองของฆฏบัณฑิตไว้มั่นแล้ว เมื่อจะทรงปราศรัยจึงตรัสพระคาถามีความว่า

เหตุไรหนอ เธอจึงทำดุจเป็นคนบ้าเที่ยวไปทั่วนครทวารกะนี้ เพ้ออยู่ว่า กระต่ายๆ เธอปรารถนากระต่ายเช่นไร ฉันจักให้นายช่างทำกระต่ายทอง กระต่ายแก้วมณี กระต่ายโลหะ กระต่ายรูปิยะ กระต่ายสังข์ กระต่ายหิน กระต่ายแก้วประพาฬ ให้แก่เธอ หรือว่ากระต่ายอื่นๆ


ความคิดเห็น 2    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 195

ที่เที่ยวหากินอยู่ในป่ามีอยู่ ฉันจักให้เขานำกระต่ายเหล่านั้นมาให้เธอ เธอปรารถนากระต่ายเช่นไร.

ฆฏบัณฑิตกราบทูลว่า

ข้าพระองค์ไม่ปรารถนากระต่ายที่อาศัยแผ่นดิน ข้าพระองค์ปรารถนากระต่ายจากพระจันทร์ ข้าแต่พระเจ้าเกสวะ ขอพระองค์ได้ทรงพระกรุณานำกระต่ายนั้นลงมาประทานแก่ข้าพระองค์เถิด.

พระเจ้าวาสุเทพตรัสว่า

ดูก่อนพระญาติ เธอจักละชีวิตที่สดชื่นไปเสียเป็นแน่ เพราะเธอปรารถนากระต่ายจากดวงจันทร์ ชื่อว่าปรารถนาสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา.

ฆฏบัณฑิตกราบทูลว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้กัณหโคตร ถ้าพระองค์ทรงพร่ำสอนผู้อื่นฉันใด ขอให้พระองค์ทรงทราบฉันนั้นเถิด เพราะเหตุไฉนพระองค์จงทรงพระกรรแสงถึงราชโอรสที่ทิวงคตแล้ว แต่ก่อนมาแม้จนวันนี้เล่า มนุษย์หรืออมนุษย์ไม่พึงได้ตามปรารถนาว่า บุตรของเราที่เกิดมาแล้วจงอย่าตาย พระองค์จะทรงได้ราชโอรสที่ทิวงคตแล้ว ซึ่งไม่


ความคิดเห็น 3    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 196

ควรได้แต่ที่ไหน ข้าแต่พระองค์ผู้กัณหโคตร พระองค์ทรงกรรแสงถึงราชโอรสที่ทิวงคตแล้ว ไม่สามารถจะนำคืนมาด้วยมนต์ รากยา โอสถ หรือทรัพย์ได้ แม้กษัตริย์ทั้งหลายมีแว่นแคว้นมาก มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก มีทรัพย์และข้าว เปลือกมาก จะไม่ทรงชราและไม่สวรรคต ไม่มีเลย แม้กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร คนจัณฑาล คนเทหยากเยื่อ จะไม่แก่และไม่ตาย เพราะชาติของตน ก็ไม่มีเลย ชนเหล่าใดร่ายมนต์อันประกอบด้วยองค์ ๖ อันพราหมณ์คิดแล้ว ชนเหล่านั้นจะไม่แก่และไม่ตายเพราะวิชาของตน ก็ไม่มีเลย แม้พวกฤาษีเหล่าใดเป็นผู้สงบ มีตนอันสำรวมแล้ว มีตบะ แม้พวกฤาษีผู้มีตบะเหล่านั้น ย่อมละร่างกายไปตามกาล พระอรหันต์ทั้งหลายมีตนอันอบรมแล้ว ทำกิจเสร็จแล้ว ไม่มีอาสวะ สิ้นบุญและบาป ย่อมทอดทิ้งร่างกายนี้ไว้.

พระเจ้าวาสุเทพตรัสว่า

เธอดับความกระวนกระวายทั้งปวงของเรา ผู้เร่าร้อนอยู่ให้หายเหมือนบุคคลเอาน้ำดับไฟที่ราดด้วยน้ำมันฉะนั้น เธอบรรเทาความโศกถึงบุตรของเราผู้ถูกความโศกครอบงำ ได้ถอนขึ้น


ความคิดเห็น 4    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 197

แล้วหนอซึ่งลูกศร คือ ความโศกอันเสียบแทงแล้วที่หทัยของเรา เราเป็นผู้มีลูกศร คือ ความโศกอันถอนขึ้นแล้ว เป็นผู้เย็น สงบแล้ว เราจะไม่เศร้าโศก ไม่ร้องไห้อีก เพราะได้ฟังคำของเธอ ชนเหล่าใดผู้มีปัญญา ผู้อนุเคราะห์กันและกัน ชนเหล่านั้นย่อมทำอย่างนี้ ย่อมยังกันและกันให้หายโศก เหมือนเจ้าชายฆฏะยังพระเชษฐาให้หายโศกฉะนั้น พวกอำมาตย์ผู้เป็นบริจาริกาของพระราชาใด เป็นเช่นนี้ ย่อมแนะนำด้วยสุภาษิต เหมือนเจ้าชายฆฏะแนะนำพระเชษฐาของตน พระราชานั้นจะมีความโศกมาแต่ไหน.

จบ กัณหเปตวัตถุที่ ๖

อรรถกถากัณหเปตวัตถุที่ ๖

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภอุบาสกคนหนึ่งลูกตาย จึงตรัสพระคาถานี้ มีคำเริ่มต้น ว่า อุฏฺเหิ กณฺห กึ เสสิ ดังนี้.

ได้ยินว่า ในกรุงสาวัตถี ยังมีบุตรของอุบาสกคนหนึ่ง ทำกาละแล้ว. อุบาสกนั้น เพียบพร้อมไปด้วยลูกศรคือ ความเศร้าโศก เพราะการตายของลูกนั้น ไม่อาบน้ำ ไม่กินข้าว ไม่จัดแจงการงาน ไม่ไปยังที่อุปัฏฐากพระพุทธเจ้า บ่นเพ้ออย่างเดียว


ความคิดเห็น 5    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 198

พลางกล่าวว่า พ่อเป็นลูกที่รัก เจ้าละทิ้งพ่อไปไหนเสียก่อน. ในเวลาใกล้รุ่ง พระศาสดาทรงตรวจดูสัตว์โลก ทรงเห็นอุปนิสัยแห่งโสดาปัตติผลของอุบาสกนั้น รุ่งขึ้นแวดล้อมไปด้วยภิกษุสงฆ์ เสด็จไปบิณฑบาตยังกรุงสาวัตถี ทรงเสวยพระกระยาหารเสร็จแล้ว จึงทรงส่งภิกษุทั้งหลายไป ส่วนพระองค์มีพระอานนทเถระเป็นปัจฉาสมณะ ได้เสด็จไปยังประตูเรือนของอุบาสกนั้น คนทั้งหลายจึงได้แจ้งแก่อุบาสกว่า พระศาสดาเสด็จมาถึงแล้ว. ลำดับนั้น คนในเรือนของอุบาสกนั้นจึงพากันตบแต่งเสนาสนะที่ประตูเรือน แล้วนิมนต์พระศาสดาให้ประทับนั่ง ประคองอุบาสกพาเข้าไปเฝ้าพระศาสดา. พระศาสดาทรงเห็นเธอนั่งอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง จึงตรัสถามว่า อุบาสก ท่านเสียใจอะไรหรือ? เมื่ออุบาสกกราบทูลให้ทรงทราบ จึงตรัสว่า อุบาสก โปราณกบัณฑิตทั้งหลายฟังถ้อยคำของบัณฑิตทั้งหลายแล้ว ไม่เศร้าโศกถึงบุตรที่ตายไป ดังนี้แล้ว อันอุบาสกนั้นทูลอาราธนา จึงทรงนำอดีตนิทานมาว่า :-

ในอดีตกาล ในกรุงทวารวดี มีพระราชาพี่น้องกัน ๑๐ คน คือ พระเจ้าวาสุเทพ พลเทพ จันทเทพ สุริยเทพ อัคคิเทพ วรุณเทพ อัชชุนเทพ ปัชชุนเทพ ฆฏบัณฑิตเทพ และอังกุรเทพ. ในเจ้าเหล่านั้น โอรสผู้เป็นที่รักของวาสุเทพมหาราชได้ทิวงคตลง. เพราะเหตุนั้น พระราชาจึงถูกความเศร้าโศกครอบงำ ทรงละพระราชกรณียกิจทุกอย่าง ยึดแม่แคร่เตียง ทรงบรรทมบ่นเพ้อไป. ในเวลานั้น ฆฏบัณฑิตเทพทรงพระดำริว่า เว้นเราเสียคนอื่น


ความคิดเห็น 6    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 199

ใครเล่าที่ชื่อว่า สามารถจะหลีกเลี่ยงความเศร้าโศกพี่ชายเรา ย่อมไม่มี เราจะขจัดความเศร้าโศกของพี่ชายเราด้วยอุบาย. ท่านฆฏบัณฑิตจึงแปลงเพศเป็นคนบ้า แหงนดูอากาศ เที่ยวไปทั่วพระนครพลางกล่าวว่า ท่านจงให้กระต่ายแก่เรา ท่านจงให้กระต่ายแก่เราเถิด. ชาวพระนครทั้งสิ้นพากันแตกตื่นว่า ฆฏบัณฑิตเป็นบ้าเสียแล้ว.

เวลานั้น อำมาตย์ชื่อว่า โรหิไณยไปเฝ้าพระเจ้าวาสุเทพ เมื่อจะสั่งสนทนากับพระเจ้าวาสุเทพ จึงกล่าวคาถานี้ว่า:-

ข้าแต่พระองค์ผู้กัณหโคตร ขอพระองค์จงลุกขึ้นเถิด จักมัวบรรทมอยู่ทำไม จะมีประโยชน์อะไรแก่พระองค์ด้วยการบรรทมอยู่เล่า ข้าแต่พระเกสวะ บัดนี้ พระภาดาร่วมอุทรของพระองค์ผู้เป็นดุจพระทัยและนัยน์เนตรเบื้องขวาของพระองค์ มีลมกำเริบคลั่งเพ้อถึงกระต่าย.

บรรดาบทเหล่านั้น อำมาตย์เรียกพระเจ้าวาสุเทพ โดยพระโคตรว่า กัณหะ. บทว่า โก อตฺโถ สุปเนน เต ได้แก่ ความเจริญอะไรจะมีแก่พระองค์ด้วยการบรรทม. บทว่า สโก ภาตา ได้แก่ พระภาดาร่วมอุทร. บทว่า หทยํ จกฺขุ จ ทกฺขิณํ ความว่า เสมือนกับดวงหทัยและพระเนตรเบื้องขวา. บทว่า ตสฺส วาตา พลียนฺติ ความว่า ลมบ้าหมู เกิดแก่พระภาดาร่ำไป มีกำลังแรง กำเริบ ครอบงำ. บทว่า สสํ ชปฺปติ ความว่า บ่นเพ้อว่า จงให้


ความคิดเห็น 7    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 200

กระต่ายแก่เราเถิด. ด้วยบทว่า เกสวะ ได้ยินว่า ฆฏบัณฑิตนั้น เขาเรียกว่า เกสวะ เพราะมีผมงาม เพราะเหตุนั้น เขาจึงเรียกพระองค์โดยพระนาม.

พระศาสดา เมื่อจะทรงแสดงความที่พระเจ้าวาสุเทพได้สดับคำของอำมาตย์นั้นแล้ว เสด็จลุกขึ้นจากที่บรรทม พระองค์เป็นผู้ตรัสรู้ยิ่ง จึงตรัสคาถานี้ว่า :-

พระเจ้าเกสวะได้สดับคำของโรหิไณยอำมาตย์นั้นแล้ว ผู้ถูกความเศร้าโศกถึงพระภาดาครอบงำ ก็รีบเสด็จลุกขึ้นทันที.

พระราชาเสด็จลุกขึ้นแล้ว รีบลงจากปราสาท แล้วเสด็จไปหาฆฏบัณฑิต จับมือทั้ง ๒ ของฆฏบัณฑิตไว้มั่น เมื่อจะเจรจากับท่าน จึงกล่าวคาถา ๓ คาถาว่า :-

เหตุไรหนอ เธอจึงทำตัวเหมือนคนบ้า เที่ยวไปทั่วนครทวารกะนี้ บ่นเพ้อว่า กระต่าย กระต่าย เธอปรารถนากระต่ายเช่นไร ฉันจะให้นายช่างทำกระต่ายทองคำ กระต่ายแก้วมณี กระต่ายโลหะ กระต่ายเงิน กระต่ายสังข์ กระต่ายหิน กระต่ายแก้วประพาฬ ให้แก่เธอ หรือกระต่ายอื่นที่เที่ยวหากินอยู่ในป่าก็มีอยู่ ฉันจะให้เขานำกระต่ายเหล่านั้นมาให้แก่เธอ เธอปรารถนากระต่ายเช่นไรเล่า.


ความคิดเห็น 8    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 201

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุมฺมตฺตรูโปว แปลว่าเป็นเหมือนคนบ้า. บทว่า เกวลํ แปลว่า ทั้งสิ้น. บทว่า ทฺวารกํ ได้แก่เที่ยวไปตลอดทวารวดีนคร. บทว่า สโส สโสติ ลปสิ ความว่า บ่นเพ้อว่า กระต่าย กระต่าย. บทว่า โสวณฺณมยํ แปลว่า สำเร็จด้วยทองคำ. บทว่า โลหมยํ แปลว่า สำเร็จด้วยโลหะทองแดง. บทว่า รูปิยมยํ แปลว่า สำเร็จด้วยเงิน. ท่านปรารถนาสิ่งใด ก็จงบอกมาเถอะ. เมื่อเป็นเช่นนั้นเธอเศร้าโศก เพราะอะไร. พระเจ้าวาสุเทพเชื้อเชิญฆฏบัณฑิตด้วยกระต่ายว่า กระต่ายแม้เหล่าอื่นที่เที่ยวหากินอยู่ในป่าก็มีอยู่ในป่า เราจักนำกระต่ายนั้นมาให้แก่เธอ เจ้าผู้มีหน้า อันเจริญ เธอปรารถนากระต่ายเช่นไร ก็จงบอกมาเถอะ ดังนี้ ด้วยความประสงค์ว่าฆฏบัณฑิตต้องการกระต่าย. ฆฏบัณฑิตได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาว่า :-

ข้าพระองค์ไม่ปรารถนากระต่ายที่อาศัยอยู่บนแผ่นดิน ข้าพระองค์ปรารถนากระต่ายจากดวงจันทร์ ข้าแต่พระเจ้าเกสวะ ขอพระองค์โปรดนำกระต่ายนั้นมาประทานแก่ข้าพระองค์เถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โอหร แปลว่า โปรดให้นำลงมา. พระราชาครั้นทรงสดับดังนั้นจึงถึงความโทมนัสว่า พระภาดาของเราเป็นบ้าเสียแล้ว โดยมิต้องสงสัย จึงตรัสคาถาว่า :-


ความคิดเห็น 9    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 202

ดูก่อน พระญาติ เธอจักละชีวิตอันสดชื่นไปเสียเป็นแน่ เพราะเธอปรารถนากระต่ายจากดวงจันทร์ ชื่อว่า ปรารถนาสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา.

พระเจ้าเกสวะตรัสเรียกน้องชายว่า ญาติ ในพระคาถานั้น. ในพระคาถานี้มีอธิบายดังนี้ว่า :- ญาติกันเป็นที่รักของเราผู้ปรารถนาสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา เห็นจะละชีวิตอันน่ารื่นรมย์ยิ่งของตนเสียเป็นแน่.

ฆฏบัณฑิตได้ฟังพระดำรัสของพระราชาก็ได้ยืนนิ่งเสีย เมื่อจะแสดงความนี้ว่า ข้าแต่พี่ชาย พระองค์เมื่อรู้ว่า หม่อมฉันปรารถนากระต่ายจากดวงจันทร์ ครั้นไม่ได้กระต่ายนั้นจักสิ้นชีวิต เพราะเหตุไร พระองค์ไม่ได้โอรสที่ตายไปแล้วจึงเศร้าโศกถึง จึงกล่าวคาถาว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้กัณหโคตร ถ้าพระองค์ทรงพร่ำสอนผู้อื่นอย่างที่ทรงทราบไซร้ เพราะเหตุไร แม้ทุกวันนี้พระองค์ก็ยังทรงเศร้าโศกถึงบุตรที่ตายแล้วในกาลก่อนเล่า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอวํ เจ กณฺห ชานาสิ ความว่า ข้าแต่ท้าวกัณหมหาราชผู้พี่ชาย ผิว่า พระองค์ทรงทราบอย่างนี้ว่า ชื่อว่า วัตถุที่ไม่พึงได้ก็ไม่พึงปรารถนา. บทว่า ยถญฺํ ความว่า ท่านพอรู้อย่างนี้ อย่าได้กระทำโดยประการที่ท่านพร่ำสอนผู้อื่น. บทว่า กสฺมา ปุเร มตํ ปุตฺตํ ความว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ เพราะเหตุไร


ความคิดเห็น 10    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 203

แม้ในวันนี้ ท่านก็ยังเศร้าโศกถึงบุตรที่ตายไปในที่สุด ๔ เดือนแต่เดือนนี้.

ฆฏบัณฑิตยืนอยู่ที่ระหว่างถนนอย่างนั้นแลทูลว่า อันดับแรก หม่อมฉันปรารถนาสิ่งที่ปรากฏอยู่อย่างนี้ ส่วนพระองค์เศร้าโศกเพื่อต้องการสิ่งที่ไม่ปรากฏ เมื่อจะแสดงธรรมแก่พระราชา จึงกล่าวคาถา ๒ คาถาว่า :-

ก็มนุษย์หรืออมนุษย์ ไม่พึงได้ตามปรารถนาว่า ขอบุตรของเราที่เกิดมาจงอย่าตายเลย พระองค์จะพึงได้โอรสที่ทิวงคตแล้ว ที่ไม่ควรได้แต่ที่ไหน. ข้าแต่พระองค์ผู้กัณหโคตร พระองค์ทรงกันแสงถึงโอรสที่ทิวงคตแล้ว ซึ่งไม่สามารถจะนำคืนมาด้วยมนต์ รากยา โอสถ หรือทรัพย์ได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยํ ความว่า ดูก่อนพี่ชาย มนุษย์หรือว่าเทวดา ไม่พึงได้ คือไม่อาจได้ตามที่พระองค์ปรารถนาว่า ของบุตรของเราผู้เกิดมาอย่างนี้แล้ว อย่าตายไปเลย. อธิบายว่า ก็ความปรารถนานั้น ท่านจะได้แต่ที่ไหน คือ ท่านอาจจะได้ด้วยเหตุไร เพราะเหตุที่ขึ้นชื่อว่าสิ่งที่ไม่ควรได้นี้ เป็นสิ่งที่ไม่ควรจะได้.

บทว่า มนฺตา แปลว่า ด้วยการประกอบมนต์. บทว่า มูลเภสชฺชา แปลว่า ด้วยรากยา. บทว่า โอสเธหิ ได้แก่ โอสถ


ความคิดเห็น 11    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 204

นานาชนิด. บทว่า ธเนน วา ได้แก่ แม้ด้วยทรัพย์นับได้ร้อยโกฏิ. ท่านกล่าวคำอธิบายไว้ดังนี้ว่า ใครๆ ไม่อาจจะนำโอรสผู้ละไปแล้ว ที่พระองค์ทรงเศร้าโศกถึงนั้นมาด้วยการประกอบมนต์เป็นต้นอย่างนั้น.

ฆฏบัณฑิต เมื่อจะแสดงอีกว่า ข้าแต่พี่ชาย ขึ้นชื่อว่า ความตายนี้ ใครๆ ไม่อาจจะห้ามได้ด้วยทรัพย์ ด้วยชาติ ด้วยวิชชา ด้วยศีล หรือด้วยภาวนาได้ จึงแสดงธรรมแด่พระราชาด้วยคาถา ๕ คาถาว่า :-

กษัตริย์ทั้งหลาย แม้จะมีแว่นแคว้น มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก มีทรัพย์และธัญญาหารมาก จะไม่ทรงชรา จะไม่ทรงสวรรคต ไม่มีเลย.

กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร คนจัณฑาล และคนเทหยากเยื่อ และคนอื่นๆ จะไม่แก่ จะไม่ตาย เพราะชาติของตน ก็ไม่มีเลย

ชนเหล่าใดร่ายมนต์อันประกอบด้วยองค์ ๖ อันพราหมณ์คิดไว้แล้ว ชนเหล่านั้นและชนเหล่าอื่นจะไม่แก่ และไม่ตาย เพราะวิชาของตน ก็ไม่มีเลย.

แม้พวกฤาษีเหล่าใด เป็นผู้สงบ มีตนสำรวมแล้ว มีตปะ แม้พวกฤาษีผู้มีตปะเหล่านั้น ย่อมละร่างกายไปตามกาล


ความคิดเห็น 12    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 205

พระอรหันต์ทั้งหลาย มีตนอันอบรมแล้ว ทำกิจเสร็จแล้ว ไม่มีอาสวะ สิ้นบุญและบาป ยังทอดทิ้งร่างกายนี้ไว้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มหทฺธนา ได้แก่ ชื่อว่า ผู้มีทรัพย์มาก เพราะมีทรัพย์ที่ฝังไว้นั่นแหละมาก. บทว่า มหาโภคา ได้แก่ ประกอบด้วยโภคสมบัติมาก เช่นกับโภคสมบัติของเทพ. บทว่า รฏวนฺโต แปลว่า มีแว่นแคว้นมาก. บทว่า ปหูตธนธญฺาเส ได้แก่ ผู้มีทรัพย์และธัญญาหารหาที่สุดมิได้ โดยทรัพย์และธัญญาหาร ซึ่งจะต้องใช้จ่ายเป็นประจำ ที่เก็บฝังไว้เพื่อใช้ได้ถึง ๓ ปี หรือ ๔ ปี บทว่า เตปิ โน อชรามรา ความว่า กษัตริย์มีพระเจ้ามันธาตุ และพระเจ้ามหาสุทัสสนะ เป็นต้น ผู้มีสมบัติมากถึงอย่างนั้น จะเป็นผู้ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่มีเลย คือ ตั้งอยู่ใกล้ปากมรณะโดยแท้ทีเดียว.

บทว่า เอเต ได้แก่ กษัตริย์ตามที่กล่าวแล้ว เป็นต้น. บทว่า อญฺเ ได้แก่ ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง มีอัมพัฏฐะมาณพเป็นต้น ผู้เป็นอยู่อย่างนั้น. บทว่า ชาติยา ความว่า เป็นผู้ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่มีเลย เพราะชาติของตนเป็นเหตุ.

บทว่า มนฺตํ ได้แก่เวท. บทว่า ปริวตฺเตนฺติ แปลว่า ย่อมสาธยาย และย่อมบอก, อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ปริวตฺเตนฺติ ได้แก่ ร่ายเวททำการบูชาเพลิงพร้อมพร่ำมนต์ไปด้วย. บทว่า ฉฬงฺคํ ได้แก่ออกเสียงอ่านถูกจังหวะคล่อง และไพเราะ กัปปะ ได้แก่


ความคิดเห็น 13    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 206

รู้จักแบบแผนทำกิจวิธีต่างๆ นิรุตติ ได้แก่ รู้จักมูลศัพท์ และคำแปลศัพท์ไวยากรณ์ ได้แก่ รู้จักตำราภาษา โชติศาสตร์ ได้แก่ รู้จักดาวหาฤกษ์ และผูกดวงชะตา ฉันโทวิจิติ ได้แก่ รู้จักคณะฉันท์และแต่งได้. บทว่า พฺรหฺมจินฺติตํ ได้แก่ พรหมคิด คือกล่าวเพื่อ ประโยชน์แก่พวกพราหมณ์. บทว่า วิชฺชาย ได้แก่ ผู้ประกอบด้วยวิชาเสมือนพรหม, อธิบายว่า แม้ท่านเหล่านั้นจะไม่แก่ ไม่ตาย ไม่มีเลย.

บทว่า อิสโย ความว่า ชื่อว่าฤาษี เพราะอรรถว่า แสวงหาพรตที่ประพฤติประจำ และพรตที่ประพฤติตามกาลกำหนดเป็นต้น และปฏิกูลสัญญา เป็นต้น. บทว่า สนฺตา ได้แก่ สงบกายวาจา เป็นสภาวะ. บทว่า สญฺตตฺตา ได้แก่ มีจิตสำรวมด้วยการสำรวมกิเลส มีราคะเป็นต้น. ชื่อว่า ตปัสสี เพราะมีตปะ กล่าวคือ ทำกายให้เร่าร้อน. อนึ่ง บทว่า ตปสฺสิโน แปลว่า ผู้สำรวม. ด้วยคำว่า ตปสฺสิโน นั้น ท่านแสดงว่า เป็นผู้อาศัยตปะอย่างนั้น และเป็นผู้ปรารถนาเพื่อจะหลุดพ้นจากสรีระ ก็เป็นผู้สำรวม ย่อมละสรีระได้ทีเดียว. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า อิสโย ชื่อว่า อิสยะ เพราะ อรรถว่า แสวงหาอธิสีลสิกขาเป็นต้น, ชื่อว่า ผู้สงบ เพราะเข้าไปสงบบาปธรรม อันเป็นปฏิปักษ์ต่ออธิสีลสิกขานั้น ก็เพื่อประโยชน์แก่อธิสีลสิกขานั้น. ชื่อว่า มีตนสำรวมแล้ว เพราะสำรวมจิตไว้ในอารมณ์อันเดียวกัน ชื่อว่า ตปัสสี เพราะมีความเพียรเครื่องเผาบาป โดยประกอบความเพียรชอบ. บัณฑิตพึงประกอบความว่า


ความคิดเห็น 14    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 207

ที่มีความเพียรเป็นเครื่องประกอบ ชื่อว่า ตปัสสี เพราะทำกิเลส มีราคะเป็นต้น ให้เร่าร้อน. บทว่า ภาวิตฺตตา ได้แก่ ผู้มีจิตอันอบรมแล้วด้วยกัมมัฏฐานภาวนา อันมีสัจจะ ๔ เป็นอารมณ์.

เมื่อฆฏบัณฑิตกล่าวธรรมอย่างนี้ พระราชาได้ทรงสดับ ดังนั้น เป็นผู้ปราศจากลูกศรคือความโศก มีใจเลื่อมใส เมื่อจะสรรเสริญฆฏบัณฑิต จึงได้กล่าวคาถาที่เหลือว่า

เธอดับความกระวนกระวายทั้งปวงของเราผู้เร่าร้อนให้หายไป เหมือนบุคคลเอาน้ำดับไฟที่ราดด้วยน้ำมัน ฉะนั้น เธอบรรเทาความโศกถึงบุตรของเรา ผู้ถูกความโศกครอบงำ ได้ถอนขึ้นแล้วหนอซึ่งถูกศรคือความโศกอันเสียบแทงที่หทัยของเรา เราเป็นผู้มีลูกศรคือความโศกอันถอนขึ้นแล้ว เป็นผู้เย็นสงบแล้ว เราจะไม่เศร้าโศก ไม่ร้องไห้อีก เพราะได้ฟังคำของเธอ ชนเหล่าใดผู้มีปัญญา ผู้อนุเคราะห์กันแลกัน ชนเหล่านั้นย่อมทำอย่างนี้ ย่อมยังกันและกันให้หายโศก เหมือนเจ้าชายฆฏบัณฑิตทำพระเชษฐาให้หายโศก ฉะนั้น

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ฆโฏ เชฏฺํ ว ภาตรํ ความว่า เหมือนฆฏบัณฑิตทำพระเชษฐาของตน ผู้ถูกความเศร้าโศกเพราะบุตรตายไปครอบงำ ให้พ้นจากความเศร้าโศกเพราะบุตรนั้น ด้วย


ความคิดเห็น 15    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 208

ความที่ตนเป็นผู้ฉลาดในอุบาย และด้วยธรรมกถา ฉันใด แม้ผู้อื่นผู้มีปัญญา มีความอนุเคราะห์ก็ฉันนั้น ย่อมกระทำอุปการะแก่ญาติทั้งหลาย.

บทว่า ยสฺส เอตาทิสา โหนติ นี้ เป็นคาถาแห่งพระองค์ผู้ตรัสรู้ยิ่ง. คำแห่งคาถานั้นมีอธิบายดังต่อไปนี้ ฆฏบัณฑิตย่อมไปตาม คือติดตามพระเจ้าวาสุเทพ ผู้อันความเศร้าโศกเพราะบุตรครอบงำ ด้วยคำอันเป็นสุภาษิต เพื่อกำจัดความเศร้าโศก ด้วยประการใด คือ ด้วยเหตุใด. อำมาตย์ผู้เป็นบัณฑิตก็เช่นนั้น อันผู้ใดผู้หนึ่งจะพึงได้ ความเศร้าโศกของท่านจักมีแต่ที่ไหน ฉะนี้แล. คาถาที่เหลือมีอรรถดังกล่าวแล้ว ในหนหลังนั่นแล.

พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงตรัสว่า อย่างนั้นอุบาสก โปราณกบัณฑิตทั้งหลายฟังถ้อยคำของบัณฑิตทั้งหลายแล้ว ขจัดความเศร้าโศกเพราะบุตรเสียได้ ดังนี้แล้ว จงประกาศสัจจะประชุมชาดก. ในที่สุดสัจจะอุบาสกดำรงอยู่ในโสดาปัตติผลแล.

จบ อรรถกถากัณหเปตวัตถุที่ ๖